กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 395.2 น้ำลดหินผุด เงินกองน้อย
เฉินผิงอันรู้ถึงน้ำหนักของยันต์ที่ตัวเองวาดดีว่าพอจะเรียกได้ว่าลมปราณโชติช่วงได้อย่างถูไถ แต่ไม่ทอดยาวมากพอ ปราณวิญญาณสลายหายไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็คือข้อด้อยที่ร้ายแรงที่สุดหากผู้ฝึกยุทธ์เป็นคนวาดยันต์
เฉินผิงอันพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ข้าจะอยู่ที่นี่ เจ้าไปเฝ้าที่หัวกำแพงทางฝั่งขวามือ ภาพมายาของปีศาจจิ้งจอกทำลายไม่ยาก หากพบร่างจริง แค่ถ่วงเวลาไว้สักครู่หนึ่ง เชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นที่ข้ามอบให้เจ้า…”
สือโหรวนึกว่าเฉินผิงอันต้องการเอาสมบัติอาคมกลับคืนไปไว้ข้างกายจึงยื่นเชือกสีทองเส้นนั้นส่งมาให้ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ เฉินผิงอันหัวเราะอย่างถอนฉุน “ข้าแค่จะบอกเจ้าว่าจงใช้มันให้ดี รีบไปเฝ้าทางด้านนั้น!”
สือโหรวตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งตัวออกไปพร้อมถือเชือกปีศาจที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นไว้ในมือ
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ พูดในใจว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนออกมา พวกเจ้าคือท่าไม้ตายของข้า เมื่อแน่ใจว่าร่างจริงของปีศาจโผล่ออกมาแล้ว พวกเจ้าค่อยออกมาก็ยังไม่สาย”
ทางฝั่งของหอเก็บหนังสือ สาวใช้เหมิงหลงทำท่าคันไม้คันมือเต็มแก่ สายตาฉายประกายร้อนแรง “ไม่สนหรอกว่าจะใช่เวทอำพรางตาหรือไม่ คุณชาย ให้บ่าวลงมือเถอะ? อยู่ในสวนสิงโตแห่งนี้อุดอู้จะตายอยู่แล้ว”
คุณชายตู๋กูเอ่ยเตือน “ตอนนี้มีคนมากมายของแคว้นชิงหลวนจับตามองสวนสิงโตอยู่ ดังนั้นห้ามเจ้าใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต เพราะมีหยกติดตัวจึงมีความผิด (เดิมเปรียบเปรยว่าทรัพย์สินนำมาซึ่งภัยร้าย ภายหลังเปรียบเปรยว่าเพราะมีความสามารถจึงถูกคนอิจฉาริษยา) ข้าไม่อยากหาปัญหาใส่ตัว อีกอย่างก็อย่าเหยียบย่ำสิ่งปลูกสร้างในสวนสิงโตให้พังย่อยยับไปมากนัก”
สาวใช้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าให้นางยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่ที่เดิม นางเขย่งปลายเท้าพลิ้วกายขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียง ปากพึมพำท่องคาถา มือข้างหนึ่งทำมุทรา อีกมือหนึ่งยื่นไปข้างหน้า ในดวงตางดงามมีแสงสีทองระยิบระยับ สุดท้ายตวาดเบาๆ ว่า “ออกมา!”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์สวมเกราะสีทองสูงสามจั้งตนหนึ่งกระแทกตัวลงบนพื้นดังตูม ฝุ่นตลบคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
องค์เทพตนนี้นอกจากมีเรือนกายใหญ่โตมโหฬารแล้ว บนร่างที่สูงใหญ่ยังมีแถบผ้าหลากสีที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณวิญญาณห้าเส้นล้อมพัน บนศีรษะสวมมงกุฎ บนเกราะสีทองของแขนข้างหนึ่งมีลมปราณสกปรกแผ่อบอวล ส่วนเกราะสีทองของแขนอีกข้างหนึ่งสลักภาพใบหน้าดุร้ายของภูตผีชนิดต่างๆ
