กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 414.3 หล่อหลอม
เฉินผิงอันเปิดปากถาม “อาจารย์ที่สอนในโรงเรียนก็คือวิญญูชนและนักปราชญ์ที่คัดเลือกมาจากสำนักศึกษามาอย่างตั้งใจงั้นหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นก็ไร้ความหมายแล้ว เพราะต่อให้ประสบความสำเร็จ อย่างมากสุดประเพณีนิยมของหนึ่งแคว้นก็จะเปลี่ยนเป็นของหนึ่งทวีป ทว่ากลับจะทำให้อีกแปดทวีปที่เหลือหิวตาย ใช้โชคชะตาบุ๋นของแปดทวีปมาประคับประคองความสงบสุขของหนึ่งทวีป มีความหมายที่ใด? ดังนั้นภายใต้การจับตามองของแต่ละฝ่าย สกุลหลิวแห่งธวัลทวีปจึงเตรียมการลับๆ มาล่วงหน้าเกือบสี่สิบปี ไม่ว่าจะด้านใดก็ล้วนต้องให้ได้รับการยอมรับจากตัวแทนของเมธีร้อยสำนัก ขอแค่มีใครคนหนึ่งปฏิเสธก็จะนำมาปฏิบัติจริงไม่ได้ นี่ก็คือครั้งเดียวที่หลี่เซิ่งยอมเผยโฉมเพื่อเสนอข้อเสนอเพียงหนึ่งเดียว”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดไม่สมดังใจปรารถนา?”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางเกิดศึกตรีจตุตามมาในภายหลัง”
เฉินผิงอันจมอยู่ในภวังค์ความคิด ใคร่ครวญว่าเหตุใดถึงได้ล้มเหลว
ความคิดของเขายุ่งเหยิงพัวพันกันเป็นปม
เหมาเสี่ยวตงพูดเบาๆ “นับแต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไปจนถึงหลี่เซิ่ง ท่านหนึ่งคือผู้บรรยายคุณธรรมเมตตาธรรม อีกท่านหนึ่งคือผู้สร้างกรอบของกฎเกณฑ์ เพราะอะไร?”
เหมาเสี่ยวตงถามเองตอบเอง “ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ ข้าเองก็เคยขอความรู้จากคนผู้นั้นมาก่อนว่า ทำไมหลังจากที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งได้สร้างระบบดั้งเดิมและได้รับการยกย่องให้เป็นระบบเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลแล้ว ถึงยังยอมรับเมธีร้อยสำนักไว้ได้อีก? เหตุใดถึงไม่เหลือแค่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อไว้อบรมสั่งสอนปวงประชาอย่างเดียว? คำตอบของคนผู้นั้นทำให้คนหัวทึบเหมือนตอไม้อย่างข้าพลันกระจ่างแจ้ง ถึงได้รู้ว่าที่แท้ฟ้าดินก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ คนผู้นั้นบอกว่าเพราะมรรคาจารย์เต๋าได้เห็นหนึ่งนั้น (หนึ่งนั้นในที่นี้มาจากภาษาจีนว่า 那个一 ‘น่าเก่ออี’ ซึ่งอีหรือหนึ่งสามารถตีความได้หลากหลาย ในเนื้อเรื่องยังไม่เฉลยว่าหนึ่งที่ว่านี้คืออะไร) จลาจลความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตอนนั้นถึงได้ย้ายไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ และใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็ไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ปีศาจจนสิ้น ศาสดาพุทธเองก็ทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคที่เป็นการทำนายบอกว่าสักวันหนึ่งยุคแห่งความเสื่อมจะมาถึง ‘กาลต่อจากนี้ ผู้บวชเป็นพระ แม้จะโกนผมโกนเครา สวมห่มจีวร แต่พวกเขากลับทำลายกฎเกณฑ์ ไม่ดำรงอยู่ในหลักธรรม’”
เหมาเสี่ยวตงถามกลับ “เจ้าคิดว่าทั้งสามท่านนี้ต้องการอะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าไม่รู้
เหมาเสี่ยวตงจึงกล่าวว่า “คนผู้นั้นบอกข้าว่า เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน แต่บางทีอาจเป็นเพราะหวังให้สรรพชีวิตบนโลกใบนี้มีอิสระเสรีที่ใกล้เคียงกับความหมายที่แท้จริง ความอิสระเสรีที่เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มเติมก็สามารถบรรลุถึงได้”
