กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 418.3 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 418.3 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
หลินโส่วอีส่ายหน้า “ข้าคนนี้ค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ไม่อยากคิดเรื่องมากมายให้วุ่นวาย ข้อนี้ข้าห่างชั้นกับเจ้าเฉินผิงอันหนึ่งแสนแปดพันลี้ ข้าไม่มีทางเดาถูกแน่นอน”
เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะแกล้งอุบเอาไว้ เขากล่าวว่า “เจ้าเคยบอกข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่เป็นเหมือนพ่อแม่ของข้าเฉินผิงอัน”
หลินโส่วอีรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
เฉินผิงอันยื่นหมัดออกมาแล้วชูนิ้วหนึ่งนิ้ว ยิ้มพูดว่า “อันดับแรก ข้าดีใจมากที่เจ้าหลินโส่วอีเต็มใจเอ่ยคำพูดเช่นนี้ นี่หมายความว่าเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อน ถึงอย่างไรตัวตนของเจ้าก็เป็นปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของเจ้ามาโดยตลอด”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วที่สองออกมา “ประโยคนี้ฝังแน่นอยู่ในใจของข้า เป็นเหตุให้หลังจากการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลดอกบัวของข้ายุติลง ข้าถึงสามารถเดินทางร่วมกับเผยเฉียนจนมาถึงที่นี่ นี่ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับประโยคนี้ของเจ้า”
แล้วเฉินผิงอันก็ชูนิ้วที่สาม “อีกทั้งพอได้ยินประโยคนี้แล้ว ข้าก็เหมือน…คนยากจนข้นแค้นคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็พลันค้นพบว่าที่แท้ตัวเองก็คือคนมีเงินที่ได้รับสืบทอดทรัพย์สมบัติก้อนโต! พอคิดถึงเรื่องนี้ ต่อให้ข้าได้เห็นคนวัยเดียวกันที่มีเงินมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเอ้อร์ที่กลายมาเป็นสหายกันในภายหลัง หรือไม่ก็หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่ไม่ได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ยามอยู่กับพวกเขา ข้ากลับไม่เคยรู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่มีเงินเป็นเรื่องน่าอายอะไร”
หลินโส่วอีหัวเราะ จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งที่เหมือนเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “ข้าเดาว่าซ่งจี๋ซินคงเกลียดเจ้าในข้อนี้มากที่สุด”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย
เฉินผิงอันมาหยุดเท้าอยู่ตรงหน้าหอเก็บตำรา เงยหน้ามองหอสูง “หลินโส่วอี น้ำใจอันน้อยนิดที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั้นของข้า กลับถูกเจ้าเห็นความสำคัญและทะนุถนอมเช่นนี้ ข้าดีใจมาก ดีใจมากเป็นพิเศษ”
หลินโส่วอีกลับกล่าวว่า “บนโลกใบนี้ แม้แต่คนดีก็ยังชอบเรียกร้องคนดีด้วยกันเอง ดังนั้นเจ้าต้องเห็นค่าและทะนุถนอมเพื่อนอย่างข้าเอาไว้ให้ดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว!”
หลินโส่วอีเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามอบของให้ข้า ในอนาคตข้าจะมอบของขวัญกลับคืนหรือไม่ ก็คงไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง โอบไหล่หลินโส่วอีเข้าหาตัว “ฝันไปเถอะ!”
หลินโส่วอีออกแรงเล็กน้อยดีดเฉินผิงอันออกห่าง จัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ พูดบ่นว่า “หากให้สตรีในสำนักศึกษามาเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจสูญเสียคนที่ชื่นชมเลื่อมใสไปหลายคน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางชอบพวกนาง แต่ก็ไม่รังเกียจที่พวกนางจะชอบข้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าว่าหลายปีที่อยู่ในสำนักศึกษามานี้ อันที่จริงเป็นเจ้าหลินโส่วอีที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด”
หลินโส่วอีมองสบตาเฉินผิงอัน ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงคนผู้หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานพร้อมกัน
นี่คงจะเป็นจิตที่สื่อถึงกันของคนเป็นสหายกระมัง
คนบ้านเดียวกันสองคนพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายพลางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในหอเก็บตำราด้วยกัน
หลักการเหตุผลนับไม่ถ้วนในตำรากำลังรอให้พวกเขาไปเปิดอ่านและรับเอาไป
……
ทางฝ่ายของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวเพิ่งจะกลับมาจากเหลาสุราในเมืองเล็กหลังจากดื่มเหล้าเลี้ยงอำลากับสหาย
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก สังเกตเห็นว่าเขาเหมือนจะอารมณ์ห่อเหี่ยวไม่ร่าเริงจึงถามว่า “ไม่ได้ดื่มเหล้ากับสหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของเจ้าอย่างเต็มคราบหรือ? หรือว่าค่าเหล้าแพงเกินไป?”
