魔法少女タイラントシルフ สนวม.ซิลฟ์ - ตอนที่ 22 จุดสิ้นสุดของการเดท
เดท ④ ☆
เมื่อเรดบอลจากไป เอเลเฟ่นก็วิ่งกลับมาจากทิศทางตรงกันข้าม
“ขอโทษที่ต้องให้รอนะซิลฟ์จัง! เอารสอะไรดีจ้ะ?”
เอเลเฟ่นกลับมาหาซิลฟ์พร้อมกับไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ*รสวานิลลาและช็อกโกแลต
[TL:*ซอฟต์ครีม]
“คือว่ารสอะไรก็ได้ค่ะ แต่ว่าขอโทษนะคะ คือว่าฉันอยากจะจ่ายเอง…”
“ฉันบอกแล้วไงว่าวันนี้จะเลี้ยงน่ะ! เพราะงั้นอย่าคิดมากไปเลย! ถ้ารสไหนก็ได้เอาเป็นว่ากินกันคนละครึ่งก็แล้วกันน้า”
“ขอบคุณนะคะ งั้นทานแล้วนะคะ(อิทาดาคิมัส)”
หลังจากได้รับไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟรสวานิลลาจากเอเลเฟ่น ซิลฟ์ก็กล่าวขอบคุณและเอามันเข้าปากโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่ทันทีหลังจากนั้น เธอก็ได้ตระหนักถึงความหมายของคำว่า “ครึ่ง” และตัวของเธอก็แข็งทื่อ
“ท-ที่พูดว่าคนละครึ่ง…”
“อื้มม! ทั้งเย็นทั้งหวานอร่อยจัง! งั้นฉันจะกินวานิลลาด้วยแล้วล่ะนะ!”
“ดะ!”
ก่อนที่ซิลฟ์จะหยุดเธอไว้ได้ทัน เอเลเฟ่นก็ได้ก้มลงมากินไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่ซิลฟ์ถืออยู่ในมือ แล้วเมื่อได้เห็นอย่างนั้นซิลฟ์ก็เริ่มหน้าแดงและรู้สึกประหม่า
“มะ ไม่ดีนะคะ แบบนี้ แบบนี้น่ะ มันเป็นทางอ้อมนะคะ!”
“อาเร๊ะ? รึว่าฉันไม่ควรทำอย่างนี้สินะซิลฟ์จัง? ขอโทษนะที่ไม่ทันได้สังเกตน่ะ มันดูเป็นอะไรที่สกปรกใช่ไหม?”
เอเลเฟ่นดูหดหู่แทนที่จะแสดงความตื่นเต้นต่อการออกอาการที่มากเกินไปของซิลฟ์
มันทำให้ซิลฟ์เข้าใจผิดว่าเธอเผลอทำร้ายจิตใจเอเลเฟ่นลงไปด้วยคำพูด และเธอก็ไม่สามารถหาข้อแก้ตัวดีๆ ได้ ดังนั้นเธอเลือกที่จะจึงเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงเพื่อปลอบใจเด็กสาว
“มะไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ! เป็นเพราะฉันสกปรกค่ะ! ดังนั้นจะกินครึ่งนึงของฉันไม่ได้นะคะ! คุณจะต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอนค่ะ!”
