ไหปีศาจ - บทที่ 868 ล้อม
บทที่ 868 ล้อม
บทที่ 868
ล้อม
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ม่านดาบที่เกิดจากดาบแห่งการป้องกันจะถูกทำลายจากแรงกระแทกของหมาป่าทมิฬ
ท้ายที่สุดนี่คือภูตชั่วร้ายระดับเพชร 4 ที่น่ากลัว
แต่ดาบแห่งการป้องกันก็ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อยู่
ในช่วงที่ฝึกในทะเลแห่งดาบ ความเข้าใจในดาบแห่งการป้องกันนั้นบริสุทธิ์และทรงพลังยิ่งขึ้น และม่านดาบก็เลยแข็งแกร่งขึ้นโดยธรรมชาติ และความสามารถในการป้องกันก็เพิ่มขึ้นจนเกือบจะถึงขีดสุด
ระดับที่ต่ำกว่าเพชรนั้นแทบจะไม่มีใครที่สามารถทำลายม่านดาบได้
แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับเพชรขึ้นไปก็ยังใช้ได้ผลดี
ร่างของหมาป่าทมิฬกระเด็นออกไป แต่ที่จริงแล้วมันไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก มันฉีกมิติและใช้มันเป็นฐานเพื่อทำให้ร่างกายของเขามั่นคง แต่มิติขนาดใหญ่ก็ถูกทุบกระจาย
นี่คือสถานการณ์ที่ความแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว
มันโกรธ
พื้นที่นี้เป็นอาณาเขตของมัน
แม้แต่ภูตพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองจากแสงแห่งพระโพธิสัตว์ก็แทบต่อต้านข้าไม่ได้ แล้วเจ้าเป็นใครกันถึงกล้าขัดขวางข้า?
หมาป่าทมิฬจับตาดูลั่วอู๋
ตัวของมันมีสีแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ และลมปราณของมันก็ทะยานขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนฟ้าร้องที่ทำให้คนหวาดกลัวแล้ว
พลังงานรุนแรงในหน้าอกของมันดูเหมือนจะควบแน่นเป็นพายุ ปล่อยพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดออกมา
นี่เป็นสาเหตุที่สิ่งมีชีวิตระดับสูงเหล่านี้มักมีอาณาเขตของตัวเอง สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอบางตัวไม่กล้าเข้าใกล้พวกมัน เมื่อพวกมันแข็งแกร่ง พลังงานที่ปล่อยออกมาก็เพียงพอที่จะฆ่าพวกมันโดยตรงได้แล้ว
“ข้าไม่ได้เจอมนุษย์มานานแล้ว” หมาป่าทมิฬคำรามด้วยเสียงต่ำ
ลั่วอู๋รู้สึกถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่มาจากทุกทิศทุกทาง
เขาขมวดคิ้วและค่อย ๆ กระจายดาบพลังวิญญาณออก เพื่อสร้างเขตแดนป้องกันการกัดเซาะของแรงกดดันนี้
“ข้าขอพูดตรง ๆ นะ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจ้า” ลั่วอู๋พูดอย่างไม่เกรงกลัว แล้วมองไปที่ภูตพระโพธิสัตว์ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “แต่ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ดูเหมือนว่าภูตพระโพธิสัตว์จะสะดุ้ง เมื่อมีคนเผชิญกับหมาป่าทมิฬที่มุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับมันให้แล้ว มันก็เลือกที่จะหันหลังหนีอีกครั้ง
แสงแห่งพระโพธิสัตว์กะพริบ
ภูตพระโพธิสัตว์หายไปจากตรงนั้นทันที
“เฮ้” ลั่วอู๋ตะโกน
แต่ภูตพระโพธิสัตว์ไม่คิดจะอยู่ต่อ
เหมือนตอนที่เขาพบมันครั้งแรก
ลั่วอู๋รู้สึกหดหู่เล็กน้อย เจ้ากลัวข้าหรือ? ไม่มีเหตุผลเลย ถ้าเจ้ากล้าที่จะลงมือ ข้าก็เป็นเพียงระดับทองขั้นสูงเอง แล้วเจ้าจะกลัวอะไร?