เด็กชายชุดเขียวนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายนาง ยกสองมือเท้าคาง “เรื่องในยุทธภพ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยื่นมือออกมาเทเมล็ดแตงแบ่งให้เขาบางส่วน เด็กชายชุดเขียวไม่ได้ปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แผ่นหนึ่งไปครองอย่างราบรื่นโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเด็กชายชุดเขียว
จากนั้นก็ได้รับอนุญาตจากกรมพิธีการราชสำนักแคว้นหวงถิงให้ออกมานอกอาณาเขต ผ่านด่านชายแดนของต้าหลีมาเยี่ยมเยือนที่ภูเขาลั่วพั่ว
เด็กชายชุดเขียวพาเพื่อนรักที่ดีที่สุดในยุทธภพท่านนั้นไปเดินเที่ยวตามที่ต่างๆ หลายแห่ง เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูคาดเดาเอาว่าเจ้าหมอนี่คงคุยโวโอ้อวดต่อเทพวารีไปไม่น้อย
เด็กชายชุดเขียวแทะเมล็ดแตงโมเสร็จแล้วก็คร่ำครวญด้วยความกลัดกลุ้ม เกาหูเกาแก้มอย่างงุ่นง่าน แต่เพียงชั่วพริบตาก็สงบนิ่ง สองขาเหยียดตรง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นอนตัวอ่อนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ พูดช้าๆ ว่า “องค์เทพแห่งลำคลองและแม่น้ำแบ่งออกเป็นสามหกเก้าระดับ ตอนที่ดื่มเหล้ากัน สหายคนนี้ของข้าบอกว่าได้พบกับเทพแม่น้ำที่ระดับขั้นสูงที่สุดของแม่น้ำเถี่ยฝูผู้นั้นแล้วก็ให้อิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยอยากให้ข้าช่วยพูดถึงเขากับราชสำนักต้าหลีด้วยถ้อยคำดีๆ สักสองสามคำ อยากให้ช่วยยกแม่น้ำลำคลองสายย่อยทั้งหลายให้ขึ้นตรงกับเขตการปกครองแม่น้ำอวี้เจียงของเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเขาให้เงินเทพเซียนสำหรับช่วยสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าไหม?”
“ไม่”
สีหน้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแปลกประหลาด
เด็กชายชุดเขียวถลึงตาใส่นาง พูดอย่างมีโทสะ “ไม่ใช่ว่าสหายคนนี้ของข้าขี้งก เขาพูดเองว่า ระหว่างสหายด้วยกัน พูดคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นไม่เหมาะไม่ควร ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผล ตอนนี้ข้าก็แค่กลุ้มว่าควรจะเข้าวัดไหนไปจุดธูปไหว้พระโพธิสัตว์องค์ใด เจ้าเองก็รู้ดีว่าเจ้าเว่ยป้อผู้นั้นไม่ชอบขี้หน้าข้ามาโดยตลอด คราวก่อนที่ไปไหว้วานให้เขาช่วย เขาไม่มีคุณธรรมและน้ำใจให้เลยสักนิด ส่วนคำพูดของเทพภูเขาบนยอดเขาของเราที่มีหัวเป็นสีทองผู้นั้นก็ยิ่งไร้ประโยชน์ เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอแซ่หยวน ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยไปพบมาแล้วแต่ไม่เป็นผล กลับเป็นคนที่ชื่อสวี่รั่ว มือกระบี่ที่มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยให้พวกเราคนละแผ่นน่ะ ข้ารู้สึกว่าน่าจะได้เรื่อง เพียงแต่ว่าข้าหาตัวเขาไม่พบ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแทะเมล็ดแตงพลางพูดเบาๆ ว่า “ต่อให้หาวัดเจอ แต่เจ้ามีเงินบูชาพระหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ “สวี่รั่วผู้นั้นอาจจะไม่เก็บเงินข้าก็ได้ เจ้าก็เห็นว่าสวี่รั่วสนิทกับนายท่านของพวกเรามากขนาดนั้น เขาจะกล้าเก็บเงินข้าเชียวหรือ? หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ติดไว้ก่อน วันหน้าค่อยยืมเงินจากนายท่านไปคืนให้สวี่รั่ว แบบนี้คงจะได้อยู่กระมัง?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเกิดโทสะขุ่นเคืองอย่างที่หาได้ยาก “เจ้านี่มันเป็นยังไงนะ?! ทำไมถึงต้องคอยพะวงถึงเงินของนายท่านตลอดเวลา?”