“นั้นสิน้าา งั้นก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
ไม่รู้ว่าสภาพหดหู่ของเธอปลิวหายไปแล้วไหนแล้ว จู่ๆ เอเลเฟ่นก็เกิดร่าเริงขึ้นมาและเริ่มเลียส่วนที่โดนซิลฟ์กัดไปอีกครั้ง
“เท่านี้ก็ไม่สกปรกแล้วล่ะ มาสิซิลฟ์จังก็มาเลียของฉันด้วยสิ”
“ม-ไม่ได้ ไม่ได้ค่ะ นั่นน่ะยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ”
ไทแรนด์ซิลฟ์ส่ายหัวไปทางซ้ายที ขวาทีด้วยท่าทางตื่นตระหนกต่อหน้าไอศกรีมซอฟต์ครีมรสช็อกโกแลตที่เอเลเฟ่นยื่นเข้ามาให้ และเอเลเฟ่นก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะยอมกินมัน ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมดึงไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่เธอเคยยื่นให้กลับมาและเริ่มเลียมันด้วยตัวเอง
“ขอโทษนะ ดูเหมือนว่าฉันบังคับฝืนเธอมากเกินไปหน่อยน่ะ เอาเป็นว่าเราหยุดแบ่งครึ่งนึงกันเถอะ”
“… ขอโทษนะคะ ที่อ่านบรรยากาศไม่ออกแต่ว่ามันไม่ไหวจริงๆค่ะ”
“อย่าคิดมากเลยน่า ไม่ว่าใครก็มีเรื่องที่บอกคนอื่นไม่ได้ทั้งนั้นแหละ มาเถอะ รีบกินกันก่อนที่มันจะละลายเถอะ”
“……ค่ะ”
บรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ก่อนหน้านั้นได้สลายไปจนหมดสิ้น และบรรยากาศที่น่าอึดอัดก็เข้ามาแทนที่ระหว่างพวกเธอทั้งคู่
แต่เอเลเฟ่นก็ไม่เสียใจเลยที่ทำแบบนี้แม้ว่าในช่วงกลางของการสนทนาจะเห็นได้ชัดว่าครึ่งหนึ่งมันราวกับว่าเป็นการวางกับระเบิดที่รอให้มาเหยียบสำหรับ ซิลฟ์ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นเอเลเฟ่นก็ไม่คิดจะถอยและก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆเพราะเธอต้องการช่วยซิลฟ์ให้ได้แม้ว่าจะด้วยการทำแบบนี้ก็ตาม
จากบทสนทนาต่างๆ จนในตอนนี้ทำให้เอเลเฟ่นรู้สึกว่าเธอเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่ซิลฟ์กำลังเผชิญอยู่ได้บ้าง แม้ว่าจะยังคลุมเครืออยู่มากก็ตาม
(บางทีคงโดนกลั่นแกล้งล่ะมั้ง? ดูเหมือนว่าซิลฟ์จังจะรู้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอนั้นไม่ธรรมดา แต่เธอก็ไม่ได้ภูมิใจหรือดูมีความสุขกับมันเลย เรื่องนี้อาจจะซับซ้อนกว่าที่คิดก็ได้แถมเธอยังบอกว่าตัวเองสกปรกอีก รึว่าเธออาจจะเคยถูกคนอื่นปฏิบัติด้วยเหมือนกับเป็นพวกเชื้อโรคหรืออะไรสักอย่างรึเปล่านะ..!)
เอเลเฟ่นขบกรามแน่นเพื่อไม่ให้ ซิลฟ์สังเกตเห็นความโกรธของเธอ
การรังแกสาวน้อยที่น่ารักคนนี้และทำร้ายเธอจนเธอคิดว่าตัวเธอนั้นเป็นเพียงสิ่งสกปรกนั้นเป็นการกระทำที่แม้แต่เอเลเฟ่นที่มีจิตใจอันอ่อนโยนก็ไม่อาจอภัยให้ได้
เป็นไปได้ว่าการที่เธอกีดกันผู้คนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับตนเองจะเป็นการกระทำเพื่อปกป้องตัวเธอเองหรือไม่ก็เพื่อปกป้องคนอื่นที่พยายามเข้ามาเกี่ยวข้องกับเธอ?
