魔法少女タイラントシルフ สนวม.ซิลฟ์ - ตอนที่ 20 สาวน้อยเวทมนตร์ถูกช้างพาเข้าห้อง
เดท ②
หลังจากสนุกกับตุ๊กตาแต่งตัวที่ชื่อ ไทแรนด์ ซิลฟ์แล้ว เอเลเฟ่นก็ไปชำระเงินซื้อเสื้อผ้าในขณะที่ ซิลฟ์ กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ว่ากันตามตรงเธอขอให้พนักงานทำการปรับแต่งเสื้อผ้าอย่างการเย็บริมและอื่น ๆ ตั้งแต่ช่วงกลางของการให้ซิลฟ์ทดลองสวมเสื้อผ้าแล้ว และเธอก็รีบซื้อมันอย่างรวดเร็วในจังหวะที่ ซิลฟ์ ไม่ทันสังเกต ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่เพียงนานนักด้วยพลังแห่งเวทมนตร์
“ในที่สุดก็จบลงแล้วเหรอคะ? ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากเลยค่ะ…”
“ต้องขอโทษจริงๆน้าที่ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปหน่อยน่ะ เอาเป็นว่าซิลฟ์จังรับเจ้าสิ่งนี้ไปโดยถือว่าเป็นของแทนการขอโทษแล้วกันนะ”
เอเลเฟ่นซึ่งรู้ดีว่าเธอกำลังบังคับซิลฟ์ให้มาด้วยตามอารมณ์ของเธอ จึงตัดสินใจมอบเสื้อผ้าที่เธอซื้อให้เธอเป็นของขวัญแทนการขอโทษ
แม้ว่าส่วนหนึ่งมันจะมาจากการที่เธอจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่การที่เธอตั้งใจจะให้มันเป็นของขวัญกับซิลฟ์ก็มีเหตุผลแอบแฝงบางอย่างเช่นกัน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าความจริงแล้วทั้งหมดนี่เป็นอาชญากรรมที่วางแผนไว้แล้วมากกว่าการที่เป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุม
“ฉัน-ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ! วันนี้น่ะฉันตั้งใจว่าที่มาด้วยเพื่อเป็นการตอบแทนต่างหากล่ะคะ”
“แย่จังเลยนะ ฉันใส่ไม่ได้อยู่แล้วเพราะมันไม่ใช่ไซส์ของฉันน่ะ แล้วก็ร้านนี้ไม่รับคืนดังนั้นถ้าหากซิลฟ์จังไม่ยอมรับมันไปล่ะก็คงจะน่าเสียดายเลยล่ะ”
เรื่องไซส์นั้นเป็นเรื่องจริงแต่เรื่องอื่นนั้นเป็นเรื่องโกหก และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอยังไม่ได้ยืนยันเลยว่าจริงแท้เป็นยังไงกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามเอเลเฟ่นคิดว่าการบอกออกไปเลยในจังหวะแบบนี้แหละที่เป็นโอกาสสำคัญ และมันยังเป็นการป้องกันไม่ให้ ซิลฟ์ ไปถามกับพนักงานได้อีกด้วย
“ฉันซื้อมันเพราะฉันชอบที่จะเห็นซิลฟ์จังใส่มันแหละ ก็แบบว่าอยากจะเห็นซิลฟ์จังใส่มันอีกครั้งจังเลยน้าอะไรประมาณนี้น่ะ”
“… ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันจะอยู่กับคุณเอเลเฟ่นแค่วันนี้เท่านั้นค่ะ”
“ไม่ใช่สิ! แบบว่าฉันจะมีความสุขมากเลยนะถ้า ซิลฟ์จังจะใส่เสื้อผ้าพวกนี้ในชีวิตประจำวันของเธอน่ะ! นี่คือความเอาแต่ใจของฉันเองล่ะ! จริงสิ! เธอสามารถคิดว่ามันเป็นของขวัญจากแฟนๆ ของเธอก็ได้นะ! เอาเป็นว่านับจากนี้ฉันเป็นแฟนคลับของซิลฟ์จังแล้วกัน! แล้วก็ฉันคงมีความสุขสุดๆไปเลยถ้าคนที่ฉันชื่นชอบได้ใช้ของขวัญที่ฉันมอบให้น่ะ!”
