ไหปีศาจ - บทที่ 647 ภาพจิตรกรรมฝาผนัง
บทที่ 647 ภาพจิตรกรรมฝาผนัง
บทที่ 647
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ราชาอาชูร่าคือสัตว์วิญญาณในตำนาน
เนื่องจากมันไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ แต่เป็นสัตว์วิญญาณใหม่เอี่ยมที่เกิดจากการฝึกฝนของอาชูร่าจนถึงจุดสูงสุด และได้ทำลายพันธนาการของเผ่าพันธุ์ตัวเองลง
เป้าหมายตลอดชีวิตของเหล่าอาชูร่า คือการได้เป็นราชาอาชูร่า
แน่นอนว่ามันยากมาก
แก่นวิญญาณต้นกำเนิดของราชาอาชูร่านั้นเป็นระดับเพชร แต่พลังในการต่อสู้ของมันนั้นไม่ธรรมดาจนสามารถประเมินได้ว่ามันเป็นอันดับต้น ๆ ของสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิ
ในเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา มีสัตว์วิญญาณเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถพัฒนาไปถึงระดับจักรพรรดิได้ดังนั้นเพียงแค่ไปถึงระดับสูงสุดของมิติวิญญาณระดับเพชร ก็เพียงพอที่จะทำให้ ใคร ๆ คลั่งไคล้
ใครจะไปคิดว่าจะมีกระดูกขาของราชาอาชูร่าอยู่ในหอคอยเก่าที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอโชคลาภเช่นนี้” ฉูจงฉวน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถ้าอาชูร่า ได้รับกระดูกขานี้นางอาจจะเข้าถึงความลับในการวิวัฒนาการ ทำให้สามารถส่งเสริมการวิวัฒนาการของตัวนางเองได้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสมบัติสำหรับเขา
ลั่วอู๋พยักหน้า “ใช่”
อาชูร่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นนางก็สอดกระดูกขาของราชาอาชูร่าเข้าไปในต้นขาของนาง เลือดสีดำทะลักพุ่งออกมาในทันที
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจมาก
มันเป็นวิธีการที่เหนือความคาดหมาย
แต่ในช่วงเวลาต่อมาเลือดสีดำที่กระจายอยู่บนกระดูกขาของนาง ก็ถูกดูดซึมกลับเข้าไปอย่างช้าๆจากนั้นก็ถูกกลืนด้วยแสงสีดำลึกเข้าไปในร่างกายของอาชูร่า
ลั่วอู๋ และ ฉูจงฉวน ตระหนักได้ว่ามันเป็นวิธีการดูดซึมที่น่ากลัวมากจริงๆ
หลังจากผสมผสานเข้ากับกระดูกขาของราชาแล้ว อาชูร่าก็ก้มหัวเล็กน้อยให้กับ ฉูจงฉวน จากนั้นจึงกลับไปมีท่าทางที่หยิ่งผยองเหมือนเดิม พฤติกรรมดังกล่าวได้แสดงถึงการยอมจำนนแล้วเรียบร้อย
“ย่อยอาหารได้ดีนะ” ฉูจงฉวน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
อาชูร่าพยักหน้าจากนั้นเข้าไปในแหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของฉูจงฉวน
“ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีกระดูกขาของราชาอาชูร่าอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าราชาอาชูร่าจะไม่ได้เป็นแค่ตำนาน” ฉูจงฉวน กล่าวอย่างมีความสุข “มันเป็นเรื่องจริง”
แต่แล้วเขาก็งงงวย
ทำไมถึงได้มีกระดูกขาของ ราชาอาชูร่าอยู่ที่นี่
ลั่วอู๋เงียบไปครู่หนึ่ง เขาคงจะเดาอะไรบางอย่างได้
ว่ากันว่าอาชูร่าเป็นผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ ต่อมาด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบสาเหตุพวกมันถูกขับไล่โดยพระพุทธเจ้าและกลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรพุทธแทน
ภูเขาแห้งแล้งนั้นเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ การดำรงอยู่ของอาชูร่าจึงเป็นเรื่องปกติ และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีราชาอาชูร่าถือกำเนิดขึ้นที่นี่
แต่นั่นคือปัญหา
ราชาอาชูร่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกป้องอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ ทำไมมันถึงตายลงได้แล้วทำไมกระดูกของมันถึงอยู่ที่นี่
มันคอยคุ้มกันที่นี่จนกว่าชีวิตของมันจะหมดลง จากนั้นร่างกายของมันก็ตายจากไปงั้นเหรอ?
