กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 405.4 จิตใจใฝ่หา
ตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ เผยเฉียนพบว่าหลี่เป่าผิงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างที่หาได้ยาก
เผยเฉียนทอดถอนใจด้วยความชื่นชม “พี่หญิงเป่าผิง เจ้าคิดเยอะจริงๆ”
หลี่เป่าผิงเห็นว่าเผยเฉียนยังกินขนมชิ้นนั้นไม่เสร็จ นางแทะเบาๆ ราวกับหนูตัวน้อยแทะข้าวโพดอย่างไรอย่างนั้น หลี่เป่าผิงจึงคลี่ยิ้ม ตบไหล่เผยเฉียน “อาจารย์อาน้อยต่างหากที่คิดเยอะ”
หลี่เป่าผิงแกว่งเท้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชุยตงซานเคยบอกว่า สักวันหนึ่งอาจารย์อาน้อยจะต้องพบเจอกับแม่นางที่เขาชอบ ข้าก็ได้แต่เป็นอันดับที่สองในใจของอาจารย์อาน้อย ไม่แน่ว่าในอนาคตข้าเองก็อาจพบเจอคนที่ข้าชอบมากเหมือนกัน และอาจารย์อาน้อยก็ต้องอยู่อันดับสองในใจข้า ข้ารู้สึกว่าชุยตงซานพูดจาเหลวไหล อาจารย์อาน้อยมีผู้หญิงที่ชอบ ข้าก็ไม่ถือสา แต่ข้าจะชอบคนอื่นมากกว่าอาจารย์อาน้อยได้อย่างไร ถูกไหมเผยเฉียน?”
เผยเฉียนรีบพยักหน้ารับ
หลี่เป่าผิงพึงพอใจกับท่าทีของเผยเฉียนมากจึงตบไหล่นาง พูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี “วันหน้าติดตามอาจารย์อาน้อยออกไปท่องยุทธภพ เจ้าต้องพยายามให้เยอะๆ ต้องรู้ความให้มากขึ้น ซุกซนบ้างก็ได้ แต่อย่าซนบ่อยจนอาจารย์อาน้อยต้องเหน็ดเหนื่อยใจ อาจารย์อาน้อยของข้า อาจารย์ของเจ้า ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า อาจารย์อาน้อยเองก็มีเรื่องที่ต้องวุ่นวายใจ มีเรื่องเสียใจที่ต้องใช้เหล้าดับทุกข์ ดังนั้นเจ้าต้องรู้ความในบางเรื่อง ทำได้หรือไม่? เจ้าก็เห็นว่าเมื่อก่อนอาจารย์อาน้อยไม่เคยดื่มเหล้า ตอนนี้กลับดื่มเหล้าแล้ว นี่หมายความว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างเจ้ายังมีบางเรื่องที่ทำได้ไม่ดีพอ ถูกต้องไหม?”
เผยเฉียนยังคงพยักหน้า ชื่นชมอีกฝ่ายและยินดีจากใจจริง
เกี่ยวกับเรื่องที่จะให้นางยืมน้ำเต้าลูกเล็กสีเงินและดาบแคบยันต์มงคล ความหมายคร่าวๆ ในคำพูดของหลี่เป่าผิงเหมือนกับคำพูดที่เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์และคำพูดที่จงขุยเคยกล่าวไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
นาทีนั้นเผยเฉียนถึงได้ยอมรับว่า หลี่เป่าผิงเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย เพราะมีเหตุผล
คนทั้งสองทยอยกันไต่ลงมาจากต้นไม้ใหญ่
หลี่เป่าผิงต้องไปเข้าเรียนคาบของอาจารย์จากต่างถิ่นจึงวิ่งตะบึงจากไป ท่ามกลางกลุ่มของอาจารย์ผู้เฒ่าและลูกศิษย์หนุ่มสาวของสำนักศึกษา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลี่เป่าผิงมีอายุน้อยที่สุด อีกทั้งยังสวมชุดสีแดงสดย่อมสะดุดตาอย่างยิ่ง
เผยเฉียนเลือกไปที่หอพักของพวกหลี่ไหวสามคนตอนที่พวกเขาเลิกเรียนพอดี
คนทั้งสามยังคงจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน
หลิวกวานถาม “หม่าเหลียน เจ้าลองบอกมาสิ หากในบ้านมีคนเป็นขุนนาง ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ ลำพังแค่เอามาวางไว้ก็ต้องมีข้อที่ต้องพิถีพิถันมากมายอย่างที่เผยเฉียนพูดจริงๆ หรือ?”