เพียงแต่ว่าองค์เทพตนนี้หลับตาอยู่ตลอดเวลา
ราวกับว่ากำลังรอคำสั่งจากเหมิงหลง
ทุกครั้งที่เทพท่องราตรีที่หาได้ยากตนนี้เดินไปเบื้องหน้า แม้ว่าสองตาจะปิดสนิท แต่ก็ยังจงใจเดินอ้อมผ่านสิ่งปลูกสร้างแต่ละแห่งของสวนสิงโต ระหว่างที่ก้าวเดินแผ่นดินก็สั่นสะเทือนไปด้วย
เท้าเดียวก็กระทืบให้ร่างของเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่หลบหนีไม่ทันแหลกสลาย
แถบผ้าหลากสีห้าเส้นที่หล่อหลอมขึ้นด้วยฝีมือของเซียนซือประดุจเจียวหลงห้าตัวที่ออกมาจากบ่อมังกร ความยาวก็แค่สองจั้ง แต่กลับบินโฉบอย่างว่องไว ลอดผ่านทะลุร่างกายของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหล่านั้นไปอย่างง่ายดาย
เทพท่องราตรีตนนี้ยกแขนขึ้นกวาด ฝ่ามือข้างหนึ่งตบลงบนภาพมายาปีศาจที่บินทะยานอยู่บนหลังคา
เหมิงหลงเปลี่ยนท่าทางใหม่ คราวนี้นางนั่งลงบนราวระเบียง พูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ทนการโจมตีไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”
คุณชายตู๋กูอธิบาย “ปีศาจตนนั้นแบ่งดวงจิตเสี้ยวหนึ่งจำแลงร่างเป็นคนหลายคน แต่ยังเคลื่อนไหวได้ปราดเปรียวเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
คงเป็นเพราะเคยเห็นภาพเทพท่องราตรีบดขยี้ปีศาจจิ้งจอกกับตาตัวเองมาก่อน โอกาสแพ้ชนะต่างกันมากเกินไป ความอันตรายก็น่าจะมีไม่มาก ถึงได้เป็นเหตุให้อาจารย์และศิษย์สองคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงมองทิศไกลอยู่ในตำแหน่งอื่นของสวนสิงโต รวมไปถึงผู้ฝึกตนสามีภรรยาคู่นั้นเริ่มร่ายวิชาอภินิหารเพื่อกำจัดปีศาจปราบมารให้ช้ากว่าทางหอเก็บหนังสือคล้ายตั้งใจ แต่ก็คล้ายไม่เจตนา
จิ้งจอกตัวเล็กสีแดงเพลิงที่อยู่บนไหล่ของผู้เฒ่ากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ร่างสั่นสะท้านแล้วพลันขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อมันพลิ้วตัวลงบนสันหลังคาแห่งหนึ่งก็กลายมาเป็นจิ้งจอกเพลิงที่ตัวใหญ่ดุจวัว ทั่วร่างลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ
ส่วนเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็โบกแขนหนึ่งครั้ง งูสีเขียวมรกตดุจใบไผ่ที่พันอยู่รอบแขนก็กระโจนพรวดออกมา กลายร่างเป็นงูยักษ์ยาวสองจั้ง
ต่างฝ่ายต่างกระโจนเข้าหาเด็กหนุ่มชุดดำที่เผ่นหนีออกไปนอกสวนสิงโตอย่างบ้าคลั่ง
ผู้ฝึกตนคู่รักจับคู่อยู่ด้วยกัน เลือกบริเวณใกล้เคียงกับสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง คนหนึ่งบังคับให้กระบี่เล่มยาวออกจากฝักที่สะพายอยู่ด้านหลังเหมือนอาจารย์กระบี่บังคับกระบี่สังหารศัตรู อีกคนหนึ่งใช้สองมือทำมุทรา ก้าวเท้าว่องไวเหมือนเหยียบอยู่บนพายุลมกรด อ้าปากพ่นปราณวิญญาณเข้มข้นออกมาหนึ่งคำ ปราณวิญญาณคำนั้นกระจายหายไปในสวนดอกไม้ประหนึ่งมีไอหมอกปกคลุมไปทั่วต้นไม้ดอกไม้ เพียงแค่ชั่วพริบตาในสวนดอกไม้ก็พลันมีเงาร่างของภูตหลากสีสูงเท่าหนึ่งช่วงแขนหลายตน หลังตามไปทันเด็กหนุ่มชุดดำแล้ว ร่างของภูตเหล่านั้นก็จะระเบิดกระจัดกระจาย
เฉินผิงอัน สือโหรว ฝ่ายที่อยู่ในหอเก็บตำรา บวกกับอาจารย์ศิษย์และสามีภรรยารวมเป็นสี่คนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ทางทิศตะวันตกของสวนดอกไม้
เฉินผิงอันยืนออกหมัดอยู่บนหัวกำแพง สือโหรวใช้เชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดมังกรสีทองต้านทานเด็กหนุ่มชุดดำ
เพียงแต่ว่าภาพมายาของปีศาจมีมากเกินไป สี่ทิศนอกสวนสิงโตยังคงมีเด็กหนุ่มชุดดำเกือบสี่สิบคนคอยพุ่งชนกำแพงด้านนอกที่มีเจียวหลงซึ่งเกิดจากยันต์สีทองว่ายวนโอบล้อมอยู่
คุณชายตู๋กูที่อยู่ในหอเก็บตำราไม่อนุญาตให้เหมิงหลงใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ส่วนตัวเขาเลือกจะนิ่งดูดาย
ดังนั้นจึงมีปลาที่หลุดรอดแหไปไม่น้อย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้อานุภาพของเทพท่องราตรีตนนั้นก็ยังน่ากลัวมากเกินไปอยู่ดี ภาพมายาของปีศาจจำนวนมากที่ห้อตะบึงไปทางกำแพงสูงของหอเก็บตำราจึงจำต้องเปลี่ยนเส้นทางการหลบหนีกะทันหัน
จึงกลายเป็นว่าทางฝั่งของหอเก็บตำรานี้มีเด็กหนุ่มชุดดำหนีมาน้อยที่สุด
ส่วนทางทิศตะวันตกที่แม้ว่าจะ ‘มากคนมากอำนาจ’ มีผู้ฝึกตนสี่ท่านเฝ้าพิทักษ์ แต่กลับเป็นแถบพื้นที่ที่อันตรายที่สุดเพราะเด็กหนุ่มพุ่งชนกำแพงเยอะที่สุด
ส่วนทางฝ่ายของสือโหรวก็เรียกได้ว่ายุ่งวุ่นวายอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ภูตผีที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า และสมบัติก้นกรุที่ชุยตงซานมอบให้ นางก็ไม่กล้าเอาออกมาใช้ในเวลานี้ ดังนั้นจึงมีเด็กหนุ่มเกือบสิบคนพุ่งชนกำแพง จากนั้นก็ถูกแม่น้ำสีทองยาวเหยียดที่อยู่รอบนอกของกำแพงหลอมละลาย ภาพมายาบางส่วนที่โชคดีหลุดพ้นไปได้ก็พุ่งชนกำแพงต่ออีกครั้ง มองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ
โชคดีที่สือโหรวไม่ได้ทำให้เกิดช่องโหว่ที่ใหญ่มากนัก
ส่วนเฉินผิงอันที่มองดูเหมือนออกหมัดไม่เร็ว แต่กลับสามารถต้านทานได้สบายแรงที่สุด
เขาใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวเดินกลับไปกลับมาอยู่บนหัวกำแพง ชายแขนเสื้อสองข้างพลิกสะบัด พายุหมัดซัดตลบอบอวล
เพียงแต่ว่าสีทองของเจียวหลงที่เห็นกำแพงสีขาวหิมะเป็นดั่งลำคลองได้หม่นหมองลงไปหลายส่วน เป็นเหตุให้ผนังรอบด้านถูกชนจนเกิด ‘ประตูเล็ก’ ซึ่งเป็นช่องโหว่นับไม่ถ้วน
ดูเหมือนว่าหลังจากวาดยันต์แล้ว การที่เฉินผิงอันต้องมารับมือกับเด็กหนุ่มชุดดำที่จำนวนมากมายชวนตาลายนี้ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นจะไม่เพียงพอให้ใช้ จำเป็นต้องหยุดนิ่งเพื่อเปลี่ยนลมปราณ
และเวลานี้เอง