ด้วยเหตุนี้ลั่วอู๋จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบ ๆ
แม้ว่าของตกแต่งในห้องนี้จะผุพังไปเกือบหมด แต่ก็เห็นได้ว่าแทบไม่เหลือร่องรอยของฝีมือมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นหอคอยเก่าทั้งหลังยังดูแปลกตามากและรูปแบบนี้ไม่ได้อยู่ในหนังสือเล่มใดที่เขาเคยอ่านเลย
นี่อาจจะเป็นมรดกที่หลงเหลือของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ?
ท่านหม่าเฉิน เคยกล่าวว่ามีซากปรักหักพัง และ มรดกจากอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะอยู่เป็นจำนวนมากในภูเขาแห้งแล้ง นี่คงเป็นหนึ่งในนั้น
ด้วยเหตุนี้ลั่วอู๋จึงรู้สึกตื่นเต้น
สถานที่ที่ราชาอาชูร่าคอยคุ้มกันอยู่ คงจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะ อาจเอาหลายสิ่งหลายอย่างที่สำคัญไปด้วยในตอนที่พวกเขาจากไป แต่บางทีพวกเขาก็อาจจะทิ้งบางสิ่งไว้ข้างหลัง
“ฉูจงฉวน ทำให้ไฟใหญ่ขึ้นสิ” ลั่วอู๋ กล่าว
ฉูจงฉวน อยากรู้อยากเห็น “ไม่กลัวว่ามันจะทำให้เกิดปัญหาเหรอ?”
“ไม่เป็นไร” ลั่วอู๋ส่ายหัว “ไม่น่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ที่นี่แล้วนอกจากพวกเรา”
แม้แต่ราชาอาชูร่าก็ยังตายไปแล้ว จะไปมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่สามารถอยู่รอดใต้ดินนี่ได้ยังไง? ไม่ว่าจะเป็นสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังเพียงใดก็ไม่สามารถต้านทานการกัดกร่อนของเวลาได้
ฉูจงฉวน เป็นผู้รับผิดชอบในการใช้เพลิง เปลวไฟขนาดเล็กนับร้อยรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อก่อตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ส่องสว่างทุกสิ่งรอบตัวพวกเขา
ในห้องนี้นั้นแทบจะไม่มีอะไรเลย
มีเพียงฝุ่นหนาเท่านั้น
ราวกับว่าทุกสิ่งกลายเป็นฝุ่น
ลั่วอู๋รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็พบว่ากำแพงนั้นดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างสลักอยู่เขาจึงใช้พลังวิญญาณของเขาเช็ดฝุ่นออกจากผนัง
ภาพวาดที่เหมือนจริงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นทีละภาพอย่างช้าๆ
ลั่วอู๋มองเห็นป่าอันกว้างใหญ่และสวยงามที่ซึ่งมีสัตว์วิญญาณนับไม่ถ้วนอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนและ ด้านหลังป่านั้นมีพื้นที่ลึกลับอันเต็มไปด้วยภูต
“นี่คือป่าเทียนหวู่” ลั่วอู๋ตกใจ
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นป่าเทียนหวู่ด้วยตาของเขาเอง แต่ลั่วอู๋ก็มั่นใจอย่างยิ่งว่ามีเพียงป่าเทียนหวู่ในตำนานที่หายไปเท่านั้นที่จะสามารถเป็นดั่งภาพจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวได้
ลั่วอู๋ครุ่นคิดแล้วจึงปัดฝุ่นออกจากผนังอีกด้าน
แน่นอนว่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังอีกอันปรากฏขึ้น
ในภาพวาดนี้ ลั่วอู๋ มองเห็นมนุษย์เป็นเพียงกลุ่มมนุษย์ป่าเถื่อนที่มีผลไม้ป่าและใบหญ้าเป็นเสื้อผ้า
มนุษย์เหล่านี้คุกเข่าลง ก้มศีรษะของพวกเขาโค้งคำนับด้วยความคารวะ
และเหนือคนเหล่านี้มีจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายอยู่บนท้องฟ้าอย่างศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง
ลั่วอู๋ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ยุคสมัยที่มนุษย์งมงายและเชื่อมั่นนับถือในภูต