หม่าเหลียนพยักหน้ารับอย่างแรง “มีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมก็เหมือนอย่างที่นางเล่าจริงๆ”
“แล้วเตียงป๋าปู้ (เตียงไม้โบราณอย่างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ โดยรอบเตียงจะมีเสาไม้และไม้แกะสลักครอบคลุม ทำให้เตียงกลายมาเป็นเหมือนห้องขนาดเล็กห้องหนึ่ง) ที่เผยเฉียนเล่าว่านางเคยนอนตอนเด็กจะใหญ่ถึงขนาดที่สามารถวางของเล่นสารพัดได้มากมายจริงๆ หรือ?”
หม่าเหลียนยังคงพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่สาวข้าก็มีอยู่หลังหนึ่ง!”
หลิวกวานกล่าวอย่างจนใจ “นี่นางคือองค์หญิงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์จริงๆ หรือนี่! ถ้าอย่างนั้นพบกันครั้งหน้า พวกเราจะคารวะแบบใด? ประสานมือคารวะนางพอหรือไม่? คงไม่ต้องถึงขั้นคุกเข่าโขกหัวให้นางหรอกกระมัง?”
หม่าเหลียนมีสีหน้าลำบากใจ “ฮ่องเต้และพวกองค์ชายองค์หญิงเคยเสด็จไปที่บ้านของข้า แต่ตอนนั้นข้ายังเด็กเกินไป จำอะไรไม่ได้เลย”
หลี่ไหวพูดอย่างอารมณ์ดี “องค์หญิงแล้วยังไง ก็ยังเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่เป็นไร พบนางแล้วก็ทำเหมือนข้า ทุกคนต่างก็พบเจอกันในยุทธภพ เสมอภาคเท่าเทียมกัน แค่กุมมือคารวะก็พอ”
หลิวกวานพยักหน้าเห็นด้วย “แบบนี้ก็ดี ถึงอย่างไรนางก็บอกว่าตัวเองคือคนในยุทธภพ พวกเราเองก็อย่าให้ขายหน้าตัวเองเลย”
พวกเขาพบเผยเฉียนที่หน้าประตูหอพัก
คนทั้งสามพร้อมใจกันยกมือขึ้นกุมคารวะ
เผยเฉียนเลิกคิ้วแล้วกุมหมัดคารวะกลับคืน
เข้ามาในหอพัก
เผยเฉียนก็รีบเล่าเรื่องความขัดแย้งครั้งหนึ่งในยุทธภพให้คนทั้งสามฟังอย่างสมจริงสมจัง
โจรดักปล้นกลางทางที่ไม่รู้จักกลัวตายกลุ่มหนึ่งกรูกันออกมาจากพงหญ้าสองข้างทาง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายสิบคนถือมีด ทวน กระบอง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธรูปแบบใดก็ล้วนมีครบหมด
คนที่เป็นผู้นำถือขวานเซวียนฮวา (ขวานชนิดหนึ่งที่ด้ามยาวคล้ายทวน ใบมีดของขวานกว้างใหญ่) ชูแขนหันคมขวานเข้าหาอาจารย์ของข้า ตวาดกร้าวเสียงดังปานประหนึ่งฟ้าผ่า ‘ทางเส้นนี้ข้าเป็นคนเปิด หากคิดจะผ่านทางจงทิ้งสมบัติซื้อชีวิตเอาไว้!’ หากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น พวกเจ้าจะกลัวหรือไม่?!