เหมาเสี่ยวตงถาม “เข้าใจหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “ไม่เข้าใจ”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้าไม่จำเป็นต้องซักไซ้หาคำตอบของคำถามประเภทนี้ในเวลานี้”
เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นห่างจากพื้นชุ่นกว่า จากนั้นก็ยกขึ้นสูงอีกสองครั้ง “ความรู้มากมายในทุกวันนี้ การรู้รากฐานและความหมายที่แท้จริงของพวกมันจำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เดินขึ้นสูงไปทีละก้าว ถ้าเช่นนั้นคนผู้หนึ่งไม่ว่าจะยืนอยู่สูงแค่ไหน จิตใจก็ล้วนมั่นคงได้เสมอ ไม่ต้องไปสนใจพวกวิชานอกรีตที่สะเปะสะปะยุ่งเหยิงเหล่านั้น อย่างน้อยบัณฑิตอย่างพวกเราก็ควรจะเป็นเช่นนี้”
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องที่ตนพูดคุยกับเหยาจิ้นจือบนยอดเขาของราชวงศ์ต้าเฉวียน เกี่ยวกับวงกลมที่จากในไปนอก จากเล็กไปใหญ่ก็พลันคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ “เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”
เหมาเสี่ยวตงกลับมานั่งที่เดิม ยิ้มถามว่า “เข้าใจจริงรึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจจริงๆ”
เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี มีครบทั้งสามอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มหลอมวัตถุได้แล้ว”
เฉินผิงอันหลับตาลงก่อน ครั้นจึงสูดลมหายใจเบาๆ หนึ่งที
หัวใจบุ๋นสีทองดวงหนึ่งลอยนิ่งๆ อยู่เบื้องหน้าเขา
เฉินผิงอันยังคงไม่รีบร้อนใช้ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์ไป ‘เปิดเตาจุดไฟ’ แต่เขากลับหวนนึกถึงเรื่องหนึ่งตอนที่ตนยังอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงสมัยยังเป็นเด็กหนุ่ม
วันที่สองเดือนสอง มังกรเงยหัว ส่องไฟตามเสาคาน กิ่งไม้ท้อตีผนัง งูและแมลงไร้ที่หลบซ่อนในโลกมนุษย์…
นั่นต่างหากจึงจะเป็นจุดเริ่มต้นแรกสุดที่เฉินผิงอันออกท่องยุทธภพ
เวลานั้นเขายังไม่พบเจอใครหลายๆ คน
แต่พอเดินไปทีละก้าวก็เริ่มพบไปทีละคน
ฝึกวิชาหมัดไม่เหน็ดเหนื่อย เรียนหนังสือก็คุ้มค่ามาก
ที่แท้การยืนหยัดที่จะใช้เหตุผลพูดคุยกับผู้อื่นก็ใช่ว่าจะสบายใจทุกครั้งไป แต่กลับไม่เคยทำให้เสียใจภายหลัง
ที่แท้ข้าเฉินผิงอันก็มีวันนี้ได้เหมือนกัน
ที่แท้แม่นางหนิงก็สายตาดีขนาดนี้เชียวหรือ?
เหมาเสี่ยวตงดุอย่างขุ่นเคือง “สภาพจิตใจลิงโลดเกินไปแล้ว รีบหยุดเดี๋ยวนี้!”
เหมาเสี่ยวตงเกือบจะยกไม้บรรทัดฟาดออกไป พูดสั่งสอนอย่างกรุ่นโกรธว่า “ต่อให้มีแม่นางที่ชื่นชอบก็ควรจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปนึกถึง! ถึงเวลานั้นใครจะไปสนว่าเจ้าจะคิดถึงนางสักกี่ชั่วยาม จะอารมณ์ดีจนมีบุปผาผลิบานอยู่ในใจเลยหรือไม่?! ไม่รู้จักหนักจักเบาเสียเลย!”
เฉินผิงอันรีบเช็ดใบหน้าอย่างขลาดๆ เก็บรอยยิ้มลงไปแล้วเริ่มทำจิตใจให้สงบนิ่งมั่นคงอีกครั้ง
มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงโมโหอย่างมาก แต่อันที่จริงในใจกลับแอบหัวเราะ พูดกับตัวเองว่า อาจารย์ เรื่องนี้ศิษย์ทำได้ดีหรือไม่? จะขอคำชมจากอาจารย์สักคำคงไม่มากเกินไปกระมัง?
