ไหปีศาจ - บทที่ 683 ภัยคุกคาม
บทที่ 683 ภัยคุกคาม
บทที่ 683
ภัยคุกคาม
“เจ้าของร้าน นี่ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วนะขอรับ ที่สำนักโล่พิทักษ์ของพวกเราไม่สามารถเปิดได้อย่างเป็นทางการ” คนงานชายพูดด้วยใบหน้าเศร้า
“ ถ้าพวกเรายังเป็นแบบนี้ต่อไป ร้านของพวกเราต้องล้มละลายแน่ ๆ ขอรับ”
“ นายน้อยจะกลับมาเมื่อไหร่กันขอรับ?”
“ว่ากันว่านายน้อยถูกประกาศจับโดยจักรพรรดิองค์ใหม่ใช่ไหม?”
“พวกเราจบสิ้นแล้วใช่ไหมขอรับ?”
คนงานต่างพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความวิตกกังวล
ในฐานะเจ้าของร้านหลักในตอนนี้ เสี่ยวชายังคงสงบนิ่ง เขามีท่าทางเหมือนเจ้าของร้านคนเก่า เขามองไปที่เหล่าคนงานแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือพวกเจ้าต้องใจเย็นไว้ อย่ารีบร้อนและตื่นตระหนก”
เหล่าคนงานรู้สึกเหมือนถูกเจ้าของร้านตำหนิ พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
คำพูดนี้ดูคุ้นเคย
มันคือสิ่งที่ลั่วอู๋เคยพูดกับเสี่ยวชา
เขาไม่คิดเลยว่าตอนนี้มันจะเป็นคราวของเขาที่จะได้หันมาพูดคำนี้บ้าง
น้ำเสียงของเสี่ยวชาเอื่อยลงเล็กน้อย “แม้ว่าสำนักโล่พิทักษ์ ของเราจะไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดอยู่ยงคงกระพัน แต่พวกเราก็มีเงินออมอยู่บ้าง อย่างน้อยต่อให้ไม่ได้เปิดมาหลายเดือนแล้ว หรือแม้ว่าจะมีแขกไม่ถึงครึ่งต่อเนื่องหลายร้อยปี มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะต้องปิดตัวลง เจ้ามั่นใจได้เลยว่าเจ้าจะได้รับค่าจ้างเสมอ ”
คนงานบางคนเริ่มรู้สึกละอายใจ
การดูแลคนงานของสำนักโล่พิทักษ์ เรียกได้ว่าดีที่สุดในวงการธุรกิจทั้งหมด และแม้แต่คฤหาสน์ชวนเทียนก็ไม่สามารถเทียบได้
มันไม่ถูกต้องเลยที่พวกเขาจะพูดคำที่สิ้นหวังเหล่านี้ออกมาเมื่อมีปัญหา
ในความเป็นจริงพวกเขาเหล่านี้ค่อนข้างภักดี เพราะหลังจากที่หลี่ซวนซงขึ้นครองบัลลังก์ คนงานบางส่วนหลายคนในสำนักโล่พิทักษ์ก็ได้แอบหนีออกไปตอนกลางคืน
ทุกคนรู้ดีว่าสำนักโล่พิทักษ์มีความบาดหมางกับอดีตองค์ชาย
ผู้ที่ยังอยู่ในตอนนี้ก็คือคนที่เต็มใจจะอยู่ต่อและภักดีต่อสำนักโล่พิทักษ์
“ตอนนี้องค์จักรพรรดิตั้งค่าหัวนายน้อยแล้วมันจะยังไงล่ะ?” เสี่ยวชาดูหมิ่น “สำนักโล่พิทักษ์ของเรา ไม่ได้ละเมิดกฏข้อใดของจักรวรรดิ ตราบใดที่เราไม่ผิดกฎอะไร ต่อให้เป็น องค์จักรพรรดิก็สั่งตัดหัวพวกเราไม่ได้ไม่ใช่รึไง?”
“ คราวก่อนเขาล้มเหลวในการก่อกบฏ เพราะนายน้อยอยู่ที่นี่ในคราวก่อน”
“ ตอนนี้นายน้อยไม่อยู่ เขาก็เลยใช้ประโยชน์จากโอกาสนั้น”
“ถ้านายน้อยอยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าเขาจะได้ขึ้นเป็น องค์จักรพรรดิได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้เหรอ?”