บางทีน่าจะเป็นทั้งสองอย่าง เธอจะต้องเป็นเด็กสาวผู้แสนอ่อนโยนที่คิดว่าคนอื่นน่ากลัวแต่ก็ไม่ต้องการจะทำร้ายพวกเขาแน่ๆ
เธอเต็มไปด้วยความต้องการที่จะกอดซิลฟ์และอยากจะกดเธอซะตอนนี้เลยแต่การทำแบบนั้นอาจจะทำให้เธอรู้สึกสับสนและอะไรต่อมิอะไรแย่ลงไปอีก อย่างเลวร้ายการกระทำเช่นนั้นอาจะสร้างเพียงแค่ความหวาดกลัวให้เธอมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงการคาดเดาของเอเลเฟ่นเท่านั้น ถ้าหากเรื่องราวมันชัดเจนกว่านี้อีกสักหน่อยหรือว่าซิลฟ์คิดจะร้องขอความช่วยเหลือจากเธอมาโดยตรง เอเลเฟ่นก็จะเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือเธออย่างไม่ลังเลเลย
ณ จุดนี้ เธอมองเห็นความเป็นไปได้ที่ทั้งหมดจะเป็นเพียงความเข้าใจผิด
และในความเป็นจริง ทั้งหมดก็เป็นเพียงความเข้าใจผิดของเอเลเฟ่นจริงๆ
หัวใจของเอเลเฟ่นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความผิดหวัง เธอรับรู้ถึงแรงผลักดันตามปกติของเธอที่อยากลงมือให้ไวที่สุด แต่สำหรับตัวเธอในตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้มากกว่านี้ ..ใช่ สำหรับตัวเธอตอนนี้ที่ยังไม่น่าเชื่อถือพอ
เอเลเฟ่นพยายามระงับความโกรธและสนทนาต่อไปด้วยท่าทางที่สงบ
“ซิลฟ์จัง ปกติแล้วทำอะไรในวันหยุดเหรอจ้ะ?”
ราวกับเป็นการทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจพวกเธอเริ่มคุยกันเล็กน้อยขณะเลียซอฟต์ครีมไปด้วย
“เอ? ฉันมักจะเล่นเกม…อ่า ไม่สิ ฉันไปเล่นที่บ้านเพื่อนของฉันค่ะ”
ซิลฟ์ที่ลดความระมัดระวังลงเนื่องจากเว้นช่วงจากการสนทนาไปพักนึง เผลอโพล่งพูดความจริงออกมา แต่ทันทีที่ตระหนักได้ว่านั่นไม่ใช่งานอดิเรกของเด็กผู้หญิงที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเธอจึงรีบพูดแก้ไขมันกลางทาง
“งั้นเหรอ การมีเพื่อนมันสำคัญสินะ~”
“ค-ค่ะ นั่นสินะคะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเอเลเฟ่น ซิลฟ์ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มสงสัยว่าตนเองสามารถหลอกเธอได้สำเร็จหรือเปล่า
ในทางกลับกัน ความรู้สึกของเอเลเฟ่นเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก
ไม่มีทางที่เธอจะถูกหลอกได้ง่ายๆ แบบนั้นแน่ เธอได้ยินอย่างชัดเจนเลยว่าซิลฟ์พูดว่า ‘ฉันมักจะเล่นเกม’
เอเลเฟ่นที่ได้ฟังคำตอบแบบนั้นก็ยิ่งทำให้เข้าใจผิด
ถ้าเป็นเกมคงจะสามารถเล่นคนเดียวได้ แม้ว่าเธอจะไม่มีเพื่อนก็ตามและบางทีการที่เธอเปลี่ยนมาบอกว่าเธอไปเล่นที่บ้านเพื่อนอาจจะเพราะต้องการให้ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของตัวเธอก็เป็นได้
เอเลเฟ่นตีความได้อย่างนั้น
“ที่โรงเรียนสนุกไหมจ้ะ?”
“…พอแล้วค่ะ ฉันไม่อยากพูดเรื่องของตัวเองอีกแล้วค่ะ เราจะไปที่อื่นกันอีกไหมคะ? หรือจะกลับแล้วดีคะ?”
ได้ยินคำตอบนั้นยิ่งทำให้เอเลเฟ่นเริ่มมั่นใจ
เธอนั้นถึงขนาดที่ว่าไม่อยากจะจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน มันจะต้องทั้งเจ็บปวดและหลอกหลอนเธอจนไม่อยากจะนึกถึงมันอีกแน่ๆ
แต่ในความเป็นจริง ซิลฟ์ ก็แค่ไม่ต้องการจะถูกถามไปมากกว่านี้อีกก็แค่นั้น
“นั่นสินะ……ที่สุดท้ายเอาเป็นไปที่นั่นกันเถอะ”
เอเลเฟ่นชี้ไปที่ชิงช้าสวรรค์ที่ตั้งอยู่ข้างนอกห้าง
・
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันขึ้นชิงช้าสวรรค์เลยค่ะ มันค่อนข้างสั่นนิดหน่อยนะคะเนี่ย”
“อาฮ่าฮ่า บางทีอีกแป๊ปนึงมันอาจจะร่วงลงไปก็ได้นะ”
“เอ๊ะ!?…อ๊ะ โกหกอีกแล้วสินะคะ! ฉันจะไม่โดนหลอกอีกแล้วค่ะ!”
