กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 392.1 วิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย
หลังจากนักพรตหญิงของเรือนซือเตาจากไปได้ไม่นาน เผยเฉียนก็ค่อยๆ เดินออกมาจากในห้อง หน้าผากแปะแผ่นยันต์กระดาษสีเหลือง
สือโหรวยืนอยู่ในห้องของตัวเองด้วยสีหน้าตึงเครียด ต่อให้สัมผัสถึงลมปราณของนักพรตหญิงไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังหวาดผวาไม่คลาย
นางคือผีสาววัตถุหยิน มาเดินอาดๆ อยู่ในโลกคนเป็น อันที่จริงล้วนเต็มไปด้วยภยันตราย ลิงสวมหมวก มีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะ แต่นางที่ใช้วิธีนอกรีตดั่งนกพิราบยึดรังนกกางเขน ยึดครองคราบร่างเซียนมา หากถูกผู้ฝึกตนใหญ่ซึ่งเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลมองรากฐานของนางออก ผลลัพธ์ที่จะตามมาย่อมยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้
เผยเฉียนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันและจูเหลี่ยน สายตาก็ชำเลืองมองไปทางผนังแถบนั้น
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ก็แค่ขนจิ้งจอกหนึ่งเส้นที่ปราณวิญญาณหมดสิ้นไปแล้วเท่านั้น อยากจะเก็บเอามาเป็นสมบัติด้วยหรือ?”
เขายื่นมือไปรับขนจิ้งจอกสีดำที่จำแลงมาจากเวทอำพรางตาของปีศาจจิ้งจอกแล้วคีบไว้ด้วยสองนิ้ว ยื่นส่งให้เผยเฉียน “อยากได้ก็เอาไป”
เผยเฉียนหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ถามอย่างระมัดระวัง “เอาไปขายแลกเงินได้ไหม?”
จูเหลี่ยนขยี้ขนจิ้งจอกตรงปลายนิ้วที่มีความยืดหยุ่นอย่างถึงที่สุด แต่มันกลับไม่แหลกสลายกลายเป็นผุยผง เขาแปลกใจเล็กน้อย ต้องพินิจมองอย่างละเอียด “ของนี่เป็นของดี เพียงแต่ว่าไม่มีประโยชน์ที่แท้จริง หากสามารถถลกเอาหนังจิ้งจอกทั้งผืนมาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเสื้อคลุมอาคมตามธรรมชาติได้ชิ้นหนึ่งกระมัง”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “คำพูดแบบนี้พูดให้น้อยจะดีกว่า”
จูเหลี่ยนคลี่ยิ้ม “บ่าวเฒ่าไม่ระวังคำพูดจริงๆ”
เห็นได้ชัดว่าความเคลื่อนไหวของทางด้านนี้ไปดึงดูดความสนใจของคนจับปีศาจสองกลุ่มนั้น กลุ่มของคุณชายหนุ่มแซ่สองพยางค์ว่าตู๋กู และคู่บำเพ็ญเพียรคู่นั้นต่างก็พากันเร่งรุดมา พอเข้ามาในลานบ้านแล้ว แต่ละคนก็มีสีหน้าแปลกประหลาด สายตาที่มีต่อเฉินผิงอันยิ่งเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อน ปีศาจจิ้งจอกที่เดิมทีควรเผยกายในอีกห้าวันให้หลังกลับเผยตัวล่วงหน้า นี่เป็นเพราะอะไร? แสงมีดเฉียบคมเส้นนั้นมีพลังอำนาจกร้าวแกร่ง ที่ยิ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายตื่นตะลึงก็เพราะไม่เคยคิดว่าตบะของนักพรตหญิงพกมีดผู้นั้นจะสูงส่งถึงเพียงนี้ มีดเดียวก็ฟันให้ภาพมายาของปีศาจจิ้งจอกแหลกสลายไปได้ รายงานที่ทางสวนสิงโตให้มาก่อนหน้านี้ ปีศาจจิ้งจอกไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลหรือสมบัติอาคมก็ล้วนไม่สามารถสัมผัสโดนชายอาภรณ์ของมันได้
เฉินผิงอันเล่าฉากการปะทะระหว่างปีศาจจิ้งจอกกับนักพรตหญิงซือเตาให้ทั้งสองฝ่ายฟังอย่างรวบรัด แล้วก็ยิ่งไม่ได้บอกให้รู้ถึงสถานะของนักพรตหญิง
ผู้เฒ่าที่บนไหล่มีจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงนั่งยองอยู่พลันเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเฉิน ขนจิ้งจอกเส้นนี้ขายให้ข้าได้ไหม? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะอาศัยโอกาสนี้มาสืบสาวเบาะแสจนขุดค้นเจอที่ซ่อนตัวของปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ก็เป็นได้”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ให้ราคาเท่าไหร่?”
