ไหปีศาจ - บทที่ 695 ตามความเป็นจริง
บทที่ 695 ตามความเป็นจริง
บทที่ 695
ตามความเป็นจริง
หลี่ซวนซงผู้สวมชุดเสื้อคลุมมังกร กำลังรอยืนดักอยู่บนเนินเขาห่างจากหุบเขามรณะไปไม่ถึง 50 ลี้
ข้างหลังเขามีเงามังกรห้าตัว ราวกับว่าพวกมันกำลังเวียนว่ายอยู่ในเส้นเลือดชีพจรของโลก แสดงให้เห็นถึงพลังอันน่ากลัวของพลังวิญญาณมังกรที่กำลังก่อตัวขึ้น
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเทือกเขาทั้งหมดต่างหวาดกลัวต่อพลังวิญญาณมังกร จนกลายเป็นภูเขาปราศจากสิ่งมีชีวิต
นี่เป็นแผนการรับมือกับลั่วอู๋ขั้นสุดท้ายของหลี่ซวนซง
เมื่อเขารู้ว่าลั่วอู๋อาจจะมาที่นี่จากภูตไห เขาจึงได้มาดักรอล่วงหน้า
มันเป็นไปตามที่ลั่วอู๋กังวลไว้ว่าหลี่ซวนซงจะมีแผนสำรองอีก
แม้ว่าลั่วอู๋จะรอดพ้นจากเงื้อมมือของเซียวอวี้ แต่เขาก็ไม่สามารถหลีกหนีหลี่ซวนซงที่ดักรออยู่ที่นี่ได้
เมื่อมองจากไกล ๆ หลี่ซวนซงเริ่มเห็นกองทัพหมาป่าล่าถอยกลับไป
ไอพลังวิญญาณแห่งความตายกระจัดกระจายออกไป ไม่นานนักเซียวอวี้ก็มาปรากฏตรงหน้าเขา
“องค์จักรพรรดิ” เซียวอวี้คุกเข่าข้างหนึ่ง
หลี่ซวนซง ขมวดคิ้ว “ลั่วอู๋อยู่ที่ไหน?”
“เขาหนีแล้ว”
“หา?” ร่องรอยของโทสะปรากฏขึ้นในดวงตาของ หลี่ซวนซง “เกิดอะไรขึ้นกัน แล้วทำไม ข้าไม่รู้สึกถึงลมปราณของเขาเลย”
ความล้มเหลวสองครั้งของเซียวอวี้ทำให้เขาโกรธจัด
หลังจากการไล่ล่าถึงสองครั้ง เขาก็ยังปล่อยให้ ลั่วอู๋ หนีไปได้ นี่ทำให้หลี่ซวนซงโกรธมาก
“เขาใช้หินทะลวงมิติหนีไปขอรับ” เซียวอวี้กล่าว
แน่นอนว่าเซียวอวี้นั้นไม่สามารถขัดจังหวะการทำงานของหินทะลวงมิติได้
“หินทะลวงมิติของเขาไม่มีพิกัด”
หลี่ซวนซงตกตะลึง ไม่แปลกใจเลยที่แม้ว่าเขาจะใช้พลังของมังกรทั้งห้าอยู่ แต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงความผันผวนของห้วงมิติ
หินทะลวงมิติที่ไม่มีการพิกัดนั้น เมื่อใช้แล้วมันจะเปิดห้วงมิติออกมาโดยตรง ทำให้ไม่สามารถพบร่องรอยการทะลวงมิติ จึงไม่สามารถหยุดยั้งมันหรือสะกดรอยตามไปได้
“เป็นแบบนั้นเองสินะ” หลี่ซวนซงกัดฟัน
ไม่มีใครสามารถตามไปจับคนที่หลุดลงไปในห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตได้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครสามารถช่วยผู้ที่สูญหายลงไปในห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้เช่นกัน
เช่นเดียวกับจักรพรรดิองค์เก่าที่ถูกเนรเทศไปยังห้วงมิติแห่งความว่างเปล่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะย้อนกลับมาจากสภาพนั้นต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิก็ตาม
แต่หลี่ซวนซงนั้นไม่ได้กังวลว่าอีกฝ่ายจะกลับมารึเปล่า
“ให้ท่านหญิงเฟิงหาทางเอาตัวเขากลับมาให้ได้ เอาเขากลับมาเป็น ๆ เท่านั้น แต่ถ้าเขาตายไปเองแล้วก็จงเอาศพของเขากลับมา” ใบหน้าของหลี่ซวนซงสดใส ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเย็นชา
ถ้าภูตไหอยากจะฆ่าลั่วอู๋นักหนา แล้วทำไมเขาถึงไม่ลงมือเองล่ะ?