ลั่วอู๋ปัดฝุ่นกำแพงอีกครั้ง
ภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้มีลักษณะแปลกออกไป ดูเหมือนว่าจะเป็นแท่นบูชาขนาดใหญ่อันศักดิ์สิทธิ์เคร่งขรึมและเงียบสงบมีจุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนท้องฟ้า
ตรงกลางภาพจิตรกรรมฝาผนังมีเสาแห่งพระเจ้าอันบริสุทธิ์และโปร่งใส ซึ่งมีรูปทรงที่ไม่เหมือนที่ไหน ๆ ราวกับว่ามันเกิดจากการกลั่นตัวของแสงจำนวนนับไม่ถ้วน
ไม่มีอย่างอื่นอีก
ลั่วอู๋ อดไม่ได้ที่จะพูด “คนที่แกะสลักภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้คงไม่ได้ให้ความสนใจกับศิลปะเท่าไหร่ พวกเขาไม่ได้ทาสีอะไรเลย พวกเขาคงไม่สามารถเข้าใจได้จริง ๆ ว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังกำลังแสดงถึงอะไร”
แต่ลั่วอู๋มั่นใจได้ว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ถูกใช้เพื่อบันทึกสิ่งต่างๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งนี่อาจเป็น “คฤหาสน์สุตรา” ของอาณาจักรเซียนโบราณหมื่นอมตะเป็นสถานที่ซึ่งสร้างขึ้นมาก่อนที่มนุษย์จะประดิษฐ์อักษรเพื่อเขียนเป็นตัวหนังสือตกทอดได้
สำหรับภูตดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด
ดังนั้นพวกเขาจึงบันทึกข้อมูลที่ต้องบันทึกด้วยวิธีนี้
“มันลำบากเกินไปแล้ว การเขียนเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งเลยจริง ๆ ” ลั่วอู๋คิดในใจ: “มนุษย์สามารถก้าวข้ามความโง่เขลาและกลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือแผ่นดินใหญ่ได้ด้วยการดำรงอยู่ของตัวอักษร มันช่างเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยจริง ๆ”
ลั่วอู๋เดินออกจากห้องเล็ก ๆ และมองไปรอบ ๆ หอคอย ผนังด้านในถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา ซึ่งช่วยปกป้องภาพจิตรกรรมฝาผนังจากการกัดเซาะของกาลเวลา
“ข้าอยากจะเอาทั้งหอนี่ทิ้งลงไปในมิติไหเลยจริง ๆ” ลั่วอู๋ถอนหายใจ
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา มันยังไม่เพียงพอที่จะนำสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้เข้าไปในมิติไหได้โดยตรง
“ ไปทำธุระกันก่อนเถอะ” ลั่วอู๋ครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดต่อ “มาดูกันว่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับหมาป่าจันทราอสูรไหม มันอาจมีประโยชน์กับพวกเราก็ได้”
ฉูจงฉวน พยักหน้า
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้ประวัติศาสตร์มากเท่ากับลั่วอู๋
แต่เขาก็พอจะเดาบางอย่างเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ได้
ด้วยที่เขาไม่มีความสนใจในประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยฝุ่นเหล่านี้เลย ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่
พวกเขาเดินค้นหาไปตามผนังของหอคอย
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ฉูจงฉวน ก็ตะโกนเรียกลั่วอู๋ “ลั่วอู๋ มาดูนี่เร็ว ข้าพบมันแล้ว”
ลั่วอู๋เช็ดฝุ่นออกจากใบหน้าแล้วบินไปหาฉูจงฉวน
ภาพจิตรกรรมฝาผนังตรงหน้าแสดงให้เห็นทุกอย่างเกี่ยวกับหมาป่าจันทราอสูร
“นี่มัน … ” ลั่วอู๋ และ ฉูจงฉวน มองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่บันทึกไว้บนภาพจิตรกรรมฝาผนัง
มันทำให้พวกเขารู้สึกซับซ้อนมาก