ผู้เฒ่าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ขนจิ้งจอกสูญเสียสติปัญญาทั้งหมดไปแล้ว อันที่จริงก็มีค่าไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบทันที
ดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำฤดูใบไม้ร่วงของสาวใช้หน้าตางดงามที่อยู่ด้านหลังคุณชายตู๋กูท่านนั้นกระเพื่อมเป็นริ้วของความดูแคลน
ดูท่าเซียนซือหนุ่มสะพายกระบี่ยาวฝักขาว สวมชุดขาวผู้นี้ มองดูเหมือนคนบนภูเขา แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ต่างจากพ่อค้าหน้าเลือด ขนจิ้งจอกหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ยังจะต้องเล่นแง่อีกหรือ? แต่เพียงไม่นานนางก็ปล่อยวางได้ ก็พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลล้วนเป็นพวกที่ชอบแสร้งทำท่าให้ดูภูมิฐานไม่ใช่หรือ?
นางติดตามคุณชายของตัวเองท่องไปทั่วภูเขาและแม่น้ำ ตลอดทางได้พบเห็นเรื่องราวมากมายในยุทธภพ แล้วก็ได้ขึ้นเขาลงห้วยไปเยี่ยมเยียนเซียนอยู่หลายครั้ง แต่มีสักกี่คนที่สามารถทำให้คุณชายต้องหันไปมองใหม่? มิน่าเล่าคุณชายถึงได้ไปอย่างฮึกเหิมแต่กลับมาอย่างห่อเหี่ยวเสียทุกครั้ง
สาวใช้ผู้นี้พลันค้นพบว่าเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ด้านหลังคนผู้นั้นกำลังมองมายังตน
สาวใช้พลันคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย
เผยเฉียนก็แสยะยิ้มกลับคืน
เฉินผิงอันพูดกับผู้เฒ่าคนนั้นว่า “ข้าพลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีวิชาที่ไม่เข้าขั้นบางอย่างซึ่งสามารถใช้มันไปค้นหาปีศาจจิ้งจอกได้เช่นกัน คงไม่ขายแล้ว”
ผู้เฒ่ายิ้มสง่างาม “ทุกคนต่างก็มาเพื่อกำจัดปีศาจ ในเมื่อคุณชายเฉินเก็บไว้แล้วเอาไปใช้ประโยชน์ได้ วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น ข้าก็ไม่บังคับฝืนใจท่านแล้ว”
พอพวกเขาจากไป เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะก็พูดกับเผยเฉียนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่ยอมขายขนจิ้งจอกเส้นนั้น?”
เผยเฉียนตอบรับฉับไว “คนผู้นั้นโกหก จงใจกดราคา จิตใจคิดคด อาจารย์ฉลาดปราดเปรื่อง มองปราดเดียวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน ในใจรู้สึกไม่ชอบ ไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน หากปีศาจจิ้งจอกตนนั้นแอบจับตามองอยู่อย่างลับๆ นี่จะเป็นการทำให้ปีศาจจิ้งจอกขุ่นเคือง แล้วพวกเราจะตกเป็นเป้าที่ผู้คนรุมโจมตี ทำให้แผนการของอาจารย์วุ่นวาย เดิมทียังคิดจะดูไฟชายฝั่ง แค่ชมทัศนียภาพพลางจิบชาไปให้สบายใจ ผลกลับกลายเป็นว่าพาให้ไฟลุกลามมาไหม้ตัว เรือนหลังเล็กย่อมเต็มไปด้วยลมคาวฝนเลือด…อาจารย์ ข้าพูดมาตั้งมากขนาดนี้ ต้องมีสักเหตุผลที่ถูกต้องกระมัง? ฮ่าๆ ข้าฉลาดมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “ใครบางคนต้องกินมะเหงกอีกแล้ว”
แล้วก็จริงดังคำของเขา เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงมาจริงๆ
เผยเฉียนหันขวับมามองจูเหลี่ยนอย่างเดือดดาล “ปากอีกา!”