เห็นได้ชัดว่าลั่วอู๋มีบางอย่างที่ทำให้ภูตไหต้องหวาดกลัวอยู่ และหลี่ซวนซงต้องการสิ่งนั้นเพื่อที่เขาจะได้มีวิธีในการตอบโต้ภูตไห
เซียวอวี้มึนงง “เขาเข้าสู่ห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นไปไม่ได้เลยนะขอรับที่จะค้นหา … ”
“เขาไม่ได้ถูกทักษะเนรเทศ เขาใช้หินทะลวงมิติ”หลี่ซวนซง กล่าวอย่างเย็นชา “ดังนั้นเขาก็แค่อยู่นอกห้วงมิติหลัก ตราบใดที่เรามีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรที่เชี่ยวชาญในแก่นแท้ทักษะแห่งห้วงมิติ พวกเราก็ยังมีโอกาสค้นหาเขาเจอ”
เซียวอวี้ไม่กล้าพูดอะไรมาก
ต่อให้เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงก็คงไม่สามารถดำรงอยู่ได้นาน ในห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด
คนที่หลุดเข้าไปในนั้น ต้องเจอกับกระแสห้วงมิติที่เป็นดั่งน้ำวน และถูกทุบเป็นผุยผงในความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมีอยู่ทุกที่ในกระแสห้วงมิติ
แต่ในเมื่อองค์จักรพรรดิยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรมาก
……
……
ณ ค่ายของหน่วยสยบมังกร
ผู้บัญชาการหลิงหลงสวมชุดเกราะสีเลือดของนาง ดาบพยัคฆ์ขาวในมือของนางถูกก็ชำระล้างจนสะอาด คมดาบนั้นไร้ที่ติปราศจากเลือดและฝุ่น
นางยกขวดไวน์ ขึ้นดื่ม จนเมามาย ง่วงนอน พลางมองไปยังศพที่แทบจะไม่สามารถปะติดปะต่อกันได้เบื้องหน้านาง
“ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรขาดหายไป” ผู้บัญชาการหลิงหลงสับสน
ดูเหมือนว่าร่างนี้จะไร้ซึ่งพลังวิญญาณ?
ยังไง ๆ เขาก็เป็นถึงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง แล้วทำไมร่างของเขาถึงไม่เหลือพลังวิญญาณอยู่เลย
“พูดออกมาก่อนตายไม่ได้รึไง ? แบบนี้ข้าจะไปหลงเซี่ยได้ที่ไหนกัน?” ผู้บัญชาการหลิงหลงถอนหายใจ
“อย่างไรก็ตาม ข้ารู้จักเจ้าแล้ว ข้าจะจดจำเจ้าไว้ แล้วจะแก้แค้นให้เจ้า เมื่อจักรพรรดิองค์เก่ากลับมา ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”
ผู้บัญชาการหลิงหลงที่กำลังเมามายนอนลงบนเตียงแล้วหลับไป ปล่อยให้ขวดไวน์ทรงสูงหล่นลงกับพื้น จนไวน์ไหลออกมา
……
……
อีกด้านหนึ่งที่สำนักเฉียนหลง
หลี่หวู่หยวนเงยหน้าขึ้นมองดวงดาว ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยแสงอันเฉียบคม ดวงดาวบนท้องฟ้ากลายเป็นเหมือนกระแสแห่งความโกลาหลขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้การรับรู้ของเขาดำเนินต่อไปได้ยาก
ฉูจงฉวน ในชุดสีขาวกำลังรอเขาอยู่ข้าง ๆ อย่างใจจดใจจ่อ
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน หลี่หวู่หยวนก็หยุดลง หยดเลือดไหลซิบออกมาจากดวงตาของเขา