เอเลเฟ่นเลือกเดินทางผิดอยู่ครู่นึง แต่สุดท้ายเธอก็สามารถเบี่ยงประเด็นเพื่อควบคุมสถานการณ์และแก้ไขเส้นทางที่เธอเลือกเดินได้อย่างทันท่วงที
ซิลฟ์อดไม่ได้ที่จะขำกับข้อแก้ตัวที่สุดโต่งนั่น และมันทำให้เธอคิดว่าคงไม่เป็นไรถ้าจะรับเสื้อผ้าพวกนี้เอาไว้
“ฮิฮิ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ พอดีว่าฉันกำลังลำบากเพราะไม่มีเสื้อผ้าอยู่พอดีค่ะ ดังนั้นจะขอรับพวกมันไปใช้ด้วยความขอบคุณค่ะ”
“อือ!! จะส่งรูปมาให้ก็ได้นะ!”
“เรื่องแบบนั้นไม่ทำหรอกค่ะ”
เอเลเฟ่นหยิบ มากิโฟนออกมาเพื่อเป็นการเรียกร้องอย่างอ้อมๆ ว่าอยากจะแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อด้วย แต่กลับได้รอยยิ้มที่เป็นการปฏิเสธแบบเรียบๆมาแทนจนเธอที่พ่ายแพ้ทำได้เพียงทรุดลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้นอย่างน่าอนาจ
“ต่อไปจะไปที่ไหนต่อเหรอคะ? แล้วก็เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าเสื้อผ้าพวกนี้เองค่ะ”
“ชิชิชิ! ฉันไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดปล่อยให้เด็กที่อายุน้อยกว่าต้องเป็นคนจ่ายเงินหรอกนะ! วันนี้ทั้งวันฉันจะเลี้ยงเธอเองจ้า!”
“อ่า เดี๋ยวก่อนสิคะ”
ไทแรนด์ ซิลฟ์ แม้ว่าจะรู้สึกแทงใจดำกับคำพูดที่ว่า “ฉันไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดปล่อยให้เด็กที่อายุน้อยกว่าต้องเป็นคนจ่ายเงินหรอกนะ”มากๆ แต่ก็เป็นความจริงที่ เอเลเฟ่น จะดูแก่กว่าเธอถ้าดูเพียงที่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอ แล้วนอกจากนั้นยังมีข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่เอเลเฟ่นต้องการที่จะชดใช้ความผิดของเธอที่บังคับให้ซิลฟ์มาเป็นตุ๊กต๊าแต่งตัว และยังเป็นสถานการณ์ที่ไม่ควรที่จะปฏิเสธเพราะคำพูดที่เธอพูดออกมาไปแล้วก่อนหน้านี้
ซิลฟ์ ไม่มีความตั้งใจที่จะยอมเป็นเพื่อนด้วยแต่เธอนั้นมีความมุ่งมั่นอยากจะตอบแทนคืนให้เด็กสาวไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง จึงจะยอมรับการดูแลของเอเลเฟ่นในวันนี้เพียงวันเดียวเท่านั้น
ออกจากร้านเสื้อผ้า เอเลเฟ่นก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่สำหรับเล่นสนุกทั่วๆไปที่ตั้งอยู่ติดกับห้างสรรพสินค้า มันคือร้านคาราโอเกะที่มีพื้นที่ราวๆหนึ่งชั้นของตึก
“เธอเคยมาคาราโอเกะบ้างไหม ซิลฟ์จัง?”
“ไม่ค่ะ ฉันมาที่แบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยค่ะ”
หลังเสร็จจากการต้อนรับในลักษณะที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เอเลเฟ่นได้รับของอย่างสลิปและแก้วพลาสติกใสสองใบ จึงเริ่มเดินเข้าไปในขณะที่ตอบคำถามของซิลฟ์ไปด้วย
“รุ่นคืออะไรเหรอคะ?”