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนเรื่องนั้น
เพราะหมาป่าทมิฬได้ยินคำพูดของลั่วอู๋ และตอนนี้มันโกรธมาก ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าพูดกับมันแบบนี้ แม้ว่ามันจะไม่เชื่อฟังกฎของเจ้าแห่งบาป แต่มันก็ไม่เคยถูกดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้
โดยเฉพาะการถูกมนุษย์ที่อ่อนแอดูถูก
“เจ้าทำให้ข้าโกรธจนได้” ดวงตาของหมาป่าทมิฬกลายเป็นสีแดงเลือด แสดงว่าความบ้าคลั่งของเขาถึงขีดสุดแล้ว และพลังของเขาก็อยู่ที่จุดสูงสุดในขณะนี้
หมาป่าทมิฬนี้อยู่ในระดับตัวอันตรายแห่งดินแดนแห่งผู้ถูกเนรเทศและภูตชั่วร้ายธรรมดาไม่กล้ายั่วโมโหมัน
มันแค่ยืนอยู่ในอากาศ
แต่ราวกับว่าความมืดจะปกคลุมโลกจะกลืนกินทุกสิ่ง
ตอนนี้ลั่วอู๋อารมณ์เสียเล็กน้อย
เขาคิดว่าถ้าเขาได้ช่วยชีวิตภูตพระโพธิสัตว์ไว้ อย่างน้อยเขาก็สามารถสื่อสารอย่างสันติกับมันได้ เขาสามารถใช้โอกาสนี้ร่วมมือกันฆ่าหมาป่าทมิฬและสร้างมิตรภาพได้
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าภูตพระโพธิสัตว์จะหนีไป
มันทำให้เขารู้สึกเป็นไอ้โง่
ถ้าไม่ใช่เพราะมัน เขาก็ไม่มีทางมายั่วโมโหภูตชั่วร้ายอย่างหมาป่าทมิฬโดยไม่มีเหตุผลแน่นอน ลั่วอู๋คิดด้วยความไม่พอใจ
แต่ยังไงก็ต้องสู้
ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็มาถึงอาณาเขตของคนอื่นแล้ว
ถึงจะหนี แต่หมาป่าทมิฬก็ไม่ปล่อยพวกลั่วอู๋ไปแน่นอน
“ข้าทำเจ้าโมโหแล้วไง? เจ้าเก่งพอจะฆ่าข้ารึ?” ลั่วอู๋อารมณ์ไม่ดี เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหมาป่าทมิฬ เขาก็ตอบไปตรง ๆ
หมาป่าทมิฬโกรธจัด
มนุษย์ตัวน้อยกล้าที่จะอวดดี
ลั่วอู๋ไม่กลัว เพราะเขาไม่ได้อยู่คนเดียว แล้วเขาก็โบกมือเรียกทุกคนออกมาพร้อมกัน
ฉูจงฉวน, หยู่เฮา, หลินยู่หลัน, เหวินเสี่ยวทั้งสอง, หลี่หยิน
มิติวิญญาณของทุกคนอยู่ไม่ไกลจากจุดสูงสุดของระดับทองขั้นสูง การรวมตัวในช่วงเวลานี้ถือเป็นกองกำลังที่ทรงพลังมาก
“เจ้าคิดว่าปริมาณสามารถชดเชยช่องว่างระหว่างมิติวิญญาณได้หรือ?” มีสีหน้าเยาะเย้ยบนใบหน้าของหมาป่าทมิฬ
“เราไม่สามารถพึ่งพาปริมาณเพียงอย่างเดียวได้หรอก” ลั่วอู๋พูด “แต่ใครบอกเจ้าว่าเรามีแค่จำนวนมาก”
ทุกคนที่นี่ไม่ใช่ทองขั้นสูงธรรมดา
หยู่เฮาก้าวออกมาอย่างน่าเกรงขาม “หมาป่าทมิฬ น่าเสียดายที่ข้าทำสัญญากับราชาหมาป่าจันทราเงินแล้ว มิฉะนั้น เจ้าจะเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว”
เขามีราชาหมาป่าจันทราเงินแล้ว สำหรับคู่สัญญาของมิติวิญญาณระดับเพชร เขาก็ไม่อยากเป็นหมาป่า
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หมาป่าทมิฬก็แทบจะพ่นควันออกมา
เขายังเปรียบเทียบตัวเองกับราชาหมาป่าที่อ่อนแอ มนุษย์เหล่านี้ทำให้เขาโกรธมาก