……
ขณะที่เฉินผิงอันกำลังนั่งตรงข้ามกับเหมาเสี่ยวตงอยู่บนยอดเขาภูเขาตงหัว
ในสำนักศึกษาก็มีคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่งจิ้งผู้รอบรู้ที่เชี่ยวชาญวิชาอสนีและหลินโส่วอีที่ถือเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว
เวลานี้ฟ้าดินเงียบสงัดและหยุดนิ่ง เป็นลางว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลากำลังจะเผยตัว ต่งจิ้งขมวดคิ้ว มองเห็นว่าแสงสว่างทางจิตวิญญาณของหลินโส่วอีกำลังจะหยุดตามไปด้วย เขาจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สลายฟ้าดินขนาดเล็กทิ้งไป เพียงแต่ว่าการทำเช่นนั้นค่อนข้างกินแรงผู้รอบรู้ท่านนี้อยู่มาก
ต่งจิ้งกล่าวเสียงทุ้มหนัก “อย่าวอกแวก ทำให้เหมือนการอ่านหนังสือ เมื่อพบเจอบทความอริยะปราชญ์ที่มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย จิตใจสามารถจมจ่อมไปกับมัน นั่นถือเป็นความสามารถ หากดึงออกมาได้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงฝีมือ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นได้แค่หนอนหนังสือไปชั่วชีวิต จะมีโอกาสขานรับกับความรู้ของอริยะปราชญ์ได้อย่างไร?!”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ
ต่งจิ้งพูดหัวข้อก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง “ไม่ต้องรีบร้อน พยายามบุกเบิกช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตเพิ่มอีกสองแห่ง การฝ่าทะลุขอบเขตก็จะไม่สายไป การฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเรา พรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ลัทธิขงจื๊อได้กลายเป็นระบบหลักดั้งเดิมของใต้หล้าไพศาลแล้ว การฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการฝึกฝนหาวิชาความรู้นั่นเอง หลินโส่วอี ข้าถามเจ้า เหตุใดทั้งๆ ที่คนมากมายบนโลกรู้จักหลักการเหตุผลในตำราหลายเล่ม แต่กลับยังคงเลอะเลือนมึนงง หรืออาจถึงขั้นไม่อาจหยัดยืนได้ตรง?”
หลินโส่วอีตอบเสียงทุ้ม “ไม่รู้รากฐานต้นตอของหลักการเหตุผลหรือความรู้ ก็ย่อมไม่รู้ว่าควรจะใช้หลักการเหตุผลมาอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกอย่างไร เป็นเหตุให้เมื่อได้รับคำพูดล้ำค่าที่แต่ละคำหนักดุจทองพันชั่งมาอยู่ในมือ แต่กลับเป็นเหมือนปุยฝ้ายที่ไม่เกาะเป็นกลุ่มก้อน เมื่อลมพัดมาก็พร้อมที่จะปลิวปรายไปตามสายลม ไม่อาจป้องกันความหนาว ถึงเวลาก็ได้แต่บ่นว่าหลักการเหตุผลไม่ใช่หลักการเหตุผล เหลวไหลสิ้นดี”
“เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่ผิดนั้นอยู่ที่ว่าหลักการความรู้มากมายของอริยะปราชญ์ เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่คนบนโลกใช้สองมือคว้าจับไว้ได้ แต่พวกมันจะไปพักพิงอยู่มุมหนึ่งในใจเงียบๆ”
ต่งจิ้งพยักหน้าอย่างชื่นชม “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะพูดประโยคของอริยะปราชญ์กับเจ้าแค่ประโยคเดียว พวกเรามาหาความรู้จากประโยคนี้กัน”
หลินโส่วอีนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “พร้อมฟังคำสั่งสอนของท่านอาจารย์”
ต่งจิ้งเอ่ยถาม “อริยะเคยกล่าวไว้ว่า วิญญูชนมิใช่ภาชนะสิ่งของ จะอธิบายอย่างไร? สถานศึกษาหลี่จี้อธิบายไว้อย่างไร? สกุลเฉินผู้มากความรู้อธิบายอย่างไร? สำนักศึกษาเอ๋อหูอธิบายไว้อย่างไร? แล้วพรรคถงเฉิงในอดีตของแคว้นชิงหลวนล่ะอธิบายอย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นตัวเจ้าเองจะอธิบายอย่างไร?”