เมื่อคนงานได้ยินคำพูดเหล่านี้ พวกเขาก็พร้อมที่จะบูชานายน้อยอีกครั้ง
เป็นความจริงที่ว่านายน้อยเคยทำลายแผนของหลี่ซวนซงมาก่อนร่วมกับอดีตองค์จักรพรรดิ ซึ่งในตอนแรกคนที่ริเริ่มขัดขวางแผนของหลี่ซวนซงจนทำให้แผนของเขาล่มก็คือนายน้อย
แม้ว่าตอนนี้หลี่ซวนซงจะได้เป็นองค์จักรพรรดิ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เสี่ยวชา มองไปที่การแสดงออกของคนงานกลุ่มนั้นอย่างสบายใจพลางถอนหายใจในใจ มีร่องรอยของความกังวลฉายอยู่ในดวงตาของเขา
คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำปลอบขวัญ
คงเป็นเรื่องโง่ที่เขาจะเอาจริงเอาจังกับคำพูดเหล่านี้
สถานการณ์ของสำนักโล่พิทักษ์ในตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ร้านค้าหลายแห่งได้ตัดความร่วมมือทางธุรกิจกับสำนักโล่พิทักษ์ไปแล้วภายใต้แรงกดดันขององค์จักรพรรดิ
มีเพียงศาลาไป่หยู่และคฤหาสน์ชวนเทียนเท่านั้นที่ยังคงให้ความร่วมมือที่ดีกับสำนักโล่พิทักษ์ซึ่งก็มีแต่จะแย่ลง
ใครจะไปคิดว่าหลี่ซวนซงยังมีชีวิตอยู่ และได้กลายมาเป็นจักรพรรดิ
ด้วยความกดดันที่เพิ่มขึ้นผู้คนจำนวนมากขึ้นจึงเลือกที่จะจากไป
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ นั่นก็เพราะพวกเขาทุกคนเป็นเพียงคนธรรมดา พวกเขาต่างมีครอบครัวพ่อแม่ และเพื่อนฝูง พวกเขารับแรงกดดันมากเกินไปที่จะอยู่ในสำนักโล่พิทักษ์ต่อ
“เจ้าคือลั่วอู๋!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง และเหล่านกเหยี่ยวจากราชสำนักก็ไปรวมตัวกันนอกสำนักโล่พิทักษ์
เสี่ยวชา ตกตะลึงจากนั้นก็ประหลาดใจ
นายน้อยกลับมาแล้วงั้นเหรอ?
ทั้งสำนักโล่พิทักษ์เดือดพล่าน
ทุกคนต่างวิ่งออกไป
“นายน้อย!” ในที่สุดฝูงชนก็เห็นลั่วอู๋ พวกเขาอุทานอย่างตื่นเต้น
ลั่วอู๋มองไปทางสำนักโล่พิทักษ์ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเหยี่ยวและสุนัขของราชสำนักพลางถอนหายใจในใจ เขาทำได้เพียงโบกมือไปไกล ๆ เพื่อแสดงการมาถึงของเขา
“หยุดเดียวนี้!” เหยี่ยวและสุนัขของราชสำนักได้รายงานว่าพวกมันพบ “การจลาจล” จากสำนักโล่พิทักษ์ทำให้ทหารตะโกนเป็นเสียงดัง
ตอนนี้สำนักโล่พิทักษ์ได้เลิกกิจการแล้ว
การเฝ้าระวังสามเดือนไม่ได้บั่นทอนพวกเขาเลย
พวกเขาไม่ใช่นักโทษ ทำไมพวกเขาจะออกไปไม่ได้? ที่นี่คือสำนักโล่พิทักษ์ของพวกเขา โดยปกติแล้วแม้ว่าทางราชสำนักจะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกไปข้างนอกเมื่อนายน้อยกลับมา พวกเขาก็พร้อมจะสู้ !!
แม้ว่าสำนักโล่พิทักษ์ จะไม่ใช่ร้านค้าที่ทรงพลัง แต่ที่นี่ก็ยังมีความสามารถในการป้องกันตนเองอยู่บ้าง
ทีมผู้คุ้มกันคมมีดได้เดินออกมา เหล่าผู้คุ้มกันหลายร้อยคนเดินออกมาสู้กับทหาร เหยี่ยวและสุนัขของราชสำนัก
“ข้าเตือนพวกเจ้าแล้วว่าอย่าโอหังให้มากนัก ! ไม่งั้นมันจะเป็นเรื่องใหญ่” หลิวหูก้าวออกมา ร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยงูหลามเขาใหญ่โต ลมปราณของเขารุนแรง มีแสงอันดุร้ายในแววตาของเขา
หลังจากฝึกฝนมาหลายปีเขาก็ได้มาถึงระดับทองขั้นสูง
ยังไงซะเขาก็เป็นผู้นำของทีมคุ้มกันคมมีด เขาได้กลืนยารวบรวมพลังวิญญาณมาหลายปีแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง
นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงอีกสามคนที่โดดเด่น พวกเขาคือสมาชิกเก่าแก่ของทีมคุ้มกันคมมีด ซึ่งได้พึ่งพายารวบรวมพลังวิญญาณจำนวนมากจนก้าวข้ามไปสู่มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง พวกเขาไม่เคยคิดที่จะหลบหนี และความภักดีของพวกเขานั้นไร้ข้อกังขา
แม้ว่าการพึ่งพายารวบรวมพลังวิญญาณจะนำไปสู่ความแข็งแกร่งที่ไม่ดีนัก แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังถือว่าเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง
ผู้ใช้พลังวิญญาณทั้งสี่ส่งแรงกดดันออกไป
กลับกันแล้วกองกำลังที่มาตรวจสอบสำนักโล่พิทักษ์เอง นั้นมีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงไม่มากเท่าไหร่นัก เพราะการจะส่งผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงที่มีค่าไปตรวจสอบนั้นเกินความจำเป็นไปมาก
“มันขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้านะ ว่าจะขัดขืนราชโองการไหม?” ลั่วอู๋กล่าว
แม้ว่าพลังของเหยี่ยว และสุนัขจากราชสำนักจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
หลิวหู คำราม “ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดก่อน จากนั้นข้าก็จะติดตามเจ้าไปยังจุดจบของโลก ข้าเบื่อกับชีวิตแบบนี้แล้ว!”
ถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องสำนักโล่พิทักษ์ของนายน้อย เขาคงจะอาละวาดไปนานแล้ว หลิวหูไม่ใช่คนอารมณ์ดีเท่าไหร่
และกลุ่มพี่น้องของทีมคุ้มกันคมมีดเองก็พร้อมที่จะสนับสนุนเขาอย่างเห็นได้ชัด
ลั่วอู๋ที่กำลังจะหลบหนีรู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดของเขา
ต่อให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้ มันก็คุ้มค่าแล้วที่จะกลับมาต่อสู้เพื่อช่วยชีวิตผู้คนของสำนักโล่พิทักษ์
ทว่าตอนนี้ลั่วอู๋ถูกพบตัวแล้ว และเขาก็กำลังบาดเจ็บสาหัส ต่อให้เขากวาดต้อนล้อมเพื่อไปช่วยคนในสำนักโล่พิทักษ์ออกมา ตัวเขาก็อาจจะไม่สามารถรอดออกไปได้
กองทหารจากราชสำนัก เริ่มลุกลี้ลุกลน
“ข้าแนะนำ ว่าพวกเจ้าอย่ามาลองดีกับข้าจะดีกว่า” ชายชุดดำที่เป็นผู้นำ ทำหน้าที่คุกคามสำนักโล่พิทักษ์ ส่งสัญญาณเพื่อขอกำลังเสริม
แกว๊ก!
เปลวไฟถูกดับลง
มีลมปราณอันรุนแรงแผ่ออกมาเป็นระยะ
กองทหารผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหลวงกำลังจะมาที่นี่
ชายในชุดดำมองไปที่ ลั่วอู๋ อีกครั้ง “ลั่วอู๋ เจ้ากลับมาแล้วสินะ ข้ามาพร้อมกับพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิที่จะจับกุมตัวเจ้า… ”
“พระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ?” ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “ไปบอกองค์ชายตัวแสบอย่างหลี่ซวนซงว่าล้างคอรอไว้เลย ข้าจะไปฆ่าเขาไม่ช้าก็เร็ว”
“ โอหัง!” ใบหน้าของกองทหารจากราชสำนักเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
การดูหมิ่นองค์จักรพรรดิในที่สาธารณะถือเป็นอาชญากรรมที่ยิ่งใหญ่
ลั่วอู๋อยากจะดุอีกครั้ง แต่ลมปราณของกองทหารผู้พิทักษ์เมืองหลวงเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าเขาไม่หนีออกไปตอนนี้เขาก็จะไม่สามารถหนีออกไปได้อีก
“ กลับไปบอกหลี่ซวนซงว่า ถ้าเขากล้าแตะสำนักโล่พิทักษ์ ข้าขอให้สัญญาว่าตราบใดที่ข้ายังไม่ตายเจ้าจะไม่ได้อยู่อย่างสงบ และบ้านเมืองนี้จะต้องตกอยู่ในความวุ่นวาย !! ลองคิดดูว่าข้ามีความสามารถทำเช่นนั้นรึเปล่า” ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ และคำรามออกมาอย่างหนักเท่าที่จะทำได้
เสียงของเขาดังออกไปเหมือนระฆังอันยิ่งใหญ่ ดังก้องไปบนท้องฟ้าของเมืองหลวงทั้งหมด
ลั่วอู๋ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะแผดเสียงประโยคนี้ แน่นอนว่ามันต้องดังพอที่จะทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณได้ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้คนในเมืองหลวงของจักรวรรดิได้ยินคำพูดอันน่ารังเกียจนี้
หลังจากตะโกนประโยคนี้ลั่วอู๋ก็หันหน้าและวิ่งหนีไปโดยไม่มีร่องรอยที่จะหันกลับมา