ร่างกายของหยู่เฮาสั่นสะท้านและในขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็ถูกขยายขึ้นทันที ลมปราณของเขามีสูงสง่าราวกับภูเขา และเขาก็พ่นลมปราณของเทพหมาป่าด้วย
ในฐานะราชาหมาป่าคนใหม่ของหมาป่าจันทราเงิน เขาก็ถือพลังส่วนหนึ่งของเทพหมาป่าซึ่งกำลังกระตุ้นอยู่ในขณะนี้ มันส่งเสริมซึ่งกันและกันและมีพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด
และเขายังใช้คลุ้มคลั่งไร้ที่สิ้นสุดในทันทีทำให้ลมปราณของเขาเข้าใกล้ระดับเพชร
หมาป่าทมิฬตกตะลึง
มันไม่คิดว่าลมปราณของมนุษย์จะเข้าใกล้ระดับเดียวกับมันได้
แล้วก็มีเรื่องประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะร่างกายของมนุษย์ตรงหน้าเหล่านี้ระเบิดออกลมปราณที่ผิดปกติออกมา แต่ละคนอยู่ไกลเกินระดับทองขั้นสูงธรรมดา ประมาทไม่ได้เลย
“จะฆ่าหรือจับมัน เจ้าว่ามาเลย” ฉูจงฉวนถามด้วยรอยยิ้มบนปากของเขา ดูสบายใจไร้กังวลราวกับว่าหมาป่าทมิฬตรงหน้านั้นไม่มีค่าให้พูดถึง
ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของธาตุทั้งห้า ลมปราณของฉูจงฉวนก็ละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละเอียดอ่อนไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอเพียงเข้าใจยาก
ลั่วอู๋ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ซ้อมมันก่อน แล้วค่อยส่งให้ภูตพระโพธิสัตว์ เราจะไปพบมันด้วยมือเปล่าไม่ได้”
“มันก็สมเหตุสมผลนะ” หยู่เฮาหัวเราะ
เขาต้องเป็นผู้นำในการต่อสู้อย่างช่วยไม่ได้ มันไม่ใช่แค่เพราะร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตวิญญาณการต่อสู้ที่เอ่อล้นจากคุ้มคลั่งไร้ที่สิ้นสุดด้วย
ขวานเหล็กแห่งความโกลาหลตกลงมาจากฟากฟ้า กลายเป็นเงาขนาดใหญ่และทุบลงไป
ลั่วอู๋ก็ตามเข้าพร้อมกับดาบเทพพิทักษ์ กางเขตแดนดาบแห่งการป้องกันและปกป้องทุกคนในนั้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ฉูจงฉวนใช้ร่างที่แท้จริงของอสูรและกลายเป็นราชาอาชูร่า ร่างลวงตาแต่เดิมก็ได้กลายมาเป็นแก่นแท้ กระตุ้นพลังแห่งการทำลายสวรรค์และโลก
แสงห้าสีของหลินยู่หลัน และพลังฝันร้ายของหลี่หยิน
และเมื่อพลังของเทวทูตแสงและเทวทูตตกสวรรค์ออกมา หมาป่าทมิฬก็แทบไม่เชื่อสายตาของมัน
“นี่มันบ้าอะไร ราชาอาชูร่า? เทวทูต? ทำไมมีสองตนแล้วตนหนึ่งก็กลายเป็นเทวทูตตกสวรรค์ด้วย” หมาป่าทมิฬตกใจมาก
แม้ว่าเจ้าแห่งบาปจะปรากฏตัวและรวมดินแดนแห่งผู้ถูกเนรเทศทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว เขาก็ไม่รู้สึกตกใจ แต่นี่มีสามสิ่งมีชีวิตในตำนานอยู่ตรงหน้าพร้อมกัน จะไม่ตกใจได้อย่างไร
คนเหล่านี้
มาจากที่ไหนกัน?
แต่การต่อสู้นั้นไม่หยุดลง
“ตู้ม!”
คลื่นรุนแรงก็ปะทุขึ้น
ประกายแสงนับไม่ถ้วนทะยานขึ้น ลมแห่งความแค้นและความชั่วร้ายที่โหมกระหน่ำสั่นคลอน