“ท่านรองเจ้าสำนัก” ฉูจงฉวน ตกใจ
หลี่หวู่หยวน โบกมือและหยิบแผ่นกระดาษสีขาวออกมาเพื่อเช็ดเลือด “ไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่ใช้สายตามากเกินไป”
แม้แต่หลี่หวู่หยวนผู้ทรงพลังก็ยังใช้นัยน์ตาหมื่นลี้ของเขามากจนเกินไปในการสำรวจห้วงมิติความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด แค่นั้นก็บ่งบอกได้แล้วว่าการสำรวจห้วงมิตินั้นยากเพียงใด
และถึงแม้เขาจะสำรวจเพียงมุมหนึ่งของห้วงมิติแห่งความว่างเปล่า มันก็จะกว้างออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ท่านหาเขาเจอไหม?” ฉูจงฉวนพูดด้วยความหวังอันริบหรี่
หลี่หวู่หยวน ส่ายหัวด้วยสายตาอันซับซ้อน “ไม่”
เมื่อรู้ว่าสิ่งที่กำลังมองหาไม่ต่างไปจากการงมเข็มในมหาสมุทร ฉูจงฉวนก็ไม่สามารถแบกรับความผิดหวังต่อไปได้
ทันทีที่ออกจากหุบเขามรณะ เขาก็รีบกลับไปที่สำนักเฉียนหลง เล่าเรื่องทุกอย่างให้หลี่หวู่หยวนฟัง ซึ่ง หลี่หวู่หยวนก็ไม่ลังเลและเริ่มตามหาลั่วอู๋ในทันที
แต่หลังจากความพยายามทั้งหมด เขาก็ยังไม่พบอะไร
นั่นหมายความว่า ลั่วอู๋ อาจจะตายกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว หรือไป ลั่วอู๋ ก็อยู่ห่างจากห้วงมิติหลักมากจนเกินไปที่จะพบได้ด้วยความสามารถของ หลี่หวู่หยวน
ไม่ว่าจะความจริงจะเป็นแบบไหนมันก็ยากที่เขาจะยอมรับได้
หลี่หวู่หยวนรู้สึกผิดมาก
ถ้าเขาให้ความสำคัญกับสถานการณ์ของโลกภายนอกมากกว่านี้ เหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
“พวกเจ้าคนอื่น ๆ สบายดีกันไหม? ” หลี่หวู่หยวนถาม
ฉูจงฉวน กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ไม่เป็นไร แต่ข้าว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับหลี่หยิน ข้าแนะนำให้นางกลับมาที่สำนักเฉียนหลงกับข้า แต่ดูเหมือนนางจะไม่รู้จักข้าอีกต่อไปแล้ว นางจากไปพร้อมกับองค์หญิงเจียโรว ข้าไม่รู้เลยว่าพวกนางไปที่ไหนกัน
“โอ้?” หลี่หวู่หยวน ขมวดคิ้วอีกครั้ง
หลี่หยินกับองค์หญิงเจียโรวหายไปงั้นเหรอ?
นี่เป็นปัญหาแน่
……
……
สำนักโล่พิทักษ์
“แย่แล้วท่านเจ้าของร้าน ตอนนี้มีทหารจำนวนมากดักล้อมพวกเราที่หน้าประตู” พนักงานชายคนหนึ่งตะโกน
ทั่วทั้งสำนักโล่พิทักษ์ตกอยู่ในความตื่นตระหนก
เดิมทีพวกเขาแค่ส่งคนมาตรวจตรารอบ ๆ สำนักโล่พิทักษ์ เพื่อคอยป้องกันไม่ให้สำนักโล่พิทักษ์ก่อความวุ่นวาย สำนักโล่พิทักษ์จึงดำเนินงานได้ตามปกติ แต่ตอนนี้กลับมีทหารจำนวนมากถูกส่งมาล้อมที่หน้าประตูร้าน ตอนนี้สถานการณ์มันจึงไม่ต่างอะไรไปจากการถูกสั่งให้ปิดร้าน!
เสี่ยวชาและอาฟูสงบสติอารมณ์แล้วจึงเดินออกไปนอกร้าน
แม้กองทหารดังกล่าวกับทีมคุ้มกันคมมีดจะยังไม่ได้ปะทะต่อสู้กัน แต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าที่จะผ่อนคลายถอยทัพออกไป
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน” ชายคนหนึ่งตะโกนออกมา แค่เห็นก็รู้ว่าเขาคือ ขุนนางฮวง จากทางราชสำนัก
เบื้องหลังเขามีกองทหารองครักษ์อยู่นับพันคน ซึ่งเป็นกองทหารที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ใบหน้าของเสี่ยวชาจมลง “สำนักโล่พิทักษ์ ของข้าไม่เคยทำอะไรที่ขัดต่อกฎหมายและระเบียบวินัยพวกเราจ่ายภาษีเงินอย่างสม่ำเสมอ และส่งส่วยเป็นจำนวนมากในทุก ๆ เดือน เจ้ามาทำแบบนี้ เจ้าต้องการอะไร?”
หัวหน้าองครักษ์มีรอยยิ้มอันขมขื่นบนใบหน้า
พวกเขาไม่ได้มีปัญหาว่า “ส่วย” ที่ให้นั้นไม่พอ แต่ในเมื่อเรื่องมันบานปลายมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่พวกเขาก็คงทำอะไรไม่ได้
“ ต้องการอะไรงั้นเหรอ ?” ขุนนางฮวงร้องเสียงหลงอีกครั้ง “ลั่วอู๋ ได้กระทำการดูถูกดูหมิ่นองค์จักรพรรดิ ในเวลากลางวันแสก ๆ ในเมื่อตอนนี้เขาซึ่งเป็นอาชญากรได้ถูกจับกุมตัวแล้ว สำนักโล่พิทักษ์ซึ่งอยู่ในฐานะทรัพย์สินของ ลั่วอู๋ ก็ย่อมต้องถูกยึดไปโดยราชสำนัก”
ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์เดือดพล่านขึ้นในทันที
แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลั่วอู๋
อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำว่าอาชญากร ทั่วทั้งสำนักโล่พิทักษ์ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ กระตือรือร้นที่จะต่อสู้กับกองทหารเหล่านี้ในทันที
ขุนนางฮวงพูดอย่างเหยียดหยาม “อย่าไปสนถ้าพวกมันโวยวาย ไล่พวกมันออกไปแล้วปิดผนึกสำนักโล่พิทักษ์ลงซะ พวกข้ามีสิ่งสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องทำอีก”
“ขอรับ”
กองทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งรีบวิ่งขึ้นไปเหมือนฝูงหมาป่า
คนเหล่านี้คือทหารชั้นยอดที่คอยปกป้องเมืองหลวงของจักรวรรดิ มีผู้ที่ทรงพลังอยู่มากมายในหมู่พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากใครต่อต้านพวกเขาก็จะถือว่าเป็นการต่อต้านราชโองการขององค์จักรพรรดิ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะสามารถลงมือฆ่าคนเหล่านั้นได้ในทันที
สีหน้าสิ้นหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์
แม้ว่าจะพยายามต่อต้านแค่ไหน ผลลัพธ์ก็คงมีแต่ความตาย
ทันใดนั้นก็มีเสียงดาบคำรามดังขึ้นไป พร้อมกับดาบสีเขียวที่พุ่งออกมาจากสำนักโล่พิทักษ์ ราวกับว่าจะแทงทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้า
ดาบเล่มนี้เต็มไปด้วยพลัง
ทหารองครักษ์ต่างตกใจไปตาม ๆ กัน แล้วล้มลงคุกเข่ากับพื้น
มันน่ากลัวมาก
มีเพียงทหารองครักษ์ที่มีมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงเพียงสามคนเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ได้ แต่ก็เกือบจะล้ม
“ใครมันกล้าขัดขืนราชโองการ” ขุนนางฮวงตัวสั่นขณะล้มลงกับพื้น เขาร้องลั่นด้วยความโกรธ
ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากสำนักโล่พิทักษ์อย่างช้า ๆ เขาเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความประณีตและเป็นอิสระเรียบง่าย ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งในโลกไม่น่าสนใจสำหรับเขา
เขามีชื่อว่า หลินเจิ้ง
นักดาบที่อาศัยอยู่ในสำนักโล่พิทักษ์
ชายผู้ที่เคยมีฉายาอันยิ่งใหญ่
นักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก