กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 414.1 หล่อหลอม
คนหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างทะเลสาบ มองออกว่าสกุลเกาเกอหยางทุ่มเทแรงกายแรงใจและทรัพย์สินไปเพื่อสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่น้อย และสถานที่ตั้งแห่งเดิมของสำนักศึกษาซานหยาในต้าหลีก็กำลังจะกลายเป็นที่ตั้งศาลบุ๋นแห่งใหม่ประจำเมืองหลวงต้าหลี
คนหนุ่มหันหน้ากลับมาก็เห็นเงาร่างที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้า แปลกหน้าก็เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ส่วนสูงหรือการแต่งกายของคนผู้นั้นล้วนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก และที่ยังรู้สึกคุ้นเคยก็เพราะดวงตาคู่นั้นของเขา ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ นับตั้งแต่ที่คนทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน คนหนึ่งคือบุตรนอกสมรสของขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ตกเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของคนทั้งเมือง อีกคนหนึ่งคือเด็กบ้านนอกโดดเดี่ยวยากจน ต่างคนต่างกลายมาเป็นซ่งมู่องค์ชายของต้าหลี ส่วนอีกคนหนึ่งก็กลายมาเป็นบัณฑิตที่เดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำนับพันนับหมื่นลี้ของสองทวีป? กลายมาเป็นจอมยุทธพเนจร? กลายมาเป็นมือกระบี่?
พบหน้ากันเฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นทันที “ได้ยินเจ้าขุนเขาเหมาบอกว่าพวกเจ้ามาที่สำนักศึกษา ข้าก็เลยมาพบเจ้า”
ซ่งจี๋ซินมองประเมินเฉินผิงอันตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งรอบ ว่ากันว่าเจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนที่สะพายไว้ด้านหลังคือของขวัญที่ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าชดใช้ให้ ส่วนน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ห้อยอยู่ตรงเอวก็คือของรางวัลที่ได้มาจากการซื้อภูเขาใหญ่หลายลูกในปีนั้น คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เว่ยป้อทวยเทพขุนเขาเหนือตั้งใจเลือกสรรมาให้เฉินผิงอันโดยเฉพาะ ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่า “ตอนที่พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน มักจะรู้สึกว่าพวกคนที่อยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่มีเงินมีอำนาจ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้มาย้อนนึกดู ยังคงเป็นคนจากตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาอย่างพวกเราต่างหากที่ได้ดิบได้ดีมากกว่า ตรอกซิ่งฮวาอาศัยหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่เป็นผู้ประคับประคอง ย้อนมามองตรอกหนีผิงของพวกเรา เจ้า ข้า จื้อกุย และยังมีเจ้าเด็กขี้มูกยืด ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกสิบกว่าปี คนนอกจะมองตรอกหนีผิงที่ตอนนั้นแม้แต่หมาก็ยังไม่อยากมาขี้ของพวกเราเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์หรือไม่?”
เฉินผิงอันกำลังจะขยับปากพูด
ซ่งจี๋ซินกลับโบกมือ “จะดีจะชั่วก็ฟังข้าพูดให้จบก่อน ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยไม่รู้จักพูดของเจ้าเฉินผิงอัน ข้ากลัวว่าการพบกันในต่างถิ่นที่หาได้ยากระหว่างพวกเราจะต้องแยกย้ายกันไปด้วยความไม่สบอารมณ์”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็เดินพลางคุยกันไปด้วย”
คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปบนเส้นทางเล็กๆ ที่เงียบสงบริมทะเลสาบซึ่งสองข้างทางคือต้นหลิ่วและต้นหยาง