“อุปกรณ์คาราโอเกะนั้นแตกต่างกันไปตามผู้ผลิตแต่ละเจ้า แต่โดยทั่วไปแล้วก็เลือกอยู่แค่หนึ่งในสองอันดับแรกเท่านั้นแหละเพราะอย่างนั้นไม่ต้องคิดมากเกินไปหรอกนะ”
“คาราโอเกะคือที่สำหรับร้องเพลงใช่ไหมคะ? ต้องไปขอไมโครโฟนที่แผนกต้อนรับไหมคะ?”
“คิดว่าที่ร้านนี้น่าจะอยู่ในห้องนะ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ต้องรับที่แผนกต้อนรับดังนั้นมันขึ้นอยู่กับร้านน่ะ อ๊ะ พวกเขาคิดรวมค่าบาร์เครื่องดื่มไปแล้วนะเอาเป็นว่าพวกเราแวะไปก่อนที่จะไปที่ห้องดีมั้ย? จะว่าไปรู้จักบาร์เครื่องดื่มไหมจ้ะ?”
“อืม ถ้าแค่นั้นฉันรู้ค่ะ มันคือสิ่งที่ตั้งอยู่ในร้านอาหารครอบครัวใช่ไหมคะ”
ซิลฟ์ ที่แสดงความรู้โคตรเบสิกของเธอด้วยท่าทางราวกับว่าได้รับชัยชนะ ทำให้สัตว์ร้ายในตัวเอเลเฟ่นได้ถูกปลุกโดยท่าทางแบบนั้น แต่เธอก็ยังสามารถยับยั้งตัวเองไว้ได้อยู่ด้วยหลักเหตุและผล
“นั่นคืออะไรเหรอคะ?”
“อ๋อ ชุดคอสเพลย์สินะ ฉันไม่เคยใส่มาก่อนหรอกนะแต่ว่าได้ยินว่ามีบางคนเหมือนกันชอบใส่ชุดแบบนี้ตอนร้องเพลงน่ะ”
เนื่องจากนี่เป็นการร้องคาราโอเกะครั้งแรกของเธอ ซิลฟ์ จึงกระวนกระวายและมองไปรอบๆ ไม่หยุดอย่างกับเป็นเด็กสาวบ้านนอกที่เพิ่งเคยเข้ามาเยือนเมืองกรุงครั้งแรก
ทันใดนั้นเอเลเฟ่นที่มีจิตใจซุกซนก็กระซิบ ซิลฟ์ ที่หน้าเครื่องกดเครื่องดื่มที่บาร์เครื่องดื่ม
“ที่บาร์คาราโอเกะมีกฎว่าต้องดื่มอย่างน้อย 5 แก้วที่บาร์เครื่องดื่ม ดูสิมันเหมือนกับเป็นระบบที่ต้องดื่มในรวดเดียวน่ะ”
“เอ๊ะ? แต่ถ้าเป็นบาร์เครื่องดื่มตามปกติแล้วจะดื่มกี่รอบก็ราคาเดิมใช่มั้ยคะ? นี่มันมีหมายความอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ?”
“ดูเหมือนเป็นการโฆษณาของบริษัทเครื่องดื่มนี้น่ะสิ ดังนั้นถ้าใช้มันหลายๆ ครั้ง มันก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับร้านที่ไปทำข้อตกลงด้วย และแก้วนี้เองก็ช่วยให้รู้ด้วยว่าเครื่องดื่มถูกรินไปเท่าไหร่แล้วด้วยนะ”
“งั้นเหรอคะ? ทุกวันนี้แม้แต่แก้วก็ไฮเทคขนาดนี้แล้วสินะคะ?”