เด็กชายชุดเขียวบ่นพึมพำ “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากได้ มีอะไรน่าแปลกตรงไหน ใครเล่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่ตกอับ อีกอย่างที่นี่ก็เรียกว่าภูเขาลั่วพั่ว (ตกอับ) ไม่ใช่หรือ ต้องโทษนายท่านนั่นแหละ ดันเลือกภูเขาที่ชื่อไม่เป็นมงคลแบบนี้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูโมโหยิ่งกว่าเดิม “นี่ยังจะโทษนายท่านอีกหรือ?! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?!”
หากเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น นางกล้าพูดแบบนี้กับเขา ป่านนี้ไฟโทสะของเด็กชายชุดเขียวคงลุกโชนสามจั้งไปแล้ว แต่วันนี้แม้แต่นึกจะโกรธ เด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่อยากโกรธ เขาไม่มีอารมณ์นั้นจริงๆ
และเวลานี้เอง เว่ยป้อที่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามาเยือนภูเขาลั่วพั่วน้อยครั้งก็พลันปรากฏตัวอยู่บนทางเดิน เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างเชื่องช้า
เด็กชายชุดเขียวกระโดดผลุงขึ้นแล้ววิ่งเต็มเหยียดเข้าหาอีกฝ่าย พยายามประจบเอาใจอย่างสุดฤทธิ์ “ท่านเทพใหญ่เว่ย เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาเป็นแขกที่บ้านพวกเราได้เล่า เดินเหนื่อยหรือไม่ อยากนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่หรือไม่ ให้ข้าทุบไหล่นวดขาให้ท่านผู้อาวุโสดีไหม?”
เว่ยป้อยื่นมือมาดันศีรษะของเด็กชายชุดเขียวออก “ไปไกลๆ เลยไป”
เด็กชายชุดเขียวยกสองมือกอดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งของเว่ยป้อเอาไว้แน่น แต่กลับโดนเว่ยป้อเหวี่ยงลงบ่อน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูส่ายหน้า เสียหน้านายท่านหมดแล้วจริงๆ
เว่ยป้อนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นก้นบึ้ง เมล็ดพันธ์ของดอกบัวสีทองเริ่มแตกหน่อแล้ว
เด็กชายชุดเขียวนั่งยองอยู่ด้านข้าง “เทพเซียนผู้เฒ่าเว่ย ขอข้าปรึกษาท่านสักเรื่องได้ไหม?”
เว่ยป้อจ้องนิ่งไปยังเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งเมล็ดนั้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนึ่งใน ‘มรดกตกทอด’ ที่เจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว แต่กลับยังมีเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงไว้ โชคชะตายังไม่สลายไปหมดสิ้น และยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเว่ยป้อคอยจับจ้องเทพแม่น้ำเถี่ยฝูหยางฮวาผู้นั้นไม่ให้คลาดสายตา ในฐานะองค์เทพที่หลงเหลืออยู่เพียงองค์เดียวของแคว้นเสินสุ่ย ท่ามกลางหายนะของปีนั้น เว่ยป้อสามารถหนีเอาชีวิตรอดจนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งได้เลื่อนขั้นกลายเป็นองค์เทพขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี เป็นเพราะเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าต้องมีความอดทนของตัวเว่ยป้อเองซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วย คนที่ไม่ช่วยเหลือตัวเอง สวรรค์ย่อมไม่ช่วยเหลือ
เว่ยป้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพียงแค่ประโยคเดียวก็สะบั้นความคิดที่หวังว่าตัวเองจะโชคดีของเด็กชายชุดเขียวไปจนสิ้น “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเห็นเจ้าเป็นคนโง่ แล้วเจ้าก็ดีใจที่ได้เป็นคนโง่ขนาดนี้เชียวหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง พอเดินไปได้สองสามก้าว หันกลับมาเห็นว่าเว่ยป้อนั่งหันหลังให้ตัวเอง จึงยืนอยู่ตรงที่เดิมแล้วสาวเท