ไหปีศาจ - บทที่ 703 แสร้งทำเป็นสงบ
บทที่ 703 แสร้งทำเป็นสงบ
บทที่ 703
แสร้งทำเป็นสงบ
ในบ้านหินหลังเล็ก ๆ
ไอเลือดอันสยดสยองของเลือดที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณค่อยๆเพิ่มขึ้น ส่วนแซคเฒ่าที่ทนมองไม่ได้ ก็ได้ถอนตัวออกจากบ้านหินหลังเล็กนั้นไป
การเผาไหม้แก่นวิญญาณและเลือด รวมกันเป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์จากนั้นค่อย ๆ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของ ลั่วอู๋
ลั่วอู๋รู้สึกได้ถึงร่างกายที่แตกสลายของเขา ซึ่งหมดสติไปนานนั้นค่อย ๆ รู้สึกอบอุ่นขึ้น จากนั้นก็ร้อนรุ่มราวกับถูกฝังอยู่ในหินหนืด
“อา”
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
เขารู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเส้นเสียงของเขาหายดีเป็นปกติแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอ่อนแอเกินไปที่จะพูด
ด้วยพลังวิญญาณที่ลดลงไปของผู้กล้าทั้งสิบแปดคนที่อยู่รอบตัวเขา ในที่สุดแก่นวิญญาณที่เสียหายของลั่วอู๋ก็เริ่มฟื้นตัวภายใต้ความชุ่มชื้นของพลังวิญญาณบริสุทธิ์
ทันทีที่วิญญาณของลั่วอู๋ถูกสั่นคลอนเขาก็เริ่มใช้ทักษะดูดซับพลังวิญญาณในอากาศ เพื่อที่จะฟื้นฟูตัวเองและคลายความกดดันของนักรบทั้งสิบแปดคน
แขนขาที่หักของเขาหลุดออกอย่างช้า ๆ จากนั้นก็เริ่มงอกแขนขาใหม่ที่ยังเด็กเหมือนเด็กทารกออกมา
“ขอบคุณมาก” ลั่วอู๋คิดอย่างเงียบ ๆ
เขาเป็นคนที่ชอบล้างแค้นและทดแทนบุญคุณมาโดยตลอด
ทำให้เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันชราภาพของนักรบแซคทั้งสิบแปดคน ลั่วอู๋ก็รู้ว่าเขาเป็นหนี้ครั้งใหญ่
เวลาผ่านไป
ในที่สุดแก่นวิญญาณของเขาก็ฟื้นคืนสู่ระดับที่สามารถการดูดซับพลังวิญญาณได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าแขนขาของเขาจะยังไม่เติบโตเต็มที่ก็ตาม แต่ลั่วอู๋ก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว เขาพูดออกมา “พอได้แล้ว!”
ประโยคนี้มีความผันผวนทางจิตวิญญาณ จนนักรบทั้งสิบแปดคนสามารถเข้าใจคำพูดของลั่วอู๋ได้
พวกเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็หยุดการกระทำเผาผลาญแก่นวิญญาณลง พวกเขาทุกคนก็ล้มลงกับพื้น ลมปราณของพวกเขาลดลงมาก พวกเขาอายุมากขึ้นจนมีริ้วรอยที่เห็นได้ชัดบนใบหน้า
นักรบสามคนที่มีระดับมิติวิญญาณต่ำสุดหมดสติลงไป
กูระ บังคับร่างกายตัวเองเดินไปที่ประตูและตะโกนสองสามครั้ง ทันใดนั้นชาวแซคก็บุกเข้ามาและพานักรบทั้งสามคนนั้นไปพัก
เขามีความแข็งแกร่งสูงสุดในกลุ่ม ดังนั้นเขาจึงมีสภาพดีกว่าคนอื่น ๆ เล็กน้อย แต่ขณะนี้มิติวิญญาณของเขานั้นลดลงจนเหลือเพียงมิติวิญญาณระดับเงิน มิติหนึ่งหรือสอง แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าของพวกเขา
มันเป็นอย่างที่เขาจินตนาการไว้จริง ๆ นี่ถือเป็นสถานการณ์อันเลวร้ายสำหรับเหล่าแซค
“ขอบคุณมาก” ลั่วอู๋มองดูนักรบแซคเหล่านั้น ด้วยความอึมครึม
กูระ ยิ้มและส่ายหัว “ถ้าไม่มีผู้มีพระคุณละก็ พวกเราชาวแซคก็คงไม่สามารถแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ ไหนจะเผชิญกับวิกฤตอาหารอีก ที่ผ่านมาด้วยความช่วยเหลือของท่านผู้มีพระคุณพวกเราถึงใช้ชีวิตรอดกันมาถึงวันนี้ได้ นี่เป็นการกระทำที่คุ้มค่ามากแล้วที่พวกเราสามารถช่วยชีวิตท่านได้ด้วย การเสียสละมิติวิญญาณของพวกเรา”
แก่นวิญญาณของเขาอ่อนแอลงมาก จนเกือบจะหมดสภาพ เห็นได้ชัดว่าสถานะปัจจุบันของเขาไม่พร้อมที่จะปลดปล่อยพลังวิญญาณอีกแล้ว
