กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 397.1 ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำช้อนดวงจันทร์
ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเฉินผิงอัน จูเหลี่ยนกับสือโหรวหันมามองหน้ากัน ก่อนที่จูเหลี่ยนจะหัวเราะเฮอๆ พูดว่า “เจ้าลองพูดก่อนสิ”
สือโหรวข่มกลั้นความอึดอัดในใจ สายตาของตาเฒ่าบ้ากามผู้นี้ ต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปีก็คงยังทำให้คนสะอิดสะเอียนได้แบบนี้กระมัง นางพูดเบาๆ ว่า “ข้าคือวัตถุหยิน เกิดมาก็ถูกสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงข่มกำราบ จุดที่สายตาของคุณชายมองไปปรากฎสิ่งที่ทำให้จิตใจของข้ายิ่งไม่สงบสุข เจ้าล่ะ?”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “เมื่อครู่นี้จิตของนายน้อยเกิดการขานรับจึงหันหน้ามองไป ท่าทางที่แม่นางสือโหรวทอดสายตามองไกลตามไป สายตาเลื่อนลอยเช่นนั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง”
สือโหรวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ขนาดเผยเฉียนยังรู้ว่าควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ตาแก่หน้าไม่อายอย่างเจ้าไม่เข้าใจบ้างหรือ?”
เผยเฉียนน้อยใจนิดหน่อย “พี่หญิงสือโหรว อะไรที่เรียกว่า ‘ขนาด’ เขียนตัวอักษรหรืออ่านหนังสือ ข้าก็ล้วนตั้งใจอย่างมากเลยนะ”
สือโหรวได้แต่หันมามองนางด้วยสายตาขออภัย
เผยเฉียนโบกมือเป็นวงกว้าง แล้วก็เริ่มยกหลักการยิ่งใหญ่ที่อ่านเจอในตำรามาประกอบกันส่งเดชอีกครั้ง “มนุษย์มิใช่ผู้วิเศษย่อมต้องเคยผิดพลาด ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ให้อภัยไม่ได้…”
เผยเฉียนสังหรณ์ได้ว่าท่าไม่ดี แล้วนางก็ต้องเกร็งเท้าเขย่งขึ้นเพราะถูกเฉินผิงอันดึงหูให้เดินไปข้างหน้าจริงดังคาด
เฉินผิงอันเอ่ยสั่งสอน “หลักการอริยะปราชญ์ที่ได้มาไม่ง่ายในตำราพวกนั้น ตอนนี้เจ้ายังรู้และเข้าใจได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ กล้าเอามาโอ้อวดส่งเดชแล้วอย่างนั้นรึ?”
เผยเฉียนรีบยอมรับผิดทันใด
ใบหูปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว
หลังจากผ่านคลื่นลมมรสุมด้วยกันมา ตอนนี้เผยเฉียนก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าอาจารย์โกรธมากและโกรธน้อย เขกมะเหงก ต่อให้แรงไปสักหน่อย แต่นั่นก็ยังดี เพราะอันที่จริงแล้วถือว่าอาจารย์ไม่โกรธเท่าไหร่นัก หากดึงหูก็หมายความว่าอาจารย์โกรธจริงๆ หากดึงกระชากแรงๆ นั่นก็ยิ่งร้าย แปลว่าโกรธไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะได้กินมะเหงกหรือถูกดึงหูก็ล้วนเทียบกับตอนที่เฉินผิงอันโกรธแล้วเงียบ ไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่ตีไม่ด่าไม่ได้ เผยเฉียนกลัวเฉินผิงอันที่เป็นแบบนั้นมากที่สุด
เฉินผิงอันเลือกโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่กลางตลาดจอแจ ตั้งอยู่ในตรอกชางเล่อที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง เป็นแถบที่มีร้านหนังสืออยู่มากมาย