จูเหลี่ยนยิ้มพูด “หวาดกลัวคนแข็งแกร่ง รังแกคนที่อ่อนแอกว่า? คิดว่าข้ารังแกได้ง่ายใช่ไหม เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะโปรยดินลงไปในกับข้าวที่เจ้าชอบกินมากที่สุด?”
เผยเฉียนรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย หันไปมองเฉินผิงอัน ทำไหล่ลู่คอตก
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอกันในพื้นที่มงคลดอกบัว จนกระทั่งถูกนักพรตเฒ่าจมูกวัวโยนออกมา เผยเฉียนรู้สึกว่าเฉินผิงอันคือคนที่รู้ไส้รู้พุงตนดีที่สุดในใต้หล้า หากใช้คำกล่าวตามในตำราก็คือ นางคือคนที่มีประวัติชั่วร้ายด่างพร้อย ดังนั้นตอนนี้นางถึงได้รู้สึกกลัว
เฉินผิงอันลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อยพลางพูดเบาๆ ว่า “ข้าอ่านเจอในผลงานของนักประพันธ์ผู้หนึ่ง ในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่า เรื่องราวของเมื่อวานตายไปเมื่อวาน เรื่องราวของวันนี้เกิดขึ้นวันนี้ รู้หรือไม่ว่าหมายความว่าอย่างไร?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าเบาๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าก็จะเข้าใจเอง”
เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย “อาจารย์ ประโยคนี้สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่แผ่นเล็กแล้วมอบให้ข้าได้ไหม? หากเป็นไปได้ก็รวมสองประโยคในศาลพ่อปู่ลำคลองนั่นด้วย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับตอบรับ จากนั้นก็ยกเอาเรื่องเล็กๆ อย่างขายไม่ขายขนจิ้งจอกนี้มาอธิบายด้วยหลักการยิ่งใหญ่ให้เผยเฉียนฟังซึ่งถือว่าหาได้ยากยิ่ง “ท่องอยู่ในยุทธภพต้องระวังตัวให้มาก ไม่ควรมีใจคิดทำร้ายผู้อื่น แต่หากไม่มีใจคิดป้องกันผู้อื่นเลย นั่นจะไม่เท่ากับปล่อยให้คนชั่วได้เปรียบไปเปล่าๆ หรอกหรือ? จะต้องยึดหลักภายนอกปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจไว้ตลอดเวลา ควักใจให้กับทุกคนหรือหวั่นไหวไปกับทรัพย์สินกลับมีแต่จะทำให้ยุทธภพอันตรายมากขึ้น การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจที่แท้จริงก็คือเรื่องที่งดงามมากเรื่องหนึ่ง แต่ควรจะปกป้องมันให้ดี ไม่ทำร้ายคนอื่นและไม่ทำร้ายตัวเองได้อย่างไร ก็จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์ในยุทธภพไปด้วยตัวเอง”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “จิตใจดีงามแต่ไม่ไร้เดียงสา สุขุมเชี่ยวชาญหาใช่มากอุบาย ถ้อยคำที่ล้ำค่าเช่นนี้คือหลักการที่แท้จริงในตำรา”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “จูเหลี่ยนพูดได้ดีกว่าข้า คำพูดไม่เยิ่นเย้อ”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งในสามกาสุดท้ายออกมาส่งให้จูเหลี่ยน ตอนนั้นตระกูลฟ่านนำเหล้าหมักกุ้ยฮวามามอบให้ไม่น้อย เพียงแต่ว่าแบ่งเป็นสองชนิด ชนิดหนึ่งคือไว้ให้เฉินผิงอันดื่มระหว่างทาง จำนวนมีไม่น้อย เพียงแต่ว่าตลอดทางมานี้ดื่มอยู่ตลอด วันนี้ให้สวีหย่วนเสียหนึ่งกา พรุ่งนี้ให้จางซานเฟิงหนึ่งกา นี่ยังไม่ทันเดินถึงเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนก็ใกล้จะหมดแล้ว ส่วนอีกชนิดหนึ่งมีค่อนข้างน้อย ว่ากันว่าเป็นเหล้าหมักที่กุ้ยฮูหยินหมักเองบนเกาะกุ้ยฮวา มีเพียงหกไหเท่านั้น ตอนนั้นขนาดฟ่านจวิ้นเม่าก็ยังอยากได้ จึงตื๊อเอาไปหนึ่งไห
เผยเฉียนหันไปมองจูเหลี่ยน ถามอย่างใคร่รู้ “ตำราเล่มไหนกล่าวไว้?”