หม่าเหลียนพยักหน้ารับ
หลิวกวานหัวเราะหึหึ “ถึงอย่างไรก็มีอาจารย์ของเจ้าให้การปกป้อง ก็แค่โจรภูเขาเท่านั้น จะต้องกลัวอะไร”
เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก ตวัดตามองค้อนหลิวกวาน “อาจารย์ของข้าเลยถามกลับว่า ถ้าไม่ควักเงินจ่ายแล้วจะเป็นยังไง? พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นอาจารย์ของข้ามีมาดแห่งจอมยุทธ์มากแค่ไหน ลมภูเขาพัดโชย ต่อให้อาจารย์ของข้าไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ก็มีท่วงท่าแห่งปรมาจารย์ที่ ‘ตัดหัวแม่ทัพของกองทัพนับหมื่นได้เหมือนหยิบของในกระเป๋าตัวเอง’ ทำเหมือนพวกโจรที่มากันเป็นขบวนเป็นเพียงแค่…ไก่ที่ทำจากดิน หมาที่ทำจากกระเบื้อง ไม่อาจต้านทานการโจมตี!”
ในใจเผยเฉียนอดรู้สึกเลื่อมใสตัวเองไม่ได้ นิยายที่บรรยายถึงเรื่องราวในสนามรบและยุทธภพหลายเล่มนั้น อ่านแล้วไม่เสียเปล่าจริงๆ ตอนนี้ก็ได้เวลาเอามาใช้แล้ว
หลิวกวานร้อนใจจนมิอาจอดทนได้ไหว “ความร้ายกาจของอาจารย์เจ้า พวกเราได้ยินมาเยอะแล้ว วิชาหมัดเป็นเอก วิชากระบี่ไร้ศัตรูทัดทาน เป็นทั้งเซียนกระบี่ แล้วยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธ์ด้วย ข้ารู้หมดแล้ว ข้าแค่อยากรู้ว่าหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อ? เกิดศึกใหญ่นองเลือดเลยหรือไม่?”
เผยเฉียนถลึงตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าคิดว่ายุทธภพมีเพียงแค่การเข่นฆ่าของคนหยาบกระด้างเท่านั้นหรือ? ชาวยุทธ ไม่ว่าจะเป็นวีรบุรุษชายชาตรีหรือวิญญูชนบนขื่อคาน (เป็นคำเปรียบเปรยถึงโจรขโมย) ไม่ว่าตบะจะสูงหรือต่ำก็ล้วนเป็นคนที่มีชีวิตมีลมหายใจ! อีกทั้งยังไม่มีใครที่เป็นคนโง่!”
หลิวกวานถูกสั่งสอนก็เงียบกริบ ไม่โต้เถียงอย่างที่หาได้ยาก
เผยเฉียนกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินไปอีกฝั่งหนึ่ง “โจรภูเขาที่เป็นหัวหน้าใหญ่ผู้นั้นพลันเดือดดาลอย่างหนัก ยกขวานยักษ์หนักเจ็ดสิบแปดสิบจินขึ้นมา ถามอาจารย์ข้าด้วยความอับอายจนพานเป็นความโกรธ ‘ไอ้หนู เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?! ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?’”
เผยเฉียนวิ่งเหยาะๆ ออกไปสามสี่ก้าวแล้วหันตัวกลับมาพูด “อาจารย์ข้าพูดง่ายๆ แค่คำเดียว อยาก ทันใดนั้นสถานการณ์ก็พลันแปรเปลี่ยน กลุ่มโจรกู่ร้องอย่างฮึกเหิม พลังอำนาจเปี่ยมล้น”
หลิวกวานกับหม่าเหลียนฟังอย่างตั้งใจ
หลี่ไหวแทะเมล็ดแตง
เขาเคยเห็นโลกกว้างใบนี้พร้อมกับเฉินผิงอันมาก่อน ขนาดผีสวมชุดเจ้าสาวยังรับมือได้ แค่โจรภูเขาตัวเล็กๆ กลุ่มเดียว เขาหลี่ไหวไม่เห็นอยู่ในสายตา
เผยเฉียนวิ่งไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง แสร้งทำสีหน้าดุดันแล้วหันขวับกลับมา “คนผู้นั้นตะคอกเสียงข่มขวัญ ไอ้ตัวดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร?!”
เผยเฉียนวิ่งย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง “อาจารย์ของข้าตอบไปอีกคำ รู้”
จากนั้นเผยเฉียนก็ใช้นิ้วแทนพู่กัน เขียนอักษรคำว่าตายกลางอากาศ หันหน้ามาพูดกับคนทั้งสาม “ตอนนั้นข้าก็ทำท่าแบบนี้ เป็นอย่างไร?”