“โทดที โทดที ก็เพราะซิลฟ์จังหลอกง่ายดีก็เลยเผลอไปนะ”
“โม่วว!”
ไทแรนด์ ซิลฟ์ดูเหมือนว่าเธอกำลังสนุกอยู่แม้ว่าเธอจะดูไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม ภาพลักษณ์ของเธอในตอนนี้นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากสาวน้อยเวทย์มนตร์แสนเย็นชาที่เอเลเฟ่นเคยเห็นในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ และในตอนนี้ซิลฟ์เองก็ดูราวกับว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวที่ทำตัวเหมาะสมกับวัยของเธอตามปกติ
“นี่ ซิลฟ์จัง”
“คะ? มีอะไรเหรอคะ?”
“วันนี้ฉันสนุกมากเลยล่ะ ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยอยู่ด้วยกัน”
“อะ อะไรกันคะจู่ๆก็ ไม่สิ ด้วยความยินดีค่ะ…”
“ซิลฟ์จังเป็นยังไงบ้างเหรอ?”
“เอ๊ะ?”
“วันนี้สนุกมั้ย?”
ขณะที่ชิงช้าสวรรค์ไต่ขึ้นอย่างช้าๆ มีเพียงเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่จากกระเช้าที่กำลังแกว่งไกวเท่านั้นที่ดังก้องอยู่
สีหน้าของเอเลเฟ่นขณะที่เธอกำลังรอคำตอบคือสีหน้าที่จริงจังที่สุดของวัน และดูไม่เหมือนว่าเธอจะล้อเล่นหรือเสแสร้งแกล้งทำ
“อะ-ไม่นิคะ ยังไงฉันก็ไม่มีความตั้งใจที่จะคบหากับสาวน้อยเวทย์มนตร์หรอกนะคะ อย่าว่าแต่สนุกเลย…”
“ซิลฟ์จัง”
“อุ……”
“อยากให้คิดว่าคำตอบนี้เป็นสิ่งสุดท้ายแล้วที่ฉันอยากจะได้จากเธอนะ”
เอเลเฟ่นบอกซิลฟ์ซึ่งกำลังหน้าแดงและมองไปทางอื่นราวกับต้องการซ่อนความอายของเธอว่าเธอต้องการเพียงแค่ให้เธอตอบอย่างตรงไปตรงมา
ซิลฟ์ในตอนนี้รู้แล้วว่าความเจ็บปวดเกินจริงที่เอเลเฟ่นได้แสดงต่อหน้าเธอเมื่อเช้านี้เป็นเรื่องโกหก และนั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ต้องทำตามหรือเชื่อฟังเธออีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นเพราะความรู้สึกอยากตอบแทนที่ยังหลงเหลืออยู่
อย่างไรก็ตามถึงจะเป็นอย่างนั้น ซิลฟ์ ก็มีความรู้สึกว่าเธอไม่ต้องการจะทรยศหักหลังต่อความรู้สึกของเอเลเฟ่นที่มอบให้เธอในวันนี้
“คือว่า คือว่า ถึงเราไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ แต่… วันนี้สนุกมากค่ะ”
“งั้นเหรอ ดีจังเลยนะ ซิลฟ์จัง มานี่สิ”
แม้ว่าเธอจะรู้สึกสับสน แต่เอเลเฟ่นก็เรียกให้ซิลฟ์ไปนั่งข้างๆ และลูบหัวของเธอราวกับจะชมเชยที่เธอตอบอย่างตรงไปตรงมา
“อ๊ะ นี่มันเรื่องอะไรกันเหรอคะ”
“เน้ ซิลฟ์จัง เธอกำลังกลัวสินะ?”