ทางฝั่งของศาลบรรพชนสกุลหลิ่วก็เหมือนมีปลาฉลามพลิกตัว จากนั้นแผ่นดินสี่ด้านแปดทิศก็พากันสั่นสะเทือนส่งเสียงดังครืนครั่น
ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงที่สุดทางทิศตะวันตก
เหมิงหลงถลันลุกขึ้นยืน มือสองข้างทำมุทรา หลับตาลง ใช้เวทลับปล่อยจิตวิญญาณออกจากร่างให้เข้าไปสิงร่างของเทพท่องราตรี องค์เทพเกราะทองลืมตาขึ้น งอเข่าเล็กน้อยแล้วกระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศ ใต้ฝ่าเท้าปรากฏหลุมใหญ่หนึ่งหลุม เทพท่องราตรีที่ร่างสูงสามจั้งพุ่งตัวไปทางทิศตะวันตก
สองเท้าของเทพท่องราตรีเหยียบกลางสวนดอกไม้ทางทิศตะวันตกที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง พื้นดินยุบยวบลงลึก จากนั้นก็ย่อตัวลงนั่งยอง ควงแขวนเหวี่ยงหมัดกระแทกลงบนพื้นหนักๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเศษดินปลิวกระเด็นว่อน
ต่อยทำลายจนรากภูเขาเล็กๆ เส้นหนึ่งใต้ดินของสวนสิงโตขาดสะบั้น
คุณชายตู๋กูลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ลงมือ
เห็นเพียงว่าบริเวณใกล้เคียงกับหอเก็บตำรามีเด็กหนุ่มหล่อเหลาร่างสูงห้าหกจั้งคนหนึ่งโผล่ออกมาจากใต้ดิน ปีศาจที่ตัวสูงแทบจะทัดเทียมกับหอเก็บตำราพุ่งกระโจนไปทางกำแพงแถบนั้น
เจียวหลงสีทองที่ล้อมรอบกำแพงประหนึ่งเชือกที่ขัดขาเด็กหนุ่มชุดดำผู้นั้น มันที่เผยร่างจริงร้องคำรามพลางก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ เป็นเหตุให้แสงสีทองของยันต์ในตำแหน่งอื่นล้วนถูกกระชากให้ไปรวมอยู่ในทิศทางเดียวกับมัน
มันเริ่มพุ่งชนกำแพง เพียงแต่ว่าตรงหัวเข่ายังคงมีเชือกยันต์สีทองเส้นหนึ่งรัดพันไว้อย่างแน่นหนา
มันยกขาขึ้นสูงก็แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของเชือกเส้นนั้นได้จึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาตะบึงไปเบื้องหน้าต่ออีกครั้ง
เจียวหลงสีทองที่เดิมทีหัวและหางเชื่อมติดกันพลันถูกขึงตึงจนขาดออกจากกัน ถูกปีศาจใหญ่ชุดดำที่เผยกายธรรมร่างทองกระชากดึงไปข้างหน้าจนส่ายสะบัดไม่หยุด
ประหนึ่งปลาตัวใหญ่ที่แม้ปากจะยังไม่หลุดจากเบ็ด แต่เพราะเรี่ยวแรงมีเหลือล้น เป็นเหตุให้แม้แต่เส้นเอ็นและคันเบ็ดก็ถูกมันกระชากไปพร้อมกันด้วย
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดปากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ พูดในใจว่า “ผิดปกติ รอก่อน”
เรือนกายสูงเพรียวที่ยืนนิ่งอยู่บนหลังคาศาลาตลอดเวลาพลันกลายเป็นรุ้งสีขาวที่พาดผ่านท้องฟ้า ศาลาใต้ฝ่าเท้าล้มครืนกระแทกพื้น มีดเล่มหนึ่งถูกชักออกมาแล้วฟันลงไป
หลิ่วป๋อฉีที่ในที่สุดก็ปรากฎกาย เวลานี้เรือนกายลอยอยู่สูงเกินกว่าหอเก็บตำรา มีดนั้นของนางฟันผ่าให้กายธรรมร่างทองถูกแบ่งออกเป็นสองท่อน
นางไม่แม้แต่จะมองร่างทองของจริงที่ตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาร่างนั้น เพียงแค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ไป!”