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “เจ้าออกจากบ้านมาคราวนี้ เดินทางมาไกลมากจริงๆ แล้วก็นานมากด้วย เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลานี้เมืองเล็กมีสภาพเป็นอย่างไรกระมัง? นับตั้งแต่ที่ชาวบ้านพอจะรู้ประวัติความเป็นมาของถ้ำสวรรค์หลีจูคร่าวๆ อีกทั้งยังเปิดประตูรับคนนอก ไม่ว่าจะเป็นคนมีเงินที่อยู่อาศัยบนถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่ หรือพื้นที่ยากจนเต็มไปด้วยขี้ไก่ขี้หมาอย่างตรอกฉีหลง ตรอกซิ่งฮวา แต่ละบ้านล้วนพากันคว่ำกล่องเทตู้ ค้นหาสมบัติของบรรพบุรุษแล้วก็วัตถุทั้งหมดที่พอจะมีอายุออกมาอย่างระมัดระวัง ชามกระเบื้องที่เอาไว้กินข้าว รางหินที่เอาไว้ใส่อาหารเลี้ยงหมู อ่างใบใหญ่ที่ไว้ดองผัก กระจกทองแดงที่ปลดลงมาจากผนัง ล้วนให้ความสำคัญทั้งหมด แต่นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เพราะยังมีคนมากมายเริ่มขึ้นเขาลงห้วย โดยเฉพาะลำคลองหลงซวีที่มีคนแออัดอยู่เกือบครึ่งปีก็เพื่อไปเก็บก้อนหิน แม้แต่สุสานเทพเซียนและภูเขาเครื่องกระเบื้องก็ไม่เว้น ล้วนเต็มไปด้วยคนที่มาตามหาสมบัติ จากนั้นก็ไปขอให้คนที่ร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยวช่วยดูให้ แล้วก็มีคนไม่น้อยที่กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนจริงๆ เงินทองที่เมื่อก่อนเป็นของมีค่าจะนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้หากคิดจะแข่งกันเรื่องทรัพย์สินก็ต้องนับกันแล้วว่าในกระเป๋ามีเงินเทพเซียนอยู่มากน้อยเท่าไหร่”
เฉินผิงอันถาม “ไร่นาล้วนรกร้างหมดแล้วกระมัง? เตาเผามังกรที่เผาเครื่องปั้นก็คงหยุดกิจการกันไปไม่น้อย?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ ใครจะยังสนใจรายได้น้อยนิดพวกนี้อีก”
เฉินผิงอันถอนหายใจ นี่ก็คือความรู้สึกของคนทั่วไป หากเปลี่ยนมาเป็นเขาเฉินผิงอันที่ไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ และตอนนี้ยังอยู่ในตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจู เป็นช่างปั้นธรรมดาคนหนึ่ง ยามขึ้นเขาลงห้วยก็มีแต่จะขยันหมั่นเพียรมากกว่าใคร สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คงจะเป็นข้อที่ว่าเขาไม่มีทางลืมสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ หากเป็นเจ้าของไร่นาก็คงตัดใจทิ้งไม่ใยดีพวกมันไม่ลง หากเป็นช่างปั้นจริงๆ ก็คงไม่มีทางทิ้งฝีมือของตัวเอง
ปีนั้นเพราะได้ลู่เฉินเอ่ยเตือน เฉินผิงอันฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเอามาแลกเป็นเงิน คืนนั้นจึงไปที่ลำคลองหลงซวี แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ ค้นหาหินดีงูที่ปราณวิญญาณยังไม่สลายหายไปสิ้น นั่นเรียกว่าวิ่งวุ่นหัวหมุนและลืมกินลืมนอนอย่างแท้จริง
เพียงแต่ว่าครั้งนั้นเฉินผิงอันเก็บๆ พลิกๆ อยู่นาน แทบอยากจะค้นหาให้ทั่วลำคลองหลงซวี แน่นอนว่าได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล แต่ในความเป็นจริงแล้วหม่าขู่เสวียนลงน้ำแค่ครั้งเดียวก็เจอหินดีงูที่มีค่ามากที่สุด ตอนที่หยิบออกมาจากน้ำ หินก้อนนั้นก็ปานประหนึ่งดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นบนนภา
ซ่งจี๋ซินหยุดเดิน “เจ้าเกลียดข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ถึงขั้นเกลียด ก็แค่อยากจะอยู่ห่างๆ เจ้าเท่านั้น”
ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างสงสัย “เหนียงเนียงท่านนั้นถึงขั้นส่งคนไปสังหารเจ้า เจ้าก็ยังไม่เกลียดข้าหรือ?”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเป็นคนโน้มน้าวให้นางส่งคนมาสังหารข้าหรือ?”