“……เอ๊ะ?”
ร่างกายของซิลฟ์แข็งทื่อไม่กระดุกกระดิกราวกับว่าถูกสาปให้กลายเป็นหิน
เอเลเฟ่นยังคงลูบหัวของเธอต่อไปโดยไม่ได้สนใจถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอ
“ซิลฟ์จังน่ะเพิ่งกลายเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ แต่ถึงแบบนั้นเธอก็แข็งแกร่งมาก ดังนั้นเธอเลยไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนเลยสินะ”
“……ค่ะ”
“นั่นเป็นเหตุผลที่เริ่มรู้สึกกลัวเมื่อจู่ๆดันไปแพ้ดิสที่ไม่รู้จักเข้า แล้วก็เลยคิดว่าอาจจะต้องตายก็ได้สินะ”
“…”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เอเลเฟ่นตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่ซิลฟ์จะถูกรังแกแต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ควรจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานหรือวันนี้
อย่างไรก็ตาม ไทแรนท์ ซิลฟ์ที่เคยทำตัวเหมือนสาวน้อยเวทมนตร์ปกติธรรมดาจนถึงตอนนี้ จู่ๆ ก็เริ่มทำตัวแปลกไป และใช้เวลาไม่นานเอเลเฟ่นก็เริ่มตระหนักว่าตัวกระตุ้นให้ซิลฟ์ได้กลายเป็นแบบนี้ไม่ใช่การโดนกลั่นแกล้งในทุกๆวัน แต่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งล่าสุดต่างหาก
“เข้าใจนะ ในตอนแรกฉันเองก็กลัวเหมือนกัน รู้สึกราวกับว่ากำลังหลงทาง ขยับร่างกายก็ไม่ได้ แล้วก็นึกว่าจะตายซะแล้ว แต่พอรอดมาได้ก็กลายเป็นว่ากลัวที่จะต่อสู้ และก็กลัวด้วยว่าจะไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้วน่ะ”
“แล้วทำไมล่ะคะ…”
เมื่อตอนเช้าซิลฟ์ได้ยินจากปากของเอเลเฟ่นว่าเป็นเรื่องปกติที่สาวน้อยเวทมนตร์จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คำพูดเหล่านั้นซึ่งไม่น่าจะพูดได้ง่ายๆ ถูกพูดโดยเด็กสาวที่ยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูที่มีระดับสูงกว่าตนเองเพื่อพยายามช่วยแม้กระทั่งตัวของเธอเองให้รอดชีวิต
เอเลเฟ่นอาจตายได้เลยเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น แม้ว่าความกลัวนั้นก็หายไปและสามารถต่อสู้ได้ก็ตาม
ซิลฟ์เข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตที่สามารถต่อสู้เพื่อโลกใบนี้โดยปราศจากความกลัวได้คือสาวน้อยเวทมนตร์อย่างแท้จริง และเอเลเฟ่นก็ทำให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงขึ้นมาได้
มันคงจะเป็นเรื่องตลกแบบแปลกๆ ถ้าต้องคิดเป็นอื่นไป
“ทำไมถึงช่วยฉันล่ะคะ ฉันพูดเรื่องที่ไม่ดีกับคุณถึงอย่างนั้นคุณก็ยังดูแลฉัน ทั้งที่ฉันบอกกับคุณว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยไปอย่างชัดเจนแบบนั้นแท้ๆ มันคงจะไม่มีใครโทษคุณเลยถ้าหากคุณคิดจะทิ้งฉันเอาไว้ตรงนั้นค่ะ อย่างน้อยที่สุดคนอย่างฉันก็ไม่ใช่คนประเภทที่คุณควรจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยค่ะ มันไม่ปกติเลยสักนิดที่คุณจะช่วยฉันค่ะ แล้วทำไมคุณถึงโกหกว่าอาการบาดเจ็บที่คุณได้รับไม่ได้สาหัส… “
ถ้าเธอสู้ได้โดยไม่รู้สึกกลัว มันก็คงจะเป็นแบบนั้น
แบบที่มันคงจะสมเหตุสมผลแล้วถ้าเอเลเฟ่นนั้นเป็นเสมือนนักบุญผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา ที่สามารถช่วยเหลือใครก็ได้โดยไม่ต้องสนใจตัวของเธอเอง
แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้นล่ะมันเพราะอะไรกัน?