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ตำราชีวิตคนลำบากยากเข็ญ สามารถสอนคนได้ดีที่สุด”
เผยเฉียนรับไม่ได้ที่อาจารย์ถูกคนอื่นข่มจึงหัวเราะเยาะใส่จูเหลี่ยน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยังต้องเรียนรู้จากมหาสมุทรไร้ขอบเขต จากถุงหนังสือไร้ก้น พูดมั่วๆ แค่สองสามประโยค ใครบ้างที่ทำไม่ได้ ยังคงเป็นอาจารย์ข้าที่พูดได้ดี ดีกว่าเยอะเลย!”
จูเหลี่ยนโคลงศีรษะดื่มเหล้า มีสุราดีให้ดื่มจึงไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับนังหนูนี่แล้ว
เฉินผิงอันพูดกับเผยเฉียน “เป็นเพราะเจ้าไม่สนิทกับจูเหลี่ยนจึงไม่ยอมรับว่าคำพูดของเขามีเหตุผล ช่างเถิด เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง”
สุดท้ายเฉินผิงอันรู้สึกว่าจะรีบร้อนไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเอาหลักการที่ตนคิดว่ามีเหตุผลทั้งหมดกรอกใส่หัวเผยเฉียนในคราวเดียว
คนที่ความจำดีอย่างเผยเฉียน ท่องตำราอริยะปราชญ์หลายหมื่นหลายแสนตัวอักษรก็ไม่สู้คำสอนบนตำราสองสามประโยคที่ตัวนางเข้าใจได้อย่างแท้จริง
มีประโยคหนึ่งตอนอยู่ศาลพ่อปู่ลำคลองที่จูเหลี่ยนเอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ตำราอริยะปราชญ์ยังคงเป็นอริยะปราชญ์ เฉินผิงอันจึงเริ่มทบทวนตัวเอง เมื่อเทียบกับบัณฑิตที่แท้จริงแล้ว ตนอ่านตำรามาไม่มาก แต่หากเทียบกับชาวบ้านทั่วไป อันที่จริงกลับไม่ถือว่าน้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นลองคิดคำนวณอย่างละเอียด หลายปีมานี้ตำราอริยะปราชญ์ที่คืนให้อริยะปราชญ์ไปมีน้อยนักหรือ?
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที บอกว่าจะไปฝึกวิชาหมัดในห้อง
ฝึกที่ลานบ้านแห่งนี้ออกจะสะดุดตาเกินไป
ผีสาวสือโหรวที่อยู่ในห้องได้ยินเฉินผิงอันพูดประโยคที่มาจากคัมภีร์พุทธประโยคนั้นก็เหม่อลอยไปนาน สุดท้ายถอนหายใจเบาๆ เก็บความคิดวุ่นวายทั้งหลายลงไป กลั้นหายใจทำสมาธิ เริ่มหายใจเข้าออกโดยทำตามคาถาที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้ เพื่อหล่อหลอมคราบร่างเซียนนี้ไปทีละนิด
หลังจากเฉินผิงอันปิดประตูลงแล้ว เผยเฉียนก็ถามเบาๆ ว่า “พ่อครัวเฒ่า ดูเหมือนอาจารย์ของข้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ? เป็นเพราะรังเกียจที่ข้าโง่หรือเปล่า?”