เห็นเพียงว่าด้านหลังนางมีคนถือมีดผู้หนึ่งลอยออกมา ตัวสูงเท่าคนปกติ ทว่าร่างกลับเหมือนปรอทเงิน และในมือกลับถือมีดยาวเรียวบางสีดำที่ยาวยิ่งกว่าตัวคนเสียอีก
ร่างนั้นพุ่งวูบหายไป
นาทีถัดมาเขาก็ใช้ปลายมีดแหลมคมทิ่มลงไปยังช่องโพรงเล็กๆ จุดหนึ่งบนผนัง แล้วยืนนิ่งไม่ขยับ
สือโหรวกลืนน้ำลาย ก้มหน้ามองไป
เห็นเพียงว่าปลายมีดแทงโดนปีศาจร่างสีขาวหิมะขนาดเท่าฝ่ามือที่กำลังเลื้อยขยุกขยิก
หลิ่วป๋อฉีพุ่งตัวโฉบลงมาใต้กำแพงสูงบริเวณใกล้เคียงกับสือโหรว เดินเข้าหาเทพถือมีดท่านนั้น คนทั้งสองผสานรวมร่างกลายเป็นหลิ่วป๋อฉีคนเดียวอีกครั้ง
เพียงแต่ว่ามีดที่ยาวมากเล่มนั้นยังคงหยุดลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ หลิ่วป๋อฉีเดินไปตรงปลายมีด ยิ้มกล่าวว่า “จับเจ้าได้แล้ว”
นางไม่ได้เก็บปีศาจจำแลงสมบัติตนนี้เข้ากระเป๋าทันที แต่หันหน้ามองไปยังกำแพงสูงที่มีคนหนุ่มชุดขาวซึ่งเวลานี้เอาฝ่ามือออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยืนอยู่ ถามว่า “เอายังไง? พวกเจ้ามีคนมาก อยากจะลองแย่งชิงดูหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้เปรียบไปแล้วก็อย่าอวดฉลาดอีกเลย”
หลิ่วป๋อฉีกล่าวอย่าง ‘เข้าใจจิตใจของผู้อื่น’ ว่า “สามารถจับเจ้าตัวนี้ได้ ข้าไม่ปฏิเสธว่าอันที่จริงเจ้าออกแรงไม่น้อย แต่ข้าไม่มีนิสัยชอบแบ่งสมบัติกับผู้อื่น ดังนั้นกลัวว่าในใจเจ้าจะไม่พอใจ ไม่สู้พวกเราสองฝ่ายมาต่อสู้กันสักรอบ จะได้ตัดสินว่าเจ้าตัวน้อยนี่ควรจะตกเป็นของใคร ข้ารับปากว่าจะไม่ฆ่าคน หลังจบเรื่องเมื่อเจ้ายอมศิโรราบทั้งกายและใจแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังแอบรู้สึกว่าตนโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ นี่ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว”
เฉินผิงอันจึงเดินเลียบหัวกำแพงไปหานักพรตหญิงเรือนซือเตาผู้นี้
ตรงหอซิ่วโหลว จูเหลี่ยนทะยานวูบออกมาหยุดยืนอยู่บนชายคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับหลิ่วป๋อฉี เหมือนตอนที่นักพรตหญิงปรากฎกายครั้งแรกต่อหน้าพวกเขาในเรือนเล็กอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สือโหรวเดินออกมาหลายก้าว หยุดลอยตัวนิ่งกลางอากาศ แต่กลับรอให้เฉินผิงอันเดินพ้นออกมาจากหัวกำแพง เดินสวนไหล่นางไปก่อน นางถึงได้ติดตามไปด้านหลังเขา
เฉินผิงอันโบกมือให้จูเหลี่ยน
หลิ่วป๋อฉีก็ขยับมาที่หัวกำแพง เดินเข้าหาเฉินผิงอัน