ไทแรนด์ ซิลฟ์ จดจ้องไปที่แก้วพลาสติกที่ เอเลเฟ่น ส่งมาให้เธอ เพราะเมื่อมองแวบแรกมันดูเหมือนภาชนะพลาสติกใสธรรมดาๆ และดูไม่เหมือนว่ามีฟังก์ชันสุดไฮเทคขนาดนั้นซ่อนอยู่เลย
ในทางตรงกันข้ามการที่ ซิลฟ์ ซึ่งมีปฏิกิริยาเหมือนคุณย่าที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องจักร ตรงจุดนั้นทำให้เอเลเฟ่นพยายามกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น
“คุณเอเลเฟ่น? เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ฟุ อุ ฟุ อุ อะ อืม คือว่าอยากจะบอกว่าเรื่องที่พูดไปเมื่อกี้น่ะโกหกน่ะ”
“…เอ๊ะ? เริ่มโกหกตั้งแต่ตรงไหนเหรอคะ? อ๊ะ รึว่าที่จริงแล้วไม่ได้ใช้แก้วน้ำวัดปริมาณแต่ใช้ระบบจำนวนครั้งที่กดจากเครื่องนี้เหรอคะ?”
“โกหกตั้งแต่ที่บอกว่าต้องดื่มมากกว่า 5 แก้วน่ะ”
“น่ะ..นี่มันโกหกทั้งหมดเลยไม่ใช่เหรอคะ!”
“ขอโทษนะ! เพราเห็นซิลฟ์จังเชื่อฉันทุกอย่างเลยก็เลยเผลอไปน่ะ ยกโทษให้ฉันได้ไหมนะ นะ?”
เอเลเฟ่นพยายามขอโทษซิลฟ์ผู้ที่กำลังโมโหด้วยท่าทางน่ารัก และไม่นานนักเธอได้รับการให้อภัย
“อันนี้คืออะไรเหรอคะ?”
“มันเป็นเครื่องที่เรียกว่า DENMOKU น่ะ มันใช้เพื่อค้นหาเพลงและเล่นเพลง”
เมื่อซิลฟ์มาถึงห้องและถามเกี่ยวกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ไม่คุ้นเคย เอเลเฟ่นก็สอนวิธีใช้มันให้เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าไม่ใช่เรื่องโกหก
“ถึงมันสายไปแล้วที่มาพูดเอาป่านนี้ แต่การมาร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นค่อนข้างน่าอายค่ะ…ดังนั้นแค่นั่งฟังอย่างเดียวได้รึเปล่าคะ?”
“อื้มม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ร้องสักเพลงนะ แต่ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนหรอกนะ…”
มีคนจำนวนหนึ่งที่พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ตัวเองจะร้องเพลงในที่สาธารณะ และการร้องเพลงด้วยตัวคนเดียวอาจต้องใช้ความกล้ามากมายเลยสำหรับบางคน ซึ่งมันแตกต่างจากการร้องเพลงประสานเสียงที่โรงเรียนโดยสิ้นเชิง และเอเลเฟ่นรู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่ชอบร้องคาราโอเกะ
“จริงสิ! งั้นเรามาร้องเพลงด้วยกันเถอะ! ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ค่อยหน้าอายเท่าไหร่ใช่ม้า!”
“เอ่อ…คือว่า…ถ้าเป็นแบบนั้น”
เมื่อถูกมองด้วยสายตาคาดหวังซิลฟ์ก็พยักหน้าออกไปเพราะว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ลง
“ซิลฟ์จัง มีเพลงที่คิดว่าร้องได้ไหม? อ๊ะ เพลงนี้ล่ะ?”
“นั่นเป็นเพลงที่ฉันไม่รู้จักค่ะ พอมาลองคิดๆดูแล้ว ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเพลงเท่าไหร่ค่ะ…”
“งั้นเหรอ มีเพลงไหนที่เคยฟังจากรายการอันดับพวกนี้ไหม”
การจัดอันดับที่แสดงใน DENMOKU เรียงตามชื่อเพลงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นิยมในสมัยนี้
แต่ ซิลฟ์ ซึ่งไม่ได้ดูทีวีในทุกวันนี้กลับไม่รู้จักเพลงไหนเลย
“อา”
ขณะที่เลื่อนดูอันดับ ซิลฟ์ ก็เจอเพลงที่คุ้นเคยที่อันดับท้ายๆและเปล่งเสียงของเธอออกมา
“ไหนไหนดูซิ….นี่มันเพลงเก่าดีนะ ฮิตในหมู่ผู้ชายเมื่อ 15 ปีก่อนใช่ไหม? ฉันรู้จักผ่านคุณพ่อของฉันน่ะ แต่ดูเหมือนว่าซิลฟ์จังจะรู้จักดีสินะ”
“ฉะ..ฉันก็รู้จักเพราะพ่อเหมือนกันค่ะ…”
“งั้นเหรอ! ถ้าอย่างนั้นเรามาร้องเพลงนี้กันเถอะ!”