หลินโส่วอีมั่นใจเต็มเปี่ยม เตรียมจะตอบคำถามที่มาเป็นชุดนี้
แต่เขากลับสังเกตเห็นว่าอาจารย์ต่งหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่มีสมาธิยิ่งกว่าเขาหลินโส่วอีเสียอีก
หลินโส่วอีลังเลเล็กน้อย เห็นว่าอาจารย์ต่งไม่มีท่าทีจะถอนสายตากลับมาจึงหันหน้าตามไป
จึงได้เห็นว่ามีศีรษะหนึ่งห้อยพาดอยู่นอกหน้าต่าง
ต่งจิ้งกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ชุยตงซาน เจ้ากำลังทำอะไร?!”
ชุยตงซานทำสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าก็แค่กลัวว่าหากหลินโส่วอีถามหลักการเหตุผลที่เจ้าต่งจิ้งตอบไม่ได้ จะเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วน ก็เลยเตรียมมาช่วยเจ้าคลี่คลายสถานการณ์ไงเล่า”
ต่งจิ้งยื่นนิ้วชี้หน้า จ้องตาอีกฝ่ายอย่างเดือดดาล “เจ้ารีบไปเดี๋ยวนี้!”
การถ่ายทอดความรู้เป็นเรื่องที่เคร่งเครียดจริงจัง แต่กลับต้องมาถูกเจ้าขี้หนู (เป็นคำด่า เปรียบเปรยถึงพวกมือไม้พายเอาเท้าราน้ำ) ที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องระบือไปทั้งสำนักศึกษาผู้นี้มาก่อกวนเสียได้
ชุยตงซานเอาสองมือเกาะทาบขอบหน้าต่างไว้ตลอดเวลา สองเท้าลอยพ้นจากพื้น กะพริบตาปริบๆ “หากข้าไม่ไป เจ้าจะลงไม้ลงมือกับข้าหรือ?”
ต่งจิ้งรีบสงบจิตใจ เตรียมจะใช้เหตุผลมาสยบอีกฝ่าย จากนั้นค่อยยกเอาบารมีอำนาจของเจ้าขุนเขาเหมามาข่มขู่คนผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะคลายสองมือออก และในที่สุดศีรษะนั้นก็ผลุบหายไปแล้ว
ต่งจิ้งแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา
ผลกลับกลายเป็นว่าชุยตงซานกระโดดผลุงขึ้นมาหนึ่งที เอาแขนวางไว้บนขอบหน้าต่าง หัวเราะฮ่าๆ “ข้ามาอีกแล้ว”
ต่งจิ้งตวาดอย่างเดือดดาล “ชุยตงซาน เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกตนก่อกำเนิด กลับมาทำเรื่องแบบนี้ ว่างนักหรือไง?!”
ชุยตงซานพูดอย่างมีเหตุมีผล “ก็ข้าว่างจนใกล้จะเบื่อตายอยู่แล้วไงล่ะ ถึงได้มาหาเจ้าเพื่อชวนคุย ไม่อย่างนั้นข้าจะมาทำไมเล่า”
ต่งจิ้งลุกขึ้นยืน “ตีกันสักรอบไหม?!”
ชุยตงซานส่ายหน้า “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ”
ต่งจิ้งโมโหจนต้องก้าวยาวๆ ตรงไปหาอีกฝ่าย
พวกคนที่ฝึกวิชาสายฟ้า โดยเฉพาะเซียนดิน จะมีสักกี่คนที่นิสัยดี
ชุยตงซานใช้ปลายเท้าแตะบนผนังแล้วพลิ้วกายไปด้านหลัง โบกมือบอกลา
หลินโส่วอีได้แต่ยิ้มจืดชืด
ต่งจิ้งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เพื่อให้แน่ใจว่าชุยตงซานจากไปไกลแล้วจริงๆ เขาจึงยืนรออยู่นานมากกว่าจะย้อนกลับมานั่งที่เดิม
ชุยตงซานเองก็ไม่ได้ตอแยอีกฝ่ายต่อ เขาเดินอาดๆ ไปเยือนห้องเรียนและหอพักอีกหลายแห่ง เห็นหลี่ไหวที่กำลังงีบหลับในห้องเรียน ชุยตงซานจึงประทานมะเหงกให้เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้เป็นรางวัลสองสามที เดินมานั่งบนโต๊ะเล็กตรงหน้าหญิงสาวที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของต้าสุยซึ่งร่างหยุดนิ่งท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา แล้วช่วยจัดทรงผมที่เขาคิดว่าเหมาะกับบุคลิกของนางมากกว่าให้กับนาง จากนั้นก็ไปเยือนหอพักแห่งหนึ่ง เห็นเด็กสาวหน้าตางดงามที่กำลังแอบอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ จึงหยิบพู่กันมาแต้มหมึกแล้วปาดไปบนคำบรรยายน่าขัดเขินที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดหลายจุดในหนังสือให้ดำเป็นปื้น…
เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานเบื่อมากจริงๆ
เดินเตร็ดเตร่ไปมา สุดท้ายชุยตงซานก็ชำเลืองตามองภาพเหตุการณ์บนยอดเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปที่เรือนหลังเล็กของตัวเอง ไปนอนหลับอยู่กลางระเบียงไม้ไผ่มรกต
สือโหรวที่ ‘สวม’ ชุดคราบร่างเซียนสามารถเดินได้ตามปกติแล้ว
เซี่ยเซี่ยที่ไม่มีตะปูกักมังกรตัวสุดท้ายคอยพันธนาการตบะ คิดจะเดินค่อนข้างยากลำบาก แต่แค่นั่งรับสัมผัสกับความลี้ลับของแม่น้ำแห่งกาลเวลากลับยังทำได้
อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็ดีดตัวผลุงขึ้นมาในท่าปลากระโดดหงายท้อง เขาลุกขึ้นยืนกะทันหันทำเอาเซี่ยเซี่ยกับสือโหรวตกใจสะดุ้งโหยง
ชุยตงานพลันนึกถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่หลิ่วขึ้นมาได้ คราวนั้นตอนที่อยู่หน้าประตูสำนักศึกษา นางทำท่ามือที่น่ากลัวใส่ตน
มองดูเหมือนเด็กสาวที่ไม่เข้าใจเรื่องทางโลก ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ชุยตงซานทิ้งตัวหงายไปด้านหลังดังตุ้บ ปากก็ปล่อยเสียงหึๆ ฮ่าๆ พลางออกหมัดตามไปด้วย ก่อนจะจุ๊ปากพูดว่า “ผู้ร่วมครองยุทธภพนี่เอง มิน่าเล่าจิตใจถึงสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า”
แล้วชุยตงซานก็หลับตานอนต่อ
เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวหันหน้ามองไปทางยอดเขาภูเขาตงหัวแทบจะเวลาเดียวกัน
ไม่รู้ว่าเหตุใดกระแสน้ำแห่งกาลเวลาของทางฝั่งนั้นคล้ายจะอาบย้อมไปด้วยสีทองอร่ามที่ยิ่งใหญ่ไพศาลชั้นหนึ่ง
เพียงแต่ว่าสือโหรวกลับต้องหันขวับมาชำเลืองตามองชุยตงซานอย่างรวดเร็ว
วันนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันพูดคำว่า ‘ขอคิดดูอีกหน่อย’ นางเห็นชัดเจนว่าชุยตงซานที่หันหลังให้เฉินผิงอันน้ำตานองเต็มใบหน้า
ทั้งๆ ที่ชุยตงซานกำลังหลับ แต่เสียงดีดนิ้วกลับดังขึ้น
ในท้องของสือโหรวพลันมีเสียงเหมือนฟ้าคำราม เป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยได้พบพานมาหลายร้อยปีแล้ว
ชุยตงซานหันหน้ามายิ้มตาหยีพลางเอ่ยเตือน “อย่ามาปล่อยเรี่ยราดในเรือนข้า รีบไปหาห้องส้วมซะ ไม่อย่างนั้นหากข้าไม่รมควันเจ้าให้ตาย ก็จะซ้อมเจ้าให้ตาย!”
สือโหรวทั้งเจ็บแค้นและเศร้าใจ รีบวิ่งปรื๋อจากไป
ชุยตงซานกลิ้งตัวอยู่ในระเบียงไม่หยุด ปากก็พูดไปด้วยวา “เซี่ยเซี่ย เจ้าจะไปหาคุณชายที่ช่วยเจ้าเช็ดถูระเบียงแบบนี้ได้ที่ไหนอีก ว่าไหม?”
เซี่ยเซี่ยได้แต่เอ่ยคล้อยตาม “เซี่ยเซี่ยขอบคุณคุณชาย”
ชุยตงซานลุกขึ้นนั่งยองบนระเบียง แล้วก็ทำท่าว่ายน้ำ ว่ายจากฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็หมุนตัวกลับ ว่ายวนกลับมาอีกหนึ่งรอบ ปากคลอเพลงซ้ำไปซ้ำมา “คางคกไม่กินน้ำ ปีแห่งความสงบสุขหนอปีแห่งความสงบสุข…”
—–