“เพราะฉันอยากช่วยเธอ”
เอเลเฟ่นไม่ต้องการเหตุผลที่ยุ่งยากซับซ้อน
“เพราะฉันอยากช่วยซิลฟ์จังมาก และมันมากจนฉันไม่สามารถพูดได้ว่าฉันกลัว ฉันไม่อาจอยู่เฉยๆ ได้ ความรู้สึกที่ว่านั้นมีอยู่จริง ดังนั้นมันไม่สำคัญหรอกว่าฉันจะกลัวหรือเปล่า”
“แม้ว่าฉันจะไม่มีความกลัวหรือความกลัวของฉันจะหายไปก็ตาม แต่ฉันก็อยากช่วยซิลฟ์จังจริงๆอยู่ดี เพราะแบบนั้นความรู้สึกที่อยากจะช่วยซิลฟ์จังน่ะเป็นของจริงอย่างแน่นอน และบางทีคงเป็นโชคดีของฉันที่ตัวเองไม่ป๊อดไปเสียก่อนในระหว่างการต่อสู้น่ะนะ”
เอเลเฟ่นหัวเราะอย่างติดตลก
“ฉันมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์เพราะฉันต้องการปกป้องใครบางคนหรือบางสิ่ง และนั่นคือเหตุผลที่ฉันสามารถต่อสู้ต่อไปได้ แล้วฉันก็จะต่อสู้เพื่อมัน”
“……สุดยอดเลยค่ะ”
มันเป็นความชื่นชมที่สุดแสนบริสุทธิ์จากใจจริง
ซิลฟ์ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถสู้ต่อไปได้อีกหรือเปล่า
“ไม่อยากก็ไม่ต้องทำอีกแล้วก็ได้นะ ซิลฟ์จัง”
“เอ๊ะ?”
“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องสู้อีกต่อไปแล้วล่ะ”
ชั่วขณะหนึ่ง ซิลฟ์ไม่เข้าใจว่าเอเลเฟ่นกำลังพูดอะไรอยู่
เป็นความจริงที่ซิลฟ์แพ้ให้กับ ดิสระดับ บารอนคลาส แต่นั่นเป็นเรื่องของความเข้ากันได้ และไม่ใช่ว่าเอเลเฟ่นที่เอาชนะแกะสองหัวได้จะแข็งแกร่งกว่าซิลฟ์
หากไม่มีเธอ จะเป็นการยากที่จะจัดการกับดิสระดับสูง และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอคิดว่าเอเลเฟ่นเล่าเรื่องนี้ออกมาเพื่อให้ตัวของเธอเองกลับมายืนหยัดได้อีกครั้งนึง
“ใครกันที่ตัดสินว่าการวิ่งหนีมันผิดน่ะ? ถ้ามันยากก็หนี ถ้าเศร้าก็ร้องไห้ ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้ากลับมายืนหยัดไม่ได้อีกแล้วน่ะ ฉันคิดว่าจะยอมแพ้แล้วหยุดพักมันไปทั้งหมดเลยก็ได้นะ ไม่ใช่การเป็นสาวน้อยเวทมนตร์นะแต่ในชีวิตประจำวันจริงๆก็ด้วย หยุดจนกว่าจะพร้อมเลยล่ะ”
“ฉัน…ฉันน่ะ…ฉันหนีไปได้จริงๆเหรอคะ…?”