สีหน้าของหม่าเหลียนอึ้งตะลึง
หลิวกวานปรบมือร้องว่าดี
เผยเฉียนเดินมาหยุดข้างโต๊ะ ก่อนหน้านี้หม่าเหลียนเตรียมชาไว้ให้แล้ว นางจึงยกขึ้นดื่มหนึ่งอึกให้ลำคอโล่ง แล้วจึงเล่าต่อว่า “โจรกลุ่มนั้นโมโหจนกัดฟันดังกรอดๆ ตีอกกระทืบเท้าราวกับเสียงลั่นกลองในสนามรบ คนที่เป็นผู้นำแหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำรามกึกก้อง ดวงตาสองข้างถลึงปูดโปนใหญ่ยิ่งกว่าระฆังทองสัมฤทธิ์ ครั้นจึงออกคำสั่งแก่เหล่าลูกสมุนว่า ‘พี่น้องทั้งหลาย เล่นมันแม่งเลย ฟันไอ้คนที่ชอบแกล้งโง่ผู้นี้ให้ตายไปซะ! โดยเฉพาะแม่นางน้อยที่ตรงเอวห้อยกระบี่และดาบสลับกันผู้นั้น อย่าเห็นว่านางอายุยังน้อย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนมีประสบการณ์ในยุทธภพ ตบะสูงส่งเกินกว่าจะคาดเดา มิอาจดูแคลน…’”
เผยเฉียนพลันหยุดการ ‘เล่านิทาน’ ของตัวเองลง
ที่แท้บนศีรษะก็มีมือใหญ่ที่อบอุ่นข้างหนึ่งกดลงมา
เผยเฉียนหันหน้าไป ยิ้มอย่างขลาดๆ “อาจารย์ ท่านมาแล้วหรือ ข้ากับพวกหลี่ไหวกำลัง…”
เดิมทีเผยเฉียนคิดอยากจะยอมรับไปตามตรงว่าตัวเองพูดจาเหลวไหล
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยิ้มพูดตัดบทขึ้นมาก่อน “พอแล้ว พวกหลี่ไหวยังเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษา เจ้าอย่าเล่าเรื่องในยุทธภพให้พวกเขาฟังมากนักเลย วันหน้าหากเป็นไปได้ พวกเจ้ากลายเป็นเพื่อนกันแล้ว ตอนที่หลี่ไหว หลิวกวานและหม่าเหลียนสะพายหีบหนังสือออกทัศนศึกษา เจ้าค่อยจับกลุ่มร่วมเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้พวกเขาสามคนฟังอย่างละเอียดอีกที”
เผยเฉียนอืมรับเสียงดังด้วยความดีใจ
เฉินผิงอันบอกให้หลี่ไหวกินข้าวกับเพื่อนไปก่อนแล้วค่อยไปหาเขาที่หอพักแขก ส่วนเขาพาเผยเฉียนไปหาหลี่เป่าผิง
ระหว่างทาง เฉินผิงอันเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “หากในอนาคตมีโอกาสไปท่องเที่ยวพร้อมกับพวกหลี่ไหวสามคนจริงๆ จงจำไว้เรื่องหนึ่งว่า เมื่อถึงเวลานั้น ตัวเองมีตบะวรยุทธมากน้อยเท่าไหร่ เคยเดินผ่านยุทธภพที่น้ำตื้นลึกมากแค่ไหน จะต้องบอกให้พวกเขารู้อย่างชัดเจน ไม่อาจเหมาทุกเรื่องมาทำเองคนเดียวเพียงแค่เพราะอยากคุยโวโอ้อวด ทำให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่ายุทธภพก็มีดีแค่นี้เอง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะเกิดเรื่องได้ง่าย จำได้แล้วหรือยัง?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “จำได้แล้ว!”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องเก็บเอาไปใส่ใจด้วย”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง “เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ไม่ให้ตกหล่นเลยสักคำเดียว!”