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีถามกลับ “อยากดื่มเหล้าไหม? ใช้เหล้าดับทุกข์อันไร้ที่สิ้นสุดอย่างไรล่ะ”
เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก พูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่ให้กับชุยตงซานไปแล้ว เจ้าอย่าหวังว่าจะทำลายจิตแห่งการฝึกตนของข้าได้!”
จูเหลี่ยนเกือบจะพ่นเหล้าออกมา “เด็กน้อยอย่างเจ้ามีจิตแห่งการฝึกตนอะไรกับเขาด้วย?”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืน เอาสองมือไพล่หลัง ทอดถอนใจเฮือกๆ ไม่ลืมหันมาใช้สายตาเวทนามองจูเหลี่ยน น่าจะอยากพูดว่าข้าไม่คิดจะสีซอให้ควายฟังหรอกนะ
พอนางหันหน้ากลับไป จูเหลี่ยนก็ยกเท้าถีบก้นเผยเฉียนจนเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านเกือบจะล้มหน้าทิ่ม ฝึกวรยุทธ์และฝึกเดินนิ่งระหว่างเดินทางตามป่าเขามานาน ทำให้เผยเฉียนใช้สองมือยันพื้น พลิกตัวกลับ พอยืนได้มั่นคงแล้วก็พูดอย่างอับอายจนพานเป็นความโกรธ “จูเหลี่ยน เหตุใดเจ้าต้องแอบทำร้ายคนอื่นด้วย ยังมีศีลธรรมของชาวยุทธ์อยู่หรือไม่?! บนร่างข้าคือเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งสวมได้ไม่นานเองนะ!”
จูเหลี่ยนถาม “อยากเรียนวรยุทธ์ที่ข้าคิดค้นขึ้นเองหรือไม่ มีชื่อว่าแมลงตื่นจากจำศีล แค่ฝึกได้สำเร็จในระดับต้นๆ ก็สามารถออกหมัดเหมือนสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิ อย่าว่าแต่คุมเชิงกับคนในยุทธภพเลย คิดจะต่อยให้เส้นเอ็นและกระดูกของพวกเขาอ่อนยวบยาบก็ยังได้ ต่อให้เจอกับภูตผีปีศาจก็ให้ประสิทธิผลที่มหัศจรรย์ไม่ต่างกัน”
เผยเฉียนถามกลับ “เจ้าเป็นใครกัน?”
จูเหลี่ยนไม่ถือสาที่อีกฝ่ายเห็นความหวังดีของตนเป็นเจตนาร้าย เพียงแต่ไม่อยากฟังเหตุผลบิดๆ เบี้ยวๆ ของเจ้าเด็กนี่อีกจึงโบกมือไล่ “ไปๆๆ ไปฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของเจ้าโน่นไป”
เผยเฉียนมีคำพูดเต็มท้องที่ไม่ได้พูดออกมาจึงรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย นางไปหยิบไม้เท้าเดินป่าในห้องตัวเองออกมา เริ่มฝึกวิชายุทธ์ที่นาง ‘คิดค้น’ ขึ้นเองเช่นกัน หลังจากที่กำราบหมาพันธ์พื้นบ้านได้ระหว่างทางในครั้งนั้น ความมั่นใจของนางก็เพิ่มขึ้นพรวดพราด ช่วงที่ผ่านมานี้นอกจากฝึกเดินนิ่งหกก้าวกับเฉินผิงอันอย่างว่าง่ายแล้ว วิชาวานรขาวสะพายกระบี่และวิชาลากดาบล้วนถูกนางเก็บไว้ชั่วคราว มีบางครั้งที่เอามาฝึกอย่างขอไปที ส่วนใหญ่ที่ฝึกยังคงเป็นวิชากระบี่ล้ำโลกที่มีพลานุภาพมหาศาลซึ่งเห็นผลทันตานี่มากกว่า
เผยเฉียนมีความสุขกับการฝึกของตัวเอง
ทำเอาจูเหลี่ยนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลรู้สึก…เสียสายตายิ่งนัก