เมื่อปล่อยตัวยอมจำนนต่อเอเลเฟ่น ซิลฟ์ ผู้ซึ่งกำลังถูกลูบหัวอยู่ก็เริ่มขยับเข้าหากับเธอราวกับว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือและพยายามหาหนทางรอด
“กลัวค่ะ…อือ ทั้งการต่อสู้ ทั้งถูกขโมยความกลัวไป ทั้งเรื่องตายก็ด้วย อึก กลัวมาโดยตลอด… จริงๆแล้วฉันไม่อยากต่อสู้เลยค่ะ”
น้ำตาที่กลั้นมานานเริ่มไหลพรั้งพรูออกมา
เพราะกลัวว่าหากน้ำตาไหลออกมาจะไม่สามารถต่อสู้ได้อีกก็เลยพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้มาโดยตลอด
เพราะต้องต่อสู้ เพื่อที่จะได้กลับคืนสู่สภาพเดิม เพื่อปกป้องเมืองนี้ และเพื่อปกป้องโลก ทำให้ต้องต่อสู้ต่อไป
“ไม่เป็นไรนะซิลฟ์จังพยายามได้ดีมากแล้วล่ะพอแล้วล่ะนะจากนี้ไปเธอไม่ต้องต่อสู้อีกแล้วล่ะ”
เธอแบกซิลฟ์ที่ยังคงร้องไห้อยู่แม้ว่าชิงช้าสวรรค์จะกลับถึงพื้นแล้วไว้บนหลัง แล้วจากนั้นเอเลเฟ่นก็เริ่มเคลื่อนย้ายกลับไปที่โรงพยาบาล
“ซิลฟ์จัง ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายใจก็โทรหาฉันได้นะ ฉันมั่นใจว่าศัตรูไม่ใช่แค่ดิสอย่างเดียวหรอกนะ”
“อือ อึก…ค่ะ…?”
ซิลฟ์พยักหน้าตอบแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำพูดของเอเลเฟ่นก็ตาม
“ข้อมูลการติดต่ออยู่ในกระเป๋านะ”
ถ้าจากนี้ไปซิลฟ์ไม่เข้าออกจากโลกปลอมก็จะไม่มีทางติดต่อเธอได้เลย
หากเป็นไปได้เอเลเฟ่นเองก็ต้องการแก้ปัญหาการกลั่นแกล้งของซิลฟ์ด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในโรงเรียนจึงไม่ใช่สิ่งที่บุคคลภายนอกจะทำได้
แม้ว่าสักวันการที่ถูกสนใจและการกลั่นแกล้งได้อาจเริ่มสงบลงแล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่การกลั่นแกล้งจะกลับมาเกิดขึ้นต่อซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือสถานการณ์ที่โดนกลั่นแกล้งอาจทวีความรุนแรงจนแย่ลงไปอีกหลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็ได้
นอกจากนี้ซิลฟ์ยังเป็นสาวน้อยเวทมนตร์อีกด้วยดังนั้นหากเธอพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยกำลังแล้วล่ะก็เธอก็สามารถทำได้ด้วยตัวของเธอเองอย่างง่ายดาย
แล้วถ้าเธอไม่ได้ทำแบบนั้นก็แสดงว่าเธอกำลังพยายามต่อสู้อยู่ ใช่แล้ว มันไม่ใช่ในฐานะสาวน้อยเวทมนตร์ แต่ในฐานะมนุษย์คนนึง
ช่างเป็นสาวน้อยที่แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ ในขณะที่มีคนใช้พลังของสาวน้อยเวทมนตร์ในทางที่ผิด เด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบยังคงฝึกฝนตัวเองและเข้าสู่สนามรบไปต่อสู้ในสังคมโรงเรียนด้วยตัวของเธอเอง
อาจจะไม่มีฉากที่ให้เอเลเฟ่นต้องออกโรงมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
นั่นเป็นเหตุผลที่เอเลเฟ่นเลือกที่จะเป็นสถานที่ปลอดภัยของซิลฟ์
ถ้าซิลฟ์ทำอะไรไม่ถูกและต้องการหนี เธอตัดสินใจว่าเธอจะเป็นที่หลบภัยให้กับเด็กสาว
“ถ้าต้องการหนีจากความเป็นจริงแล้วล่ะก็ ไม่ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ติดต่อฉันได้ตามสบายเลยนะ”
แน่นอนว่าซิลฟ์ที่ไม่เคยถูกรังแกเลยไม่เข้าใจเจตนาของเอเลเฟ่น แต่เธอก็สัมผัสได้ว่ามีความอ่อนโยนอยู่ในนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างว่าง่าย