“หว่าา ย-ยังเตรียมตัวเตรียมใจไม่พร้อมเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร! เรื่องแบบนี้สำคัญที่จังหวะในการลงมือทำมากกว่านะ!”
เธอถือไมโครโฟนและโอบไหล่ของ ซิลฟ์ ซึ่งดูตึงเครียด และทันทีที่เพลงเริ่มขึ้น เอเลเฟ่น ก็เริ่มร้องเพลงด้วยเสียงที่ดังลั่น ราวกับว่าจะบอกกับเธอว่าไม่จำเป็นต้องพยายามร้องเพลงให้ดีแต่แค่ซิลฟ์ รู้สึกดีไปกับการที่ได้ร้องตามดังๆก็พอแล้ว
โดยการที่ได้รับอิทธิพลจากเอเลเฟ่น ซิลฟ์ซึ่งร้องเสียงเบาๆในตอนแรกนั้นก็ค่อยๆ เปล่งเสียงของเธอออกมา อาจเป็นเพราะเธอไม่ชินกับการร้องเพลงดังนั้นจึงไม่ใช่การร้องที่ไพเราะนัก แต่ก็ไม่ได้ร้องผิดเพี้ยน ด้วยสิ่งนี้ทำให้เอเลเฟ่นรู้สึกว่าว่ามันคงจะดีขึ้นได้อีกถ้าเธอคุ้นเคยกับมัน และค่อยๆ ปรับให้เข้ากับสไตล์การร้องของตัวซิลฟ์เอง
พอเพลงแรกจบลงทั้งสองคนก็ร้องได้อย่างปกติจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นการร้องคาราโอเกะครั้งแรกในชีวิตของซิลฟ์
“เน่ มันสนุกใช่ไหมล้า!”
“นั่นสินะคะ ฉันรู้สึกโล่งขึ้นนิดหน่อยค่ะ”
ซิลฟ์ หันหน้าหนีไปอย่างเขินอายและเกาแก้มของเธอ แต่เอเลเฟ่นที่แอบจับตามองดูเธออย่างใกล้ชิดได้เห็นใบหน้าของ ซิลฟ์ ที่กำลังยิ้มและร้องเพลงอย่างมีความสุขไปแล้ว
“งั้น ไปลุยเพลงต่อไปกันเลย!”
“มะไม่ไหวแล้วค่ะ! เมื่อกี้ใช้แรงไปเยอะเลยอยากจะพักอีกสัก 10 นาทีค่ะ”
“ง-งั้นเหรอ อืม เอาล่ะงั้นเดี๋ยวฉันจะร้องเพลงคนเดียวไปก่อนดังนั้นซิลฟ์จังช่วยฟังฉันทีนะ แล้วถ้าเกิดคิดว่าเพลงไหนร้องได้ขึ้นมาซิลฟ์จังก็เข้ามาร่วมวงร้องด้วยกันนะ”
ซิลฟ์จังไม่แข็งแรงเลยน้า เอเลเฟ่นคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ในเมื่อตอนนี้เธอแปลงร่างเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ดังนั้นเธอควรจะมีความแข็งแรงของร่างกายมากกว่านี้ แต่เนื่องจากนี่เป็นการร้องคาราโอเกะครั้งแรกของเธอ เอเลเฟ่นจึงคาดเดาว่าเธออาจจะพบกับความเหนื่อยล้าทางจิตใจที่ไม่ต่างจากตอนต่อสู้
หลังจากนั้นซิลฟ์ ที่รู้สึกชื่นชมในเสียงร้องของเอเลเฟ่น จึงเข้าร่วมในบางครั้งและทำให้ทั้งสองเริ่มสนุกสนานจนเริ่มร้องเพลงร่วมกันแล้วทั้งหมดนั้นก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก่อนที่ทั้งคู่จะออกจากร้านไป