เพียงแต่ว่าตอนนี้ห้องพักในโรงเตี๊ยมต่างๆ ของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนล้วนเป็นที่ต้องการ เหลืออยู่แค่ห้องสองแห่งที่อยู่แยกกัน ราคาก็ราวกับจะปลิดชีพคน หนุ่มลูกจ้างร้านที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินมีสีหน้าประมาณว่าอยากพักก็พัก ไม่อยากพักก็ไสหัวไป แต่เฉินผิงอันก็ยังคงควักเงินจ่ายค่าเข้าพัก แน่นอนว่าต้องให้ลูกจ้างร้านดูเอกสารผ่านทางเสียก่อน เพราะจำเป็นต้องลงบันทึกเอาไว้ เตรียมไว้เวลาที่ทางการของเมืองหลวงมาตรวจสอบหลังจากนี้ เมื่อเฉินผิงอันหยิบเอกสารผ่านทางหลายฉบับที่ชุยตงซานเตรียมมาไว้ให้เรียบร้อยแล้วออกมา ลูกจ้างร้านแน่ใจว่าไม่มีปัญหา เขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้าใหม่ คัดลอกข้อมูลเสร็จสิ้นก็ประคองส่งคืนให้ด้วยสองมืออย่างนอบน้อม ลูกจ้างร้านขมีขมันอย่างถึงที่สุด แถมยังเอ่ยขออภัยเฉินผิงอัน บอกว่าตอนนี้โรงเตี๊ยมหาห้องว่างมาเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว แต่ขอแค่มีลูกค้าย้ายออก เขาจะต้องรีบแจ้งคุณชายเฉินให้รู้ทันที
เฉินผิงอันยิ้มพูดว่าตกลง ไม่นานลูกจ้างร้านก็เรียกเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งออกมา ให้นางพาพวกเฉินผิงอันไปยังที่พัก
ส่วนลูกจ้างร้านนั้นรีบไปหาเถ้าแก่ทันที บอกว่ามีกลุ่มคนจากเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าหลีเดินทางลงใต้มาท่องเที่ยวมาเข้าพักที่โรงเตี๊ยม
เถ้าแก่คือบุรุษอ้วนฉุที่แทบจะมองไม่เห็นดวงตา สวมอาภรณ์ผ้าแพรที่พวกเศรษฐีชอบสวมใส่กันเป็นประจำ เขากำลังลิ้มรสชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในห้องปีกข้างที่เงียบสงบประดับตกแต่งอย่างหรูหราห้องหนึ่ง พอฟังคำของลูกจ้างร้านจบก็เห็นท่าทางเงี่ยหูรอฟังอย่างโง่งมของฝ่ายหลัง อยู่ดีๆ ก็ไม่รู้ว่าโทสะพุ่งมาจากไหน ยกเท้าถีบออกไปพร้อมสบถด่า “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม หรือยังต้องให้ข้าผู้อาวุโสยกน้ำชามาให้เจ้าดื่มดับกระหาย? ในเมื่อเป็นนายท่านใหญ่ที่มาจากเมืองหลวงต้าหลีแล้วยังไม่รีบไปปรนนิบัติรับใช้อีก! มารดามันเถอะ กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพวกเขาใกล้จะมาถึงราชวงศ์จูอิ๋งแล้ว หากพวกเขาเป็นคุณชายสูงศักดิ์ในตระกูลขุนนางคนใดของต้าหลีขึ้นมาจริงๆ …ช่างเถอะ ข้าผู้อาวุโสไปเองดีกว่า ให้เจ้าไปทำแล้วข้าไม่วางใจ…”
ลูกจ้างหนุ่มที่มาขอความดีความชอบไม่สำเร็จ กลับยังถูกถีบไปหนึ่งทีก็อดนินทาในใจไม่ได้ ผลกลับกลายเป็นว่าดันโดนเถ้าแก่ร้านตบแรงๆ อีกที “ข้าผู้อาวุโสใช้ก้นคิดยังนึกสีหน้าที่ใช้สายตาสุนัขมองคนต่ำของเจ้าก่อนหน้านี้ออกเลย หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เจ้าเรียกข้าว่าพี่เขย ป่านนี้คงให้เจ้าออกไปเก็บขี้หมาบนถนนแล้ว”
คนหนุ่มที่อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวถึงได้มาเป็นลูกจ้างโรงเตี๊ยมกลับไปที่โต๊ะคิดเงินแล้วถึงได้กล้าสบถด่า พี่สาวที่งดงามประหนึ่งบุปผาประหนึ่งหยกของตนต้องมาเป็นอนุภรรยาของเจ้าหมูตัวนี้ มันช่าง…เป็นเรื่องที่โชคดีซะจริง กินอยู่ไร้ทุกข์ไร้กังวล สวมใส่เครื่องประดับเงินทอง ทุกครั้งที่กลับไปเยือนตรอกโทรมๆ อันเป็นบ้านเดิมก็ราวกับเหนียงเนียงในวัง มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง ขนาดน้องชายอย่างเขาก็ยังได้อาศัยใบบุญไปด้วย
เมื่อเถ้าแก่ออกโรงด้วยตัวเองจึงสามารถหาห้องมาเพิ่มให้เฉินผิงอันได้อีกห้องหนึ่ง ดังนั้นเผยเฉียนกับสือโหรวจึงพักอยู่ห้องเดียวกัน เดิมทีฝ่ายหลังก็เหมาะสำหรับการฝึกตนยามค่ำคืน ไม่จำเป็นต้องนอนหลับอยู่แล้ว จึงให้เผยเฉียนยึดเตียงไปนอนเพียงลำพัง เฉินผิงอันกังวลว่าเผยเฉียนจะหวาดกลัวตัวตนวัตถุหยินและร่างของตู้เม่าจึงถามเผยเฉียนก่อน เผยเฉียนกลับไม่ถือสา แน่นอนว่าสือโหรวยิ่งไม่ถือสา ให้อยู่ร่วมห้องกับจูเหลี่ยนต่างหากที่จะทำให้นางขนลุกขนพองเหมือนอยู่ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์