ซ่งจี๋ซินเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก คำว่าความผูกพันแม่ลูกนั้น หลังจากที่ข้าเปลี่ยนชื่อบนเอกสารของฝ่ายพลเรือนในพระองค์เป็นซ่งมู่ ความผูกพันที่ว่านี้ย่อมมีอยู่ แต่ความใกล้ชิดห่างเหินนั้นมีความต่าง ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งจะรู้ว่าเรื่องราวในบ้านของกษัตริย์นั้น แม้จะค่อนข้างใหญ่ แต่ในด้านคุณลักษณะกลับไม่ได้แตกต่างจากของพวกเพื่อนบ้านเรือนเคียงในอดีตสักเท่าไหร่ ครอบครัวหนึ่งขอแค่มีบุตรชายบุตรสาวมากหน่อย พ่อแม่ก็มักจะต้องลำเอียงเสมอ”
เฉินผิงอันกล่าว “แค่นี้ก็หมดเรื่องแล้ว วันหน้าหากมีโอกาส ข้าค่อยไปหานาง ไม่จำเป็นต้องเกลียดแค้นเจ้าซ่งจี๋ซิน”
ซ่งจี๋ซินหักกิ่งหลิ่วมาถักทอ เฉินผิงอันพูดขึ้นเบาๆ ว่า “นางเองก็เหมือนกับราชครูชุยฉาน คือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่มีอำนาจมากที่สุดของต้าหลี แต่ข้าไม่รู้สึกว่านี่คือทั้งหมดของต้าหลี ต้าหลีมีสำนักศึกษาซานหยาในอดีต มีความเจริญรุ่งเรืองคึกคักของเมืองหงจู๋ มีกองทหารลาดตระเวนประจำชายแดนที่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ข้าไปหลบหิมะและลมหนาวที่ปล่องส่งสัญญาณ มีสำมะโนครัวที่แค่ข้าส่งยื่นตอนอยู่แคว้นชิงหลวนก็ทำให้เถ้าแก่ยิ้มแย้มต้อนรับ หรือถึงขั้นยังมีสายลับนอกสถานการณ์ของศาลาคลื่นมรกตที่นางสร้างขึ้นเองกับมือซึ่งเต็มใจเสี่ยงอันตรายนำข่าวมาส่งให้ข้าเพื่อต้าหลี ข้ารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ก็คือราชวงศ์ต้าหลี”
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับซ่งจี๋ซินต่อว่า “สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนรับรู้ วันหน้าหากยังต้องตัดสินใจปล่อยหมัดสังหารนาง ข้าสามารถทำอย่างว่องไว บุญคุณความแค้นของคนสองคน ปมที่ผูกติดระหว่างคนสองคน พยายามอย่าให้เกี่ยวพันไปถึงชาวบ้านคนอื่นๆ ของต้าหลีจะดีกว่า”
ซ่งจี๋ซินยิ้ม “นางไม่คิดแบบนี้แน่”
เฉินผิงอันเองก็คลี่ยิ้ม ถามกลับว่า “ข้ามีเหตุผลแล้ว แม้แต่กฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อก็ไม่สามารถหาข้อตำหนิของข้าได้ ข้ายังต้องสนด้วยหรือว่านางจะคิดอย่างไร?”
ซ่งจี๋ซินมองประเมินเฉินผิงอันอีกครั้ง “เจ้าอ่านตำราของสำนักนิติธรรมบางเล่มมาใช่ไหม?”
เฉินผิงอันยังคงถามกลับ “หนังสือที่อาจารย์ฉีทิ้งไว้ให้เจ้า มีบางส่วนที่เจ้าทิ้งไว้ในบ้านที่เมืองเล็ก บางส่วนก็นำไปด้วย หนังสือที่นำไปด้วย เจ้าได้อ่านหรือไม่?”
ซ่งจี๋ซินถักกำไลกิ่งหลิ่วเล็กๆ เอามาคล้องไว้ที่ข้อมือแล้วแกว่งเบาๆ “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”
เฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะคุยเรื่องพวกนี้ต่อ จึงหันมาถามคำถามที่ไม่เกี่ยวกับบุญคุณความแค้นส่วนตัวส่วนรวมแทน “เจ้ามาทำอะไรที่ต้าสุย?”
ซ่งจี๋ซินสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “ปีนั้นเกาเซวียนวิ่งไปหาโชควาสนาในถิ่นของพวกเรา เคยมีคนพูดว่าข้าสู้เขาไม่ได้ ข้าก็เลยจะมาเที่ยวเล่นที่นี่ดูสักหน่อย”
เฉินผิงอันหัวเราะ “จะเหมือนกันได้ยังไง? เจ้ามาต้าสุยก็เพื่อโอ้อวดบารมี อย่างเกาเซวียนต่างหากที่ถึงจะเรียกว่าเขาไปในถิ่นของแคว้นศัตรูอย่างแท้จริง อีกอย่างตอนนี้เกาเซวียนก็ไปเป็นตัวประกันอยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นแล้ว เจ้าก็จะเลียนแบบเขาด้วยหรือไง?”
ซ่งจี๋ซินหลุดหัวเราะพรืด “เฉินผิงอัน ตอนนี้เจ้าเก่งกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย รู้จักพูดจาประหลาดๆ แบบนี้แล้ว หรือว่าเจ้าเรียนรู้มาจากข้า?”
เฉินผิงอันกล่าว “เอาทองแปะหน้าตัวเองให้น้อยๆ หน่อยเถอะ”
ซ่งจี๋ซินทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วโยนไปในทะเลสาบ “มีเรื่องหนึ่งจะขอร้องเจ้า ได้ไหม?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่รับปาก”
ซ่งจี๋ซินเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “ทำไมล่ะ? เฉินผิงอัน เจ้าลองถามใจตัวเองดูเถอะ นอกจากครั้งที่ข้าหลอกให้เจ้าไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรแล้ว เรื่องอื่นๆ เคยมีครั้งไหนที่ข้าทำผิดต่อเจ้าไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้า แล้วข้าต้องชอบขี้หน้าเจ้าด้วยหรือ? ไยต้องแสร้งทำเป็นเพื่อนกันเล่า?”