ลั่วอู๋เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายหัว
อาวุธและอาหารก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงการค้า แม้ว่าชาวแซคจะขอมาจากลั่วอู๋ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นหนี้อะไรลั่วอู๋
มันเป็นแค่เรื่องของผลประโยชน์ ต่างจากเรื่องนี้
“ข้าจะหาทางช่วยให้เจ้ากลับมาเหมือนเดิม” ลั่วอู๋ กล่าว
ความแข็งแกร่งทางแก่นวิญญาณของกูระนั้นยากเกินกว่าที่จะรักษาให้กลับมาได้ โชคดีที่คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้ยินคำพูดของลั่วอู๋ เพราะถ้าได้ยินก็คงไม่มีใครเชื่อเขา
กูระ พูดคำสั่งเฉพาะ จากนั้นก็นำนักรบที่เหลือออกจากบ้านหินไป
เขาต้องการให้ ลั่วอู๋ ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
และนั่นก็คือสิ่งที่ลั่วอู๋ต้องการเช่นกัน
ตอนนี้เขานั้นยังอ่อนแอมาก แม้ว่าสภาพร่างกายของเขาจะฟื้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังเต็มไปด้วยบาดแผล เส้นวงจรพลังวิญญาณของเขาเสียหายเกือบทั้งหมด และความเสียหายของแก่นวิญญาณก็ยังไม่ฟื้นตัวดี
แม้ว่าการเผาไหม้แก่นวิญญาณและเลือดของนักรบ มีผลอันน่าอัศจรรย์ในการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ แต่ความสามารถในการซ่อมแซมแก่นวิญญาณและพลังวิญญาณนั้นมีน้อยนิดมาก
ดังนั้นลั่วอู๋จึงต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
ลั่วอู๋หลับตาและพยายามสื่อสารกับสัตว์วิญญาณของเขาผ่านพลังแห่งพันธสัญญาวิญญาณ แต่ไม่นานนักใบหน้าของเขาก็มืดมัว
เพราะเขาไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้เลย
เขาไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของต้าหวงได้ แล้วนับประสาอะไรกับการสื่อสาร
“ดูเหมือนว่าจะไกลเกินไปสินะ” ลั่วอู๋ถอนหายใจ
นรกมนตรานั้นเป็นห้วงมิติที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ แม้ว่าจะติดอยู่กับห้วงมิติหลัก แต่ก็ยังคงเป็นช่องว่างมิติที่แยกออกมา
ที่นี่มีห้วงมิติความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุดขวางกั้นอำนาจพลังแห่งพันธสัญญาวิญญาณเอาไว้อยู่
“จากที่นี่ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถส่งข้อความผ่านพลังแห่งพันธสัญญาได้ ใช้พลังวิญญาณไปกับการฟื้นฟูน่าจะดีกว่า”
นี่ทำให้ลั่วอู๋เศร้า
เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับหลี่หยิน ตวนซีฟื้นขึ้นมารึยัง ฉูจงฉวนเป็นยังไงบ้าง พวกเขาอาจจะคิดว่าลั่วอู๋ตายไปแล้วและกำลังเสียใจอยู่
อาการบาดเจ็บของเขานั้นเริ่มคงที่ ทำให้ลั่วอู๋มีเวลามาคิดถึงเรื่องเหล่านี้
แต่ยิ่งคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสีย
เขาจึงคิดว่าควรจะเอาห้วงความคิดไปตั้งเป้าที่การฟื้นตัวให้ดี แล้วพยายามกลับไปที่นั่น หลังจากฟื้นตัวเรียบร้อยแล้วดีกว่า
ตอนนั้นเองแซคเฒ่าก็เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เขาถือชามหินขนาดเล็กที่มีเนื้อปรุงสุกหลายชิ้นอยู่ข้างใน
มีไม่กี่อย่างที่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับนรกมนตราได้ ทำให้การทำอาหารเป็นเรื่องยากมากที่นี่ ดังนั้นชาวแซคจึงมักกินอาหารดิบ
แต่ตอนนี้มันดีขึ้นเล็กน้อย เพราะมีนักรบอยู่ในเผ่ามากขึ้น พวกเขาเหล่านั้นสามารถอุ่นอาหารโดยการต้มด้วยพลังวิญญาณและเลือดของตัวเอง เพื่อให้ผู้คนในเผ่ารับประทานอาหารที่ปรุงสุกขึ้นมาได้