เรื่องราวในโลกมนุษย์มากมายดุจขนวัว เฉินผิงอันเคยชินกับการทำอะไรอย่างใส่ใจมานานมากแล้ว หากเขาใส่ใจ คนข้างกายก็สามารถลดเรื่องหยุมหยิมไปได้ ทำให้หันมาทำเรื่องที่ถูกต้องจริงจังได้มากขึ้น และเขาก็ใช้วิธีการเช่นนี้นับตั้งแต่ที่ปกป้องพวกหลี่เป่าผิงไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย
ห้องทั้งสองห่างกันค่อนข้างไกล เผยเฉียนจึงมาคัดตัวอักษรอยู่กับเฉินผิงอันก่อน
เฉินผิงอันฝึกท่าฟ้าดิน จูเหลี่ยนไม่มีอะไรทำจึงตั้งท่าวานรยืนอยู่ในมุมห้อง
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นจูเหลี่ยนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลก็ดี หรือจะเป็นเฉินผิงอันที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตหกก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้กันมาตั้งนานแล้วว่า การฝึกวรยุทธ์นั้นอยู่ที่สิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตประจำวัน ตั้งกระบวนท่าหมัดเวลาเดิน ขึ้นเขาลงห้วย ต่างคนต่างมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป นั่งหายใจ หรือแม้แต่ยามนอนหลับ ทั้งจูเหลี่ยนและเฉินผิงอันต่างก็มีวิธีในการบำรุงปณิธานหมัดให้อบอุ่นของใครของมัน ส่วนเผยเฉียน ถึงอย่างไรอายุของนางก็ยังน้อย ยังเดินมาไม่ถึงขอบเขตนี้ แต่เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนก็จำต้องยอมรับว่า บางคนบนโลกมีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นจริงๆ แม้แต่บนเส้นทางของการฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการเหยียบยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ไม่มีทางลัดให้เดิน เผยเฉียนก็ยังเหมือนจะใช้วิธีโกงได้ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันสอนการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้กับเผยเฉียน ความเร็วในการพัฒนาของนาง ตอนที่อยู่ร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันก็รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้แล้ว
ในขณะที่เฉินผิงอันเก็บท่าฟ้าดิน จูเหลี่ยนก็ทำท่าคันไม้คันมือ เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในทันทีจึงบอกให้เผยเฉียนที่คัดตัวอักษรเสร็จเรียบร้อยแล้วใช้ไม้เท้าวาดวงกลมบนพื้น เขาจะประมือกับจูเหลี่ยนอยู่ในวงกลม หากใครออกนอกวงคนนั้นก็แพ้ ปีนั้นตอนที่อยู่บนถนนใหญ่แคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันกับหม่าขู่เสวียน ‘ได้มาพบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน’ ก็ใช้วิธีการแบบนี้มาตัดสินแพ้ชนะเช่นกัน หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันรู้ว่าผู้ปกป้องมรรคาแห่งภูเขาเจินอู่ของหม่าขู่เสวียนจับตามองอยู่อย่างลับๆ เกรงว่าคนวัยเดียวกันสองคนที่มาจากตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาก็คงต้องมีคนใดคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว
สำหรับหม่าขู่เสวียนที่พ่อแม่ได้ครอบครองเตาเผามังกรเตาหนึ่งมาเนิ่นนานแล้ว เฉินผิงอันไม่มีทางเกรงใจ แค้นเก่าแค้นใหม่ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันที่สะสางความจริงให้แน่ชัดและมาคิดบัญชีย้อนหลังกันอีกที
หลังจากที่เผยเฉียนวาดวงกลมวงใหญ่เสร็จแล้วก็มีท่าทางกลัดกลุ้มเล็กน้อย วิชาตระกูลเซียนที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้นางวิชานี้ ไม่ว่านางจะเรียนรู้อย่างไรก็ไม่เป็นผลเสียที
เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนยืนอยู่ในวงกลม พื้นที่แคบๆ เพียงเท่านี้แต่กลับเต็มไปด้วยเสียงออกหมัดดังทึบหนักอื้ออึง
จูเหลี่ยนย่อมต้องกดขอบเขตให้ต่ำลง ไม่ต่างจากตอนที่เจิ้งต้าเฟิงป้อนหมัดให้คนในภาพวาดทั้งสี่คนอย่างพวกเขา
หนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ถูกจูเหลี่ยนต่อยหมัดหนึ่งจนผงะถอยไปด้านหลัง เท้าทั้งสองข้างยังปักตรึงอยู่ในวงกลม แล้วก็ถูกจูเหลี่ยนศอกเข้าที่หน้าอก ร่างถึงกับล้มตึงลงไป เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือสองข้างยันพื้น ในขณะที่แผ่นหลังอยู่ห่างจากพื้นดินด้วยความสูงประมาณหนึ่งฉื่อ ร่างก็พลิกกลับ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ส่ายสะบัดเหมือนลูกข่างหมุน เท้าทั้งสองข้างสัมผัสโดนเส้นขอบของวงกลมพอดี เขาเดินอ้อมไปทางด้านหนึ่งของจูเหลี่ยน ผลกลับถูกจูเหลี่ยนเตะเข้าที่หน้าอก ร่างกระเด็นไปกระแทกกำแพง
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือสองข้างยันกำแพงที่อยู่ด้านหลังไว้ก่อนเพื่อลดทอนพละกำลังทั้งหมด ไม่อย่างนั้นด้วยแรงเท้าข้างนั้นของจูเหลี่ยน ก็คงไม่ใช่แค่กระแทกกำแพงพังเท่านั้น สุดท้ายถึงพลิ้วกายลงบนพื้น ยิ้มกล่าวว่า “แพ้แล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “นายน้อยออกกระบวนท่าแปลกประหลาดมากมายขนาดนี้ แอบเรียนมาจากศึกสุดท้ายรอบหกสิบปีที่พื้นที่มงคลดอกบัวอย่างนั้นหรือ? ยกตัวอย่างเช่นเรียนรู้มาจากติงอิงที่เอากวานเต๋าชิ้นนั้นของข้าไปครอง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ติงอิงเรียนวรยุทธ์มาอย่างหลากหลาย ข้าเองก็เรียนรู้จากเขามาได้ไม่น้อย”
หลังจากคนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จูเหลี่ยนก็รินชาถ้วยหนึ่งให้เฉินผิงอัน พูดเนิบช้าว่า “ติงอิงคือคนที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ดีที่สุดนับตั้งแต่ที่ข้าได้พบเจอมา อีกทั้งยังเป็นคนละเอียดรอบคอบ เขาได้แสดงออกถึงมาดของผู้นำที่แกร่งกร้าวมาตั้งนานแล้ว การเข่นฆ่าในแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนั้น ข้ารู้ว่าตัวเองทำไม่สำเร็จแล้ว สั่งสมปณิธานหมัดของทั้งชีวิตเอาไว้ แต่ให้ตายอย่างไรเสียงสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ดังขึ้นเสียที ตอนนั้นแม้ว่าข้าจะบาดเจ็บสาหัส ส่วนติงอิงเองก็อดทนข่มกลั้นมานานกว่าจะเผยไม้เด็ดในช่วงสุดท้าย แต่อันที่จริงหากข้าคิดจะสังหารเขาในตอนนั้นจริงๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายไม่ต่างจากบิดคอไก่คอกระต่าย แต่ข้าก็ยังเลือกจะละเว้นชีวิตเขา แถมยังมอบกวานเต๋าซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากเจ๋อเซียนชิ้นนั้นให้กับเขาติงอิง คิดไม่ถึงว่าหกสิบปีให้หลัง คนหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง กลับกันความทะเยอทะยานของเขายังมากกว่าข้าเสียอีก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มิน่าเล่าติงอิงถึงไม่เคยพูดถึงศึกแห่งวิถีวรยุทธ์ที่ทำให้เขาร่ำรวยมีชื่อเสียงขึ้นมาในฉับพลันครั้งนั้น ทั้งยังเก็บงำไว้เป็นความลับอย่างเงียบเชียบ น่าจะเป็นเพราะรู้สึกอับอายเกินกว่าจะคุยโว แล้วก็ไม่ยินดีจะเปิดเผยข้อบกพร่องของตัวเองออกมาด้วย”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตาแก่นั่นทำร้ายให้อาจารย์ของข้าต้องเหนื่อยยากแค่ไหน”
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ปีนั้นข้าก็ควรต่อยให้ติงอิงตายไปด้วยหมัดเดียวเลย ใช่ไหม?”