ซ่งจี๋ซินนึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขากุมท้องหัวเราะก๊าก “เฉินผิงอันเอ๋ยเฉินผิงอัน เจ้าในเวลานี้เมื่อเทียบกับตอไม้นิสัยคร่ำครึในสมัยก่อน มองแล้วสบายตากว่ากันเยอะเลย หากเจ้ามีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่แรก ปีนั้นข้าย่อมต้องยอมเป็นเพื่อนเจ้าด้วยความจริงใจแน่นอน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ซ่งจี๋ซิน อันที่จริงเจ้าเองก็รู้ดีว่าพวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันไม่ได้ แค่ไม่กลายมาเป็นศัตรูกัน เจ้าและข้าก็ควรจะพอใจได้แล้ว”
ซ่งจี๋ซินปลดกำไลกิ่งหลิ่วออกมา ขว้างไปยังทะเลสาบ จากนั้นก็หยิบก้อนหินขึ้นมา พยายามจะโยนมันลงตรงกลางกำไลกิ่งหลิ่ว “ตอนนี้สภาพการณ์ของศาลเทพภูเขาบนภูเขาลั่วพั่วไม่ใคร่จะดี เว่ยป้อค่อนข้างจะ…อคติต่อองค์เทพภูเขาที่อยู่บนภูเขาของเจ้ามาก ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากจะขอให้เจ้าช่วยพูดกับเว่ยป้อสักหน่อย ไม่คาดหวังให้เว่ยป้อช่วยยกระดับให้กับศาลเทพภูเขาแห่งนั้น ขอแค่ว่าวันใดวันหนึ่งจะไม่เปลี่ยนเทวรูปที่อยู่ในศาลเทพภูเขาอย่างกะทันหันก็พอ”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด แต่ไม่ได้พูด
เทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ก็คือซ่งอวี้จางอดีตผู้ตรวจการงานเตาเผา
ซ่งจี๋ซินมองกำไลกิ่งหลิ่วที่เริ่มลอยห่างไปไกล พูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงข้ารู้ดีว่าเจ้าอยากพูดอะไร การที่เขาถูกรื้อสะพานหลังข้ามแม่นำ ถูกหวังอี้ฝู่แม่ทัพสกุลหลูผู้ปราชัยบั่นหัว นอกจากเพื่อปกปิดเรื่องวงในน่าอับอายของเชื้อพระวงศ์ที่เกี่ยวกับสะพานแบบคานแห่งนั้นแล้ว อันที่จริงยังมีใจเห็นแก่ตัวของเสด็จพ่อด้วย เพราะคงไม่มีใครยินดีให้ในใจลูกชายแท้ๆ ของตนมี ‘บิดาที่ได้มาเปล่า’ หรอกกระมัง? หวังอี้ฝู่มาพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าก่อนเขาจะตายได้ขอร้องให้หวังอี้ฝู่นำประโยคหนึ่งมาบอกแก่ข้า เขาบอกว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ อยากได้กลอนคู่ที่ข้าเขียนให้เขามาโดยตลอด เจ้าว่าขุนนางที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเช่นนี้ เขาไม่ตาย แล้วใครจะตาย?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “เดิมทีข้าก็ต้องกลับไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนอยู่แล้ว เรื่องนี้ข้าจะพูดกับเว่ยป้อเอง แต่ข้าไม่มีทางขอร้องให้เว่ยป้อทำอะไร แล้วก็ไม่มีความสามารถที่จะไปชี้ไม้ชี้มือสั่งองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือด้วย ข้อนี้ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้เลย และข้าก็ยังบอกเจ้าได้อีกว่า ในอนาคตมีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่ซ่งอวี้จางจะยืนอยู่ข้างเดียวกับแม่ของเจ้า มีฐานะเป็นเทพภูเขาแห่งภูเขาลั่วพั่ว แต่กลับคิดจะเล่นงานข้า ถึงเวลานั้นขอแค่ข้าทำได้ย่อมต้องทุบร่างทองของซ่งอวี้จางให้แหลกจนไม่มีโอกาสจะนำกลับมาประกอบเป็นเทวรูปใหม่อีกครั้ง และจะลงมืออย่างไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย”
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าบัญชีสองครั้งนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณเจ้าแล้ว?”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “ข้าก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้เจ้าซ่งจี๋ซินจะขอบคุณข้า”
ซ่งจี๋ซินร้องโอ้โหหนึ่งทีแล้วจุ๊ปากรัวๆ ลุกขึ้นยืนตบมือ “เฉินผิงอัน คำพูดและการกระทำของเจ้าในเวลานี้เหมือนผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วจริงๆ มีจิตใจเหมือนกับเทพเซียนอย่างมาก”
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของอีกฝ่าย
—–