หลิ่วป๋อฉีทิ้ง ‘เจี่ยจั้ว’ ที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตไว้ที่เดิม เพียงแค่ดึงมีดเทพเจ้าจิ้งออกจากฝักมาถือไว้ในมือเท่านั้น
นางถามด้วยสีหน้าประหลาด “แค่เจ้าคนเดียวรึ?”
เฉินผิงอันเอื้อมมือไปด้านหลัง เท้ายังคงไม่หยุดเดินหน้า มือกุมด้ามกระบี่ของ ‘เจี้ยนเซียน’ เอาไว้แล้ว
คนหนึ่งคือนักพรตหญิงเรือนซือเตา
อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่สะพายอาวุธกึ่งเซียน
คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ห้าสิบกว่าก้าว
หลิ่วป๋อฉีพลันหันไปมองบนยอดเขาเขียวขจีแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันก็หันไปแทบจะเวลาเดียวกัน เห็นว่าตรงนั้นมีเรือนกายของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ร่างกำลังสลายไปพอดี
หลิ่วป๋อฉีถอนสายตากลับคืนมา หางตาชำเลืองไปเห็นว่าห่างไปไกลพวกคนสกุลหลิ่วกำลังวิ่งเข้ามา หนึ่งในนั้นคือบัณฑิตขาเป๋ผู้น่าสงสาร
หลิ่วป๋อฉีเก็บมีดเข้าฝัก “ปีศาจจำแลงสมบัติ ข้าเจ็ดเจ้าสาม”
เห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าฉงนสนเท่ห์
นางก็เริ่มมีโทสะ “ทำไม ไม่ยอมรับงั้นรึ?!”
เฉินผิงอันนึกถึงสายตาของนางเมื่อครู่นี้ก็พลันบังเกิดความคิดหนึ่งจึงคลายมือที่จับด้ามกระบี่ มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แบ่งกันห้าต่อห้า ข้าจะยอมตกลง”
หลิ่วป๋อฉีหรี่ตาลง “อย่าได้คืบจะเอาศอก หยุดเมื่อพอสมควรคือนิสัยที่ดี”
สือโหรวถอนหายใจหนึ่งที สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดายทั้งคล้ายอยากจะเกลี้ยกล่อมเฉินผิงอัน แล้วก็เหมือนกลัวว่าเฉินผิงอันจะเปิดฉากสังหารกับหลิ่วป๋อฉีจริงๆ นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชาย ให้แล้วกันไปดีหรือไม่ ถึงอย่างไรคุณชายก็ไม่ใช่คนบนภูเขา ได้ชื่อเสียงที่ดีงามมาก็ไม่เลว ปล่อยให้ท่านเซียนผู้นี้ได้เปรียบครั้งใหญ่ให้เรื่องจบๆ กันไปเถอะ คุณชายยังต้องอยู่ในแคว้นชิงหลวนรอดูงานโต้วาทีพุทธเต๋า แล้วยังต้องไปเยี่ยมเยือนคนรู้จัก สำหรับบัณฑิตที่ต้องการหน้าตาแล้ว ชื่อเสียงเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะ”
มือข้างที่เอาไพล่หลังของเฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้สือโหรว
หลิ่วป๋อฉีหรี่ตามองสือโหรว “เจ้าเป็นผีผู้หญิงตนหนึ่ง มาหลบอยู่ในร่างของตาแก่สกปรกนี่ ไม่สะอิดสะเอียนบ้างหรือไร?”