เผยเฉียนพลาดไปครั้งหนึ่งก็ฉลาดขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง นางมองเฉินผิงอันก่อน แล้วค่อยหันมามองจูเหลี่ยนที่มีสีหน้ากวนโอ้ยประมาณว่าขุดหลุมรอให้นางกระโดดลงไปไว้แล้ว และเขาจะเป็นคนกลบหลุมให้เอง เผยเฉียนส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ๆ”
เผยเฉียนเห็นว่าอาจารย์ไม่มีวี่แววว่าจะมอบมะเหงกให้เป็นรางวัลก็รู้ว่าตัวเองตอบถูกแล้ว
นางเอากระดาษ พู่กันและหมึกเก็บใส่ในหีบไม้ไผ่ของเฉินผิงอันอย่างระมัดระวังก่อน จากนั้นก็รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย แต่จู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้นยืน มากระซิบกระซาบเสียงเบาอยู่ข้างหูเฉินผิงอัน “อาจารย์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ช่วงนี้พอข้าเปิดอ่านหนังสือซ้ำอีกรอบ มองปราดๆ ก็เหมือนว่าตัวอักษรบนหนังสือจะสวยงามขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก”
เฉินผิงอันไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง แค่ถามยิ้มๆ ว่า “หมายความว่าไง?”
เพื่อป้องกันไม่ให้จูเหลี่ยนแอบฟัง เผยเฉียนจึงกดเสียงลงแผ่วต่ำต่อไป “เมื่อก่อนก้อนหมึกเล็กๆ พวกนั้นเป็นเหมือนข้าที่ตัวดำเมี่ยม แต่ตอนนี้มาลองดูแล้วกลับไม่เหมือนเก่า เหมือนใครกันนะ…”
เผยเฉียนเริ่มนับนิ้วตัวเอง “หวงถิงที่สอนวิชาดาบและเวทกระบี่ให้ข้า เหยาจิ้นจือที่ชอบมอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์ ฟ่านจวิ้นเม่าที่นิสัยไม่ค่อยดี จินซู่ที่อยู่ข้างกายน้ากุ้ย บอกไว้ก่อนว่าเป็นเหล่าเว่ยที่บอกว่าพี่หญิงจิ้นจือชอบมอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์ บอกว่านางเป็นโฉมสะคราญที่ทำให้บ้านเมืองล่มสลายได้ ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเองหรอกนะ แม้แต่คำว่ามอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์หมายความว่าอย่างไร ข้าก็ยังไม่รู้เลย”
จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังพูดขัดขาว่า “แต่เจ้าก็เห็นด้วยกระมัง…”
เผยเฉียนรีบวิ่งไป คิดจะปิดปากพล่อยๆ ของจูเหลี่ยนที่สมกับคำว่าปากสุนัขไม่งอกงาช้าง จูเหลี่ยนหรือจะปล่อยให้นางทำได้สมใจหวัง เขาเบี่ยงตัวหลบซ้ายหลบขวา ส่วนเผยเฉียนก็แยกเขี้ยวฟ้อนเล็บเข้าใส่
—–