จูเหลี่ยนกวาดตามองไปรอบด้าน
ไร้ความผิดปกติใดๆ
ดูท่าพอเจอมีดอาคมนั้นไป ปีศาจจิ้งจอกก็เริ่มหวาดเกรงขึ้นมาบ้างแล้ว
ในสองห้องของเรือนหลังเล็ก สือโหรวใช้จิตวิญญาณของผีสาว ร่างของเซียนฝึกวิชาลับชั้นสูงที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้
ส่วนเฉินผิงอันใช้ท่าฟ้าดินเดินกลับหัว มือสองข้างยื่นนิ้วออกมาแค่นิ้วเดียว
ขณะเดียวกันจิตใจก็จ่มจอมอยู่ใน ‘จวนน้ำ’ ที่หลอมมาจากตราประทับตัวอักษรน้ำ
ตามคำอธิบายของชุยตงซาน ตอนที่เขาหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่บนทะเลเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า มีความเป็นไปได้มากว่าแผ่นหยกจวนปี้โหยวที่สร้างภาพปรากฎการณ์ผิดปกตินั้นอาจจะเป็นวัตถุตกทอดล้ำค่าของวังมังกรแม่น้ำสายใหญ่บางแห่งในยุคบรรพกาล แก่นน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ได้มารวมตัวกันจนกลายเป็นแผ่นหยกโชคชะตาน้ำ ตอนนั้นชุยตงซานพูดด้วยรอยยิ้มว่าในด้านของการแจกจ่ายสมบัติ เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอท่านนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับอาจารย์ไม่น้อย ส่วนตัวอักษรที่สลักอยู่บนแผ่นหยก สุดท้ายเกิดจิตเชื่อมโยงกับเฉินผิงอันผู้เป็นคนหล่อหลอม เมื่อความคิดของเขาผุดขึ้น พวกมันก็ถือกำเนิด กลายมาเป็นคนจิ๋วสวมชุดสีเขียวมรกตที่พากันแบกแผ่นหยกเข้าไปในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอัน ช่วยเฉินผิงอันวาดภาพเทพทวารบาลลงบน ‘ประตูจวน’ และยังวาดน้ำของแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งขึ้นมาบนผนังช่องโพรงลมปราณ นั่นก็คือโชควาสนาแห่งมหามรรคาที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง
เป็นเหตุให้ชุยตงซานที่หยิ่งทระนงก็ยังอดพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ว่า เว้นเสียจากความจริงใจของอาจารย์และศิษย์สองคนสั่นคลอนสวรรค์ หาไม่แล้วต่อให้เขาที่เป็นลูกศิษย์ทุ่มเทกำลังกายใจจนหมดสิ้น วางแผนนับหมื่นอย่าง ก็ยากมากๆ ที่ระดับของหัวใจบุ๋นสีทองซึ่งจะหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองในต้าสุยนั้นจะทัดเทียมได้กับตราประทับตัวอักษรน้ำชิ้นแรก
สำหรับเรื่องพวกนี้ เฉินผิงอันย่อมปล่อยวางได้ ได้มาคือความโชคดีของข้า สูญเสียไปคือชะตากรรมของข้า
แต่ระหว่างการได้มาและการสูญเสียที่เป็นดั่งมายาล่องลอยนี้ เฉินผิงอันยังคงชื่นชอบสี่คำของแผ่นป้ายหนึ่งในกรอบซุ้มประตูก้ามปูของบ้านเกิดมากกว่า โม่เซี่ยงว่ายฉิว ไม่แสวงหาสิ่งที่อยู่นอกกาย
คิดจะขอร้องเทพกราบไหว้พระ ตัวเองต้องมีความจริงใจเสียก่อน แล้วค่อยปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต
—–