เฉินผิงอันเดินอยู่บนทางเล็กที่เงียบสงบของสำนักศึกษา รู้สึกสะท้อนใจจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ทำไมต้องท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่ใช่แค่เพื่อตามหาทัศนียภาพที่งดงาม ฝึกหมัดก็ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น ยังต้องพาตัวเองไปเจอกับคนในยุทธภพที่ดีกว่าตัวเองหลายๆ คนด้วย”
“อย่างเช่นอาจารย์ที่ได้เจอกับจางซานเฟิงซึ่งกำลังหิวโหยบนเรือข้ามฟากภูเขาต่าเจี้ยว พบเจอสวีหย่วนเสียที่บุกเข้าไปในเรือนผีหวังผดุงคุณธรรม เจอกับอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยที่ปรากฏตัวในวัดร้างเก่าแก่ คู่สามีภรรยาภูตผีที่มองดูเหมือนน่ากลัว แต่กลับรักใคร่ปรองดองกันยิ่งนัก ได้เจอกับฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า เจอกับหลิวโยวโจวแห่งจวนหยวนโหรวภูเขาห้อยหัว…อาจารย์ก็ยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ รู้สึกเคารพเลื่อมใส รู้สึกอิจฉา หรือบางครั้งยังถึงขั้นรู้สึกริษยา”
เผยเฉียนตกตะลึง “อาจารย์ก็รู้สึกแบบนั้นด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ? อาจารย์เองก็มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา แล้วก็มีนิสัยแย่ๆ มากมาย คนที่ไม่ชอบและไม่เห็นดีในตัวอาจารย์ แต่ไรไหนมาก็มีไม่น้อย เพียงแต่ว่าเมื่อเจอกับคนที่ดีกว่าตน จะมองดูพวกเขาเฉยๆ ไม่ได้ จะต้องมองพวกเขาเหมือนคนที่แหงนหน้ามองภูเขาสูง แม้จะไม่อาจปีนป่ายไปถึง แต่จิตใจก็ใฝ่หา…”
ฝีเท้าของเผยเฉียนช้าลงทุกที
เฉินผิงอันเดินออกไปได้หลายสิบก้าว พอหันหน้ากลับมาถึงเห็นว่าเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ จึงถามยิ้มๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนคลี่ยิ้ม “พี่หญิงเป่าผิงบอกว่าอาจารย์อาน้อยของนางไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า แต่ข้ารู้สึกว่าปีนั้นอาจารย์หล่นลงมาจากฟ้านี่นา”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “แน่จริงก็ไปพูดแบบนี้กับพี่หญิงเป่าผิงของเจ้าดูสิ?”
เผยเฉียนวิ่งเร็วๆ ไปหาเฉินผิงอัน “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย!”
ก่อนหน้านี้ตอนที่มองแผ่นหลังของอาจารย์
เผยเฉียนพลันรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ท่ามกลางระยะทางอันยาวไกลที่ต้องเดินเท้าผ่านป่าเขาลำนำไพร
เคยมีวันที่ฝนตกกระหน่ำ พวกเขาเจอหินกองใหญ่ที่กลิ้งมากองอยู่บนถนนทางหลวงในภูเขาที่เป็นดินโคลน
เผยเฉียนรู้สึกว่าแค่เดินอ้อมไปก็พอแล้ว
ทว่าแม้ฝนจะตก อาจารย์ก็ยังหยุดเดินแล้วย้ายหินก้อนแล้วก้อนเล่าออกไปให้พ้นจากเส้นทาง
ท่ามกลางม่านฝนที่มืดสนิท อาจารย์ที่สวมชุดสีขาวก้มหน้าก้มตาย้ายหินง่วน
พวกเขายังเคยหยุดอยู่ข้างสะพานไม้ที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมมานานซึ่งรายล้อมด้วยทัศนียภาพอันงดงาม อาจารย์ก็จะยืนมองสะพานไม้อย่างโง่งมนานเป็นครึ่งๆ วัน จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในภูเขาลึก ตัดต้นไม้ใหญ่ แบกกลับมาแล้วผ่าไม้ออกเป็นแผ่นๆ โยนมีดผ่าฟืนทิ้งเปลี่ยนมาใช้ค้อนตอกดังต๊อกๆๆ ซ่อมแซมสะพานไม้ให้ดีขึ้น
—–