ไหปีศาจ - บทที่ 699 ฆ่าแล้วจากไป
บทที่ 699 ฆ่าแล้วจากไป
บทที่ 699
ฆ่าแล้วจากไป
ตระกูลลั่วนั้นไม่ใช่ตระกูลเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก
จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รู้เกี่ยวกับการตายของบรรพบุรุษแห่งตระกูลลั่ว เนื่องจากตระกูลลั่วได้ปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ดังนั้นในสายตาของคนส่วนใหญ่ตระกูลลั่วจึงยังคงเป็นยักษ์ใหญ่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ตระกูลลั่วมีบรรพบุรุษเป็น ลั่วไป่เหาผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรผู้แข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้พวกเขายังเป็นเจ้าของธุรกิจศาลาไป่หยู่ ที่ครอบครองลิงเผือกอยู่หลายตัว ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าตระกูลลั่วไม่ใช่เป้าหมายที่จะยั่วยุได้ง่าย ๆ
โดยทั่วไปแล้วองค์จักรพรรดิจะไม่ยั่วยุกองกำลังของตระกูลต่าง ๆ โดยไม่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สงบในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
พวกเขาไม่ใช่กองกำลังที่ใครจะกล้ามีปัญหาด้วยง่าย ๆ
แม้ว่าตระกูลลั่วจะตกอยู่ในสภาพไร้ผู้สืบทอดและไม่ได้มีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรคนใหม่เลยแม้แต่คนเดียว แต่ตระกูลลั่วก็ไม่ใช่กองกำลัง ที่สำนักโล่พิทักษ์เล็ก ๆ จะสามารถยั่วยุได้
ดังนั้นเมื่อ หลี่หยินแสดงท่าทีต่อต้าน มันจึงเป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับฝูงชนรอบ ๆ และคนในสำนักโล่พิทักษ์
“โอหัง!”
ลั่วฮันเชียงที่ยืนอยู่ข้างหลังผู้ใช้พลังวิญญาณของตระกูลลั่วชี้หน้าหลี่หยินด้วยความโกรธ
ตอนนี้ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นถึงผู้นำของตระกูลลั่ว แต่เนื่องจากเขาไม่มีความสามารถในการป้องกันตนเอง เขาจึงต้องนำกลุ่มผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งติดตามมาด้วยเมื่อออกมาข้างนอก
“ให้ข้าจัดการเอง!” ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงของตระกูลลั่วคำรามจากนั้นเผยเงาผีด้านหลังของเขาออกมา เขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่เชี่ยวชาญในด้านการโจมตีทางจิตวิญญาณ
ทักษะระดับ S
พลังวิญญาณอันรุนแรงไหลออกมาจากปลายนิ้วของเขาในทันที แสงอันรวดเร็วพุ่งแทงเข้าไปในร่างของหลี่หยิน
ทว่าจู่ ๆ เงาของหลี่หยินก็หายไปในพริบตา
แสงสีขาวยิงผ่านอากาศไปอย่างไร้เป้าหมาย
นัยน์ตาของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงหดตัว”ทักษะทะลวงมิติงั้นเหรอ ? ไม่สิ นี่มันไม่ใช่ทะลวงมิติ มันไม่น่าจะเร็วไปกว่าทักษะของข้าได้”
ขณะที่เขากำลังตกใจ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอก และเมื่อมองลงไปเขาก็ต้องพบว่ามีรอยเลือดสี่จุดปรากฏขึ้นบนหน้าอกของเขาอย่างปริศนา
ราวกับถูกกรงเล็บของแมว
นี่คืออะไร
ใบหน้าของเขาสับสน แต่เมื่อรู้สึกตัวอาการบาดเจ็บที่อกก็รุนแรงขึ้นจนหาที่เปรียบไม่ได้ เลือดไหลซึมออกมาอย่างไม่หยุด รู้ตัวอีกทีเขาก็ได้พ่ายแพ้ไปเสียแล้ว
มันเร็วเกินไป
เขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกโจมตีด้วยอาวุธอะไร
ปึง
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงล้มลง โดยที่ท่าทีของ หลี่หยินไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ราวกับว่านางไม่ได้สนใจอะไรเขาสักนิด นางใช้ทักษะหลอกหลอนพุ่งไปที่ลั่วฮันเชียงอีกครั้ง
ลั่วฮันเชียงตื่นตระหนก จนต้องตะโกนออกมา “ช่วยข้าด้วย”
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงที่ทรงพลังหลายคนเดินออกมาปกป้องเขา
“ เมฆทะมึน!”
“จักรพรรดิแห่งสายลมชั่วร้าย!”
“ ระบำมังกรไฟ!”
ด้านหลังพวกเขาแสดงให้เห็นเงาเสมือนของสัตว์วิญญาณอันทรงพลัง จากนั้นแต่ละคนก็ใช้ทักษะเฉพาะทางของตนเองเพื่อพุ่งเข้าหาหลี่หยิน สายลม เมฆหมอกและเปลวไฟได้มารวมตัวกันโจมตีไปที่นาง
คลื่นพลังวิญญาณอันทรงพลังสั่นสะเทือนออกมา จนหลาย ๆ คนที่อยู่รอบข้างต้องหลีกทางหลบด้วยความกลัวไม่ต้องการที่จะโดนลูกหลงจากการต่อสู้
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือร่างของหลี่หยินได้ แปรสภาพกลายเป็นเงา การโจมตีเหล่านั้นพุ่งผ่านไปโดยที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง” เหล่าเทพผู้อาวุโสของตระกูลลั่วต่างตกตะลึง “นางเคลื่อนไหวหลบได้อย่างอิสระภายใต้การโจมตีของพวกเราเนี่ยนะ?”
นี่เป็นความสามารถของทักษะระดับ SS [หลอกหลอน] ซึ่งแม้จะมีระยะสั้นแต่ก็ทำให้ผู้ใช้อยู่ในสถานะอันไร้เทียมทานที่ไม่มีทางถูกใครโจมตีได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากความเร็วของ หลี่หยินนั้นเร็วกว่าผู้ใช้พลังวิญญาณปกติทั่วไปมาก ระยะเวลาสั้น ๆ นั้นจึงช่วยให้นางสามารถพุ่งผ่านการโจมตีทั้งหมดของคู่ต่อสู้ได้โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ ขวางกั้น
แน่นอนว่าหลี่หยินนั้นไม่เสียเวลาไปตอบคำถามของอีกฝ่าย
ดวงตานางถูกปกคลุมไปด้วยชั้นพลังวิญญาณธาตุความมืด
ระดับ S [การสะกดจิตแบบสัมบูรณ์]
คลื่นพลังวิญญาณประหลาดหลั่งไหลออกมาจากตัวของหลี่หยิน
เหล่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงต่างตกอยู่ในห้วงภาพลวงตาจนฟุ้งซ่านไปชั่วขณะ จากนั้นพวกเขาก็ถูกจิตสังหารอันรุนแรงและเงาอันน่ากลัวที่สร้างขึ้นโดยฝันร้ายเข้าปกคลุมร่างของพวกเขาในทันที
“อะไรกัน!”
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตามเสียงคำรามของเหล่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง ก็ทำให้ผู้คนโดนรอบรู้สึกหนาวสันหลังไปตาม ๆ กัน
รู้สึกตัวอีกทีผู้ใช้พลังวิญญาณของตระกูลลั่วทั้งหมดก็ได้ล้มลงไปพร้อม ๆ กันในสภาพโชกเลือดไปทั่วตัวย้อมถนนทั้งเส้นจนกลายเป็นสีแดงสด
ลั่วฮันเชียงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ได้แต่สับสนงุนงงและตื่นกลัวใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ข้าคือผู้นำของตระกูลลั่ว เจ้านายของเจ้าเลยนะ” ลั่วฮันเชียงมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากคนจมน้ำที่พยายามคว้าฟางเส้นสุดท้าย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ร่างกายของหลี่หยินก็สั่นสะท้าน หมอกบนร่างของนางหมุนวนอย่างรุนแรงราวกับกระแสน้ำแห่งยมโลก
“อา”
หลี่หยินกรีดร้อง
ร่างกายของนางปล่อยพลังวิญญาณสีเลือดราวกับนางได้หลุดเข้าไปในสนามรบโบราณที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาซากศพและทะเลเลือด
ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!
ไอ้บัดซบนี่!
ลั่วฮันเชียง ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาได้ไปกระตุ้นจิตสังหารของหลี่หยินปลดปล่อยจิตสังหารอันไร้ขอบเขตในหัวใจของนางออกมาอีกครั้ง
ลมที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเลือดพัดผ่านไป
ลั่วฮันเชียง รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวในปากของเขา และเมื่อคายออกมาเขาก็พบว่าลิ้นของเขาได้ถูกตัดออกไปเสียแล้ว
เขาปิดปากของเขาเอาไว้ เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาไม่หยุด จากนั้นมุมปากของเขาก็ถูกปาดด้วยด้ายเส้นเล็กจนเนื้อฉีกขาดม้วนงอผิดรูป
ฉากนี้สยดสยองน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
มือของลั่วฮันเชียงที่กำลังปิดปากของเขาอยู่เพียงแค่เผลอออกแรงเบา ๆ เขาก็ได้ดันศีรษะของตนเองหลุดออกมาราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น
ปรากฏว่าคอของเขานั้นได้ถูกหลี่หยินตัดออกไปแล้ว
ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกขยะแขยงและไม่สบายใจ
มันเป็นการสังหารที่โหดเหี้ยมอำมหิต เลือดไหลกระจายไปทั่วอย่างน่าสังเวช
ตั้งแต่ต้นจนจบการต่อสู้ หลี่หยินไม่ได้ใช้เวลามากนักในการกำจัดผู้คนของตระกูลลั่ว ที่ลุกขึ้นต่อต้านต่อนาง
ผู้คนนับไม่ถ้วนรอบสำนักโล่พิทักษ์ต่างตกตะลึง ความแข็งแกร่งของผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
เงาหมอกสีดำไหลไปบนพื้น หลี่หยินผู้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและจิตสังหารอันรุนแรงไม่สามารถถูกหยุดลงได้อีกต่อไปแล้ว
หลินเจิ้งมองไปที่หลี่หยินอย่างลังเล “สภาพของเจ้าดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก”
หลี่หยินเงียบ
ตอนนี้นางได้กลายเป็นคนที่เงียบมาก และไม่ได้พูดตอบสนองอะไรหลินเจิ้งไป
หลินเจิ้งที่ไม่ชอบพูดจึงได้แต่เกาหัวด้วยความเจ็บปวด เขาตกตะลึงเป็นเวลานานก่อนที่จะมองไปที่รอยเลือดบนพื้นแล้วถาม “แบบนี้ต่อไปพวกเราจะมีปัญหารึเปล่า?”
เสียงของฝูงชนต่างร่ำร้องด้วยเสียงดัง
นางฆ่าทั้งขันทีที่เข้ามาประกาศกฤษฎีกาและผู้นำตระกูลลั่ว มันจะไม่มีปัญหาไปได้ยังไงเล่า
แบบนี้ร้านค้าจะเปิดกิจการต่อไปได้ยังไงกัน ?
ใครจะแบกรับความโกรธของตระกูลลั่วไหว
ลมปราณของหลี่หยินเย็นเฉียบจิตสังหารอันน่ากลัวถูกแผ่ออกมาตลอดเวลา นางเดินเข้าไปหาผู้คนของสำนักโล่พิทักษ์
ผู้คนต่างมองมาที่นางด้วยความไม่สบายใจและหวาดกลัว
เสี่ยวชาดึงความกล้าของเขาขึ้นมาแล้วกระซิบถาม “ท่านหญิงหลี่หยิน จากนี้ไปพวกเราควรจะทำอย่างไรดี ในเมื่อนายน้อยไม่อยู่ที่นี่ พวกเราเชื่อจะฟังคำสั่งของท่าน”
หลี่หยินไม่ได้ตอบอะไรนางเพียงแค่โบกมือของนาง จากนั้นท่ามกลางสายตาของผู้คนที่กำลังตกตะลึง ทุกคนในสำนักโล่พิทักษ์ก็ได้หายจากตรงนั้นไปภายในชั่วพริบตา
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
พวกเขาหายไปไหนแล้ว
ทว่ามันยังไม่จบแค่นั้น หลี่หยินได้โบกมือของนางอีกครั้ง จากนั้นสำนักโล่พิทักษ์สาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิทั้งหลังก็หายไปในทันทีอย่างไร้ร่องรอย เหลือทิ้งเอาไว้เพียงแค่ป้ายขนาดใหญ่
ฝูงชนต่างตกตะลึง
นี่มันอะไรเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เมื่อเสร็จสิ้นธุระหลี่หยินก็กลายร่างเป็นเงาสีดำแล้วหายตัวไป
นางปรากฏตัวขึ้นมาและจากไปอย่างลึกลับโดยกะทันหัน มีเพียงรอยเลือดบนพื้นเท่านั้นที่พิสูจน์ได้ว่านางได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
หลินเจิ้งรู้สึกหนักใจ
สำนักโล่พิทักษ์ หายไปแล้ว แบบนี้เขาควรจะทำอย่างไรดี.
แต่เมื่อเขามองไปรอบ ๆ เขาก็พบว่าป่าไผ่ที่เขาใช้พักผ่อนในสวนหลังบ้านของสำนักโล่พิทักษ์ นั้นไม่ได้หายไปไหน
มันยังคงเขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา กระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ ท่ามกลางดงไผ่และงานแกะสลักไม้ไผ่มากมายนั้นยังคงอยู่ที่เดิมไม่มีเปลี่ยน
หลี่หยินไม่ได้พรากสิ่งเหล่านี้ไปด้วย
“ก็ดีแล้วสำนักโล่พิทักษ์หายไป เท่านี้ข้าก็ไม่ต้องคอยปกป้องมันแล้ว ดีมาก ดีมาก” หลินเจิ้งดีใจ