อาหารปรุงสุกนั้นมีค่ามาก เช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ที่สะอาด นี่จึงทำให้เห็นได้ชัดว่าแซคเฒ่าให้ความสำคัญกับลั่วอู๋เป็นอย่างมาก
“กินอะไรหน่อยสิ” แซคเฒ่าวางชามหินขนาดเล็กไว้บนเตียงหินและพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์
ลั่วอู๋ไม่เกรงใจ เขาจับเนื้อขึ้นมาแล้วกลืนใส่ลงในกระเพาะอาหารของเขาทันที อาหารนั้นไม่เพียง แต่สามารถช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงทางกายภาพ แต่ยังสร้างเสริมพลังวิญญาณในร่างได้อีกด้วย
การกินให้มาก จึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการฟื้นตัว
แม้ว่าเนื้อพวกนี้จะไม่อร่อย แต่ลั่วอู๋กินพวกมันจนหมด
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้ามาโผล่ในนรกมนตรานี่อีกครั้งได้อย่างไร ในตอนที่คนรับร่างของเจ้าเข้ามาจากข้างนอก ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วด้วยซ้ำ แซคเฒ่าถาม
ลั่วอู๋ถอนหายใจและวางชามหินเล็ก ๆ ลง “ข้าเจอศัตรูที่ร้ายกาจ จนถูกไล่ให้หนีมายังนรกมนตรา”
ความจริงเรื่องมันซับซ้อนกว่านี้มากจนลั่วอู๋ไม่อยากเสียพลังงานของเขาไปกับการเล่าเรื่องทั้งหมด
แน่นอนว่าแซคเฒ่าเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อฟังเรื่องราว
“ใกล้จะถึงเวลาตามข้อตกลงครั้งต่อไปแล้ว” แซคเฒ่ากล่าว “ตอนนี้อาหารและยาของเผ่าเราใกล้จะหมดลงเต็มที”
ดวงตาของลั่วอู๋ขยับ
หากไม่มีข้อตกลงนี้ เขาเกรงว่าแซคเฒ่าคงจะไม่ตัดสินใจที่จะให้นักรบทั้งสิบแปดคนปฏิบัติกับเขาแบบนั้นแน่
เพราะยังไงซะค่าใช้จ่ายในการรักษาลั่วอู๋นั้นสูงเกินไปมาก
“ธุรกิจของพวกเราจะยังคงดำเนินต่อไป” ลั่วอู๋พูด
แซคเฒ่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้ว”
ในความเป็นจริงแล้วลั่วอู๋ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธุรกิจของพวกเขาจะสามารถดำเนินต่อไปได้หรือไม่ เขาจะกลับไปได้ยังไง? สำนักโล่พิทักษ์ยังอยู่ดีไหม? สำนักเฉียนหลงจะยังคงปลอดภัยจริง ๆ งั้นหรือ?
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหา
แต่เขาไม่สามารถพูดออกไปได้
ตอนนี้ถ้าเขาต้องการที่จะอยู่รอดในนรกมนตรา เขาต้องพึ่งพาพลังของชาวแซค ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของตัวเอง
“ใช่แล้ว” จู่ ๆ ลั่วอู๋ก็พูดขึ้น “ข้าต้องการส่งจดหมายกลับไป”
มีช่องว่างห้วงมิติในเผ่าของชาวแซค ซึ่งปลายทางนำไปสู่บ้านพักของลั่วอู๋ในสำนักเฉียนหลง น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งคนที่ยังมีชีวิตผ่านไปทางนั้น แต่มันก็เป็นไปได้ที่จะส่งจดหมายไป
แซคเฒ่าไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร เขาจึงพยักหน้า “ยังไงก็ตามพวกเรามี ยากระต่ายหยกเหลืออยู่ไม่มากเท่าไหร่แล้ว ข้าเกรงว่าพวกเราจะเปิดช่องว่างห้วงมิติได้มากสุดก็เพียงสองครั้งเท่านั้น”
ยากระต่ายหยกเป็นวัตถุวิญญาณที่สามารถใช้รักษาความมั่นคงของห้วงมิติได้ มันจึงถูกใช้ทุกครั้งที่เปิดช่องว่างห้วงมิติ
“ดีข้าจะได้ขอมันมาเพิ่ม” ลั่วอู๋ยังคงดูสงบ
ไม่มีใครสามารถเข้าไปยังที่บ้านพักในสำนักเฉียนหลงได้ หากไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของ นี่เป็นกฎของสำนัก เฉียนหลง ยิ่งไปกว่านั้นทางเข้า ออกช่องห้วงมิตินั้นถูกซ่อนอยู่ นอกจากลั่วอู๋แล้วมีเพียงหลี่หยินเท่านั้นที่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
ลั่วอู๋ได้แต่ภาวนาในใจ
หลี่หยิน เจ้าต้องกลับไปที่บ้านพักของข้าในสำนัก เฉียนหลงให้ได้นะ