สือโหรวเพียงยิ้มบางๆ ไม่พูดจา
พวกคนสกุลหลิ่วขยับมาใกล้มากขึ้นทุกที
หลิ่วป๋อฉียื่นมือข้างหนึ่งออกมาคว้า เจี่ยจั้วมีดอาคมแห่งชะตาชีวิตก็ถูกนางกุมไว้ในกำมือ จากนั้นนางก็หยิบน้ำเต้าลูกเล็กจิ๋วออกมาจากชายแขนเสื้อ เก็บตัวทากไว้ในน้ำเต้าหนังสีเหลือง ก่อนกดเสียงเบาพูดกับเฉินผิงอันอย่างขุ่นเคืองว่า “เดี๋ยวค่อยมาแบ่งของกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง”
……
คนทั้งครอบครัวของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วย่อมต้องซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้งต่อการที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันกำราบปีศาจ โดยเฉพาะกับหลิ่วป๋อฉีและเฉินผิงอันที่พวกเขาซาบซึ้งในพระคุณเป็นพิเศษ
หลิ่วชิงซานที่ขาพิการตาแดงก่ำ หาโอกาสคารวะนักพรตหญิงวัยกลางคนเพียงลำพังก่อน จากนั้นจึงไปคารวะพวกเฉินผิงอันด้วย
หลิ่วป๋อฉีเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร
ตอนกลางคืนสวนสิงโตจัดงานเลี้ยงฉลองชำระสิ่งเสนียดจัญไร หลิ่วป๋อฉียังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ ทำเพียงคีบอาหารไม่กี่ครั้ง แต่ต่อให้จะรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย เปลืองเวลามากแค่ไหน นางก็ยังนั่งอยู่จนงานเลี้ยงสิ้นสุดลง
วันต่อมาไม่รู้ว่าเหตุใดหลิ่วชิงซานถึงเดินเคียงไหล่มากับหลิ่วป๋อฉี เชื้อเชิญให้เฉินผิงอันไปชมทัศนียภาพของสวนสิงโตด้วยกัน
เฉินผิงอันปฏิเสธแล้วแต่ไร้ผล จึงได้แต่ไปเดินเล่นกับพวกเขา
ระหว่างทางหลิ่วป๋อฉียังคอยชำเลืองตามองเฉินผิงอันอย่างเย็นชาอยู่หลายครั้ง
วันนี้แสงแดดกำลังดี พอได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอัน เผยเฉียนที่เกิดความฮึกเหิมก็หาพื้นที่โล่งว่างแห่งหนึ่งของสวนสิงโต ขนย้ายเอาตำราและไม้ไผ่ออกมาตากแดดประหนึ่งมดย้ายรังอยู่เพียงลำพัง
ยุ่งวุ่นวายอยู่พักใหญ่จนเสร็จ เผยเฉียนก็นั่งยองลงบนพื้นด้วยความพึงพอใจ
มีคนสองคนเดินมาแต่ไกล เผยเฉียนรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร อาจารย์ผู้เฒ่าคือฝูเซิง ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อแซ่หลิว ต่างก็เป็นอาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่ในสวนสิงโต
ดังนั้นเผยเฉียนจึงไม่ขัดขวางพวกเขาที่ขยับเข้ามาใกล้
—–