ไหปีศาจ - บทที่ 682 ความล้มเหลวในการช่วยชีวิตผู้คน
บทที่ 682 ความล้มเหลวในการช่วยชีวิตผู้คน
บทที่ 682
ความล้มเหลวในการช่วยชีวิตผู้คน
ณ สำนักเฉียนหลง
ที่นี่เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่าอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง
“สายฟ้าผ่าพิภพ!”
หนิงฮัวคำราม ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสายฟ้าฟาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอีกครั้ง มันประสานกันเข้ากับแสงศักดิ์สิทธิ์ ทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์สลายไป
ภูตแห่งปัญญายิ้มแล้วโค้งคำนับอย่างสง่างาม จากนั้นก็ค่อย ๆ หายไปในหมู่เมฆสายฟ้า
การต่อสู้ที่นี่ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ในที่สุดหนิงฮัวก็สามารถเอาชนะภูตแห่งปัญญาที่ ลั่วอู๋ เรียกออกมาได้สำเร็จ แต่เขาก็ยังรู้สึกเศร้ามาก เพราะเขานั้นได้สูญเสียพลังวิญญาณไปมากในการต่อสู้กับมัน
ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่แน่ใจว่า เขาสามารถเอาชนะภูตแห่งปัญญาได้จริง ๆ หรือว่าอีกฝ่ายสลายไปโดยอัตโนมัติเพราะหมดเวลา
“ ลั่วอู๋!” หนิงฮัวกัดฟันและวิ่งไปที่ประตูห้วงมิติของสำนักเฉียนหลง ท่ามกลางสายตาที่ประหลาดในของทุกคน
เขาต้องการต่อสู้กับลั่วอู๋จริง ๆ
“ทูตเฉียนหลงข้าต้องการออกไปข้างนอก” หนิงฮัว
“โอ้ เจ้ามาทันเวลาพอดีเลย” ทูตเฉียนหลงตั้งข้อสงสัยบางอย่าง “ก่อนหน้านี้มีคลื่นรบกวนช่องห้วงมิติ แต่ตอนนี้มันฟื้นตัวแล้ว”
ทูตเฉียนหลงที่รับผิดชอบประตูห้วงมิติจากฝั่งสำนักเฉียนหลงนั้นไม่รู้ว่าอีกด้านเกิดอะไรขึ้น
หนิงฮัว ไม่ลังเลที่จะเข้าไปในประตูมิติทันที
หลังจากที่เดินเข้าไป หนิงฮัว ก็มาถึงลานจัตุรัสแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของจักรพรรดิ บรรยากาศโดยรอบนั้นแปลกมาก เต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่อยู่ในอากาศ
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะตอนนี้สมองเขาจดจ่ออยู่กับลั่วอู๋
เขามองไปที่ทูตเฉียนหลงที่กำลังปกป้องประตูห้องมิติอยู่ “เจ้ารู้ไหมว่าลั่วอู๋กำลังไปทางไหน?”
ดูเหมือนว่าทูตเฉียนหลงเพิ่งประสบกับสงครามครั้งใหญ่มา ลมปราณของเขาไม่คงที่ เขาดูสั่นเล็กน้อยและเหม่อลอย
“เจ้า … ” “เจ้าตามหาเขาทำไม?” ทูตเฉียนหลงถาม
หนิงฮัว กัดฟันและพูดว่า “ข้าอยากจะท้าทายเขา อย่างน้อยข้าก็ต้องรู้ว่า ข้าอยู่ห่างจากเขามากแค่ไหน”
ทูตเฉียนหลงกะพริบตา เขามองไปที่หนิงฮัวด้วยสายตาที่แปลกประหลาด และเงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดต่อว่า “ข้าขอแนะนำว่า อย่าทำแบบนี้”
“หืม ทำไมล่ะ” หนิงฮัวไม่เข้าใจ
ทูตเฉียนหลงมองไปที่ไม่ไกลนักจากลานจัตุรัส “เหตุผลยังไม่ชัดเจนอีกหรือ”
หนิงฮัวมองตามสายตาของทูตเฉียนหลง ภาพนั้นทำให้เขาต้องตกตะลึง
พื้นเกือบทั้งหมดตรงนั้นถูกบดขยี้ มีผู้ใช้พลังวิญญาณหลายสิบคนล้มลงกับพื้นหายใจอย่างอ่อนแรง บางส่วนตกอยู่ในอาการโคม่า
หนิงฮัวตกใจเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยในหมู่ผู้ที่นอนกองอยู่ตรงนั้น “นายพล ลู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
ลู่หยุนเฟิงมีความแข็งแกร่งสูงสุดในระดับทองขั้นสูง เขาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรบค่ายกลสังหารมาก่อน ในฐานะคนตระกูลหนิง หนิงฮัวจึงรู้จักเขา
แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ถือว่าทรงพลังอย่างแน่นอน เขาเป็นแม่ทัพที่แข็งแกร่งมากในสนามรบ
เขามานอนกองอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ทูตเฉียนหลง แสดงออกอย่างซับซ้อน “คนกลุ่มนี้เข้ามาเพื่อล้อมจับกุม ลั่วอู๋ แต่พวกเขาทั้งหมดถูก ลั่วอู๋ ทำร้าย”
หนิงฮัวได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
อย่ามาล้อกันเล่นน่า
ที่นี่มีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงกว่า 43 คน อีกทั้งยังมี ลู่หยุนเฟิง ผู้ที่ไปถึงจุดสูงสุดของมิติวิญญาณทองขั้นสูง อย่างลั่วอู๋จะเอาชนะพวกเขาได้ยังไง?
“ เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ? นี่เป็นฝีมือลั่วอู๋จริง ๆ เหรอ?” หนิงฮัวถาม “หากไม่ใช่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรไม่มีทางทำอะไรแบบนี้ได้แน่ ๆ”
ทูตเฉียนหลงพูดเสียงแผ่ว “ข้าเห็นมันด้วยตาของข้าเอง ข้าจะหลอกลวงเจ้าทำไม หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าสามารถก็ถามผู้ใช้พลังวิญญาณรอบตัวเจ้าสิ สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อจักรวรรดิได้เลย หากจะบอกว่า กองกำลังสำคัญน่าจะได้เห็นมันแล้วด้วยซ้ำ คิดว่าข้าจะโกหกเจ้างั้นเหรอ?”
หลังจากนั้นเขาก็โบกแขนเสื้อแล้วเดินเข้าไปในประตูห้วงมิติด้วยความโกรธ
เขาต้องรายงานเรื่องในวันนี้กับรองเจ้าสำนัก
เหลือเพียงหนิงฮัวที่มองไปยังฉากตรงหน้า เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่บีบคั้นระหว่างสวรรค์และโลกในขณะนี้ อย่างสับสน
นี่คือฝีมือของลั่วอู๋จริงๆเหรอ?
เขาช่างอยู่ห่างจากลั่วอู๋เหลือเกิน
ในตอนนี้ หนิงฮัวถูกโจมตีทางจิตใจอย่างหนัก และไม่ต้องการที่จะแข่งขันกับลั่วอู๋อีกต่อไป
……
……
อีกด้านหนึ่ง ลั่วอู๋อยู่ในสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดและเส้นลมปราณของเขาแทบจะแตกสลาย เขาถือลูกบอลกลมที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ไว้ในมือ มันได้สูญสิ้นพลังวิญญาณทั้งหมดไปแล้ว
นี่คือลูกแก้วมังกร
วัตถุวิญญาณที่องค์หญิงเจียโรวมอบไว้ให้กับ ลั่วอู๋
เขาสามารถใช้มันได้เพียงครั้งเดียว
ตอนนี้ลูกแก้วมังกรได้หมดสิ้นพลังวิญญาณทั้งหมด เห็นได้ชัดว่ามันได้ทำหน้าที่ของมันเสร็จสมบูรณ์แล้วเรียบร้อย
ใช่แล้ว เมื่อครู่ลั่วอู๋เพิ่งตายไปหนึ่งครั้ง
เขาใช้ไพ่ใบสุดท้ายของเขานั่นคือสั่งให้ตวนซีแปลงร่างเป็นสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิอย่างคุน แล้วทำการการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ
สถานะปัจจุบันของตวนซี เป็นเพียงระดับทองขั้นสูง ดังนั้นคุนที่แปลงร่างไปจึงมีมิติวิญญาณเพียงแค่ระดับทองขั้นสูงมิติ 4
แต่ยังไงซะ มันก็ยังเป็นสัตว์วิญญาณระดับ จักรพรรดิ
พลังต้นกำเนิดของมันนั้นแข็งแกร่งมาก
แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง มิติ 4 แต่คุนก็สามารถจัดการกับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงได้สบาย ๆ
อย่างไรก็ตามพลังแก่นวิญญาณของสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดินั้นแข็งแกร่งเกินไป ตวนซีจึงไม่สามารถควบคุมมันได้ ดังนั้นลั่วอู๋จึงต้องใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ เพื่อแบ่งปันภาระในการควบคุมส่วนหนึ่งออกไป
ถึงจะทำแบบนั้น ช่องว่างขนาดใหญ่ในระดับแก่นวิญญาณก็ยังมีอยู่ น้ำน้อยจะไปสามารถดับไฟใหญ่ดับไฟได้อย่างไร?
พลังวิญญาณจากแก่นวิญญาณอันน่าสยดสยองได้อยู่เหนือการควบคุมโดยสิ้นเชิง มันแล่นไปทั่วร่างของเขาอย่างดุเดือด ทุบร่างของลั่วอู๋แยกร่างของเขาออกเป็นเสี่ยง ๆ
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะสามารถใช้มันจัดการพรรคพวกของ ลู่หยุนเฟิงไปได้ แต่ลั่วอู๋ก็ได้รับความเสียหายจากผลข้างเคียงมากมหาศาลเช่นกัน
เขาเคยคิดว่า เขาสามารถทนต่อมันได้
แต่น่าเสียดายที่เขาคิดผิด
เขาจึงตายไปครั้งนึง
ต้องขอบคุณลูกแก้วมังกร ที่ช่วยชีวิตลั่วอู๋เอาไว้
แม้ตอนนี้อาการบาดเจ็บสาหัสนั้นจะยังคงไม่หายดี แต่ลั่วอู๋ไม่มีเวลาให้หยุดพัก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในลานจัตุรัสนั้น จะต้องไปถึงหูของหลี่ซวนซงทันทีอย่างแน่นอน
“มันต้องมีแผนการอยู่อีกแน่” ลั่วอู๋รู้จักหลี่ซวนซงเป็นอย่างดี
เขามักจะมีแผนสำรองก่อนที่จะเคลื่อนไหวเสมอ
ลูกแก้วมังกรได้รับความเสียหาย ทำให้ความแข็งแกร่งขององค์หญิงเจียโรวในมิติไหได้รับความเสียหายอย่างมาก นางไม่อาจเลื่อนขั้นไปสู่มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงในเวลาสั้น ๆ ได้อีกแล้ว แต่ลั่วอู๋ไม่มีเวลามาพิจารณาสิ่งเหล่านั้นในตอนนี้
เขาต้องรีบกลับไปที่ สำนักโล่พิทักษ์
ถ้าหลี่ซวนซงต้องการจัดการเขาละก็ ไม่มีทางเลยที่เขาจะปล่อยสำนักโล่พิทักษ์ไป
สำนักโล่พิทักษ์มีทุกคนที่ไว้วางใจและภักดีต่อลั่วอู๋ ดังนั้นลั่วอู๋จึงต้องช่วยเหลือพวกเขา ให้หนีจากผู้ไล่ล่าที่จะมาในระลอกที่สอง
มิฉะนั้น เมื่อข่าวของวันนี้แพร่กระจายออกไป เขาเกรงว่าจะมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับสำนักโล่พิทักษ์
ลั่วอู๋คุ้นเคยกับทางกลับบ้านของเขาดี
ภายในไม่กี่นาทีเขาก็กลับไปถึงสำนักโล่พิทักษ์ แน่นอนว่าสำนักโล่พิทักษ์ นั้นถูกจับตามองโดยเหยี่ยวจำนวนนับไม่ถ้วน
เนื่องจากพวกเขาไม่เคยละเมิดกฎหมาย และมีความสัมพันธ์ร่วมมืออันดีกับร้านค้าหลายแห่ง สำนักโล่พิทักษ์จึงไม่ถูกบังคับให้ปิดตัวลง
สำนักโล่พิทักษ์ ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ แต่แทบไม่มีธุรกิจใด ๆ เข้ามา
ไม่มีลูกค้าคนใดกล้าเดินผ่านเหยี่ยวของราชสำนัก เพื่อมาซื้อสินค้าในสำนักโล่พิทักษ์ ถึงกระนั้นสำนักโล่พิทักษ์ก็ยังตรงไปตรงมา พวกเขายังคงดำเนินธุรกิจแม้ว่าจะไม่มีลูกค้า
หลายคนคงคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ทันทีที่ลั่วอู๋ก้าวเข้ามาในพื้นที่ของสำนักโล่พิทักษ์ เขาก็ถูกเจอตัว เห็นได้ชัดมีทหารบางคนที่เก่งในการติดตามและค้นหาอยู่ในผู้ควบคุมเหยี่ยวเหล่านี้
“นั่นมัน ลั่วอู๋นี่!” เสียงคำรามของทหารนับไม่ถ้วนที่ทางราชสำนักส่งมาเพื่อเฝ้าติดตามผลเจอตัวเขาแล้ว แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีท่าทีคุกคามเป็นพิเศษ แต่แผนการของลั่วอู๋ที่จะพาผู้คนทั้งหมดในสำนักโล่พิทักษ์หนีไปด้วยก็ได้ไร้ผลแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ชิ!
นี่ทำให้ลั่วอู๋หดหู่ใจมาก
ทั้ง ๆ ที่เขาพยายามซ่อนลมปราณแล้วแท้ ๆ
“ถ้าตวนซียังตื่นอยู่ละก็ ข้าคงสามารถแอบเข้าไปด้านในโดยการเปลี่ยนร่างของมันได้แล้วแท้ ๆ” ลั่วอู๋ถอนหายใจและวิ่งหนี
ลั่วอู๋ต้องจ่ายราคาของพลังแห่งคุนด้วยชีวิตของเขา แล้วตวนซีที่เป็นตัวหลักจะไม่ไร้บาดแผลไปได้อย่างไร
ตวนซีนั้นอยู่ในสภาวะหลับสนิท
และมันจะต้องหลับแบบนี้ไปอีกนาน
หรือก็คือตอนนี้ลั่วอู๋ได้เสียสัตว์วิญญาณที่สำคัญไปแล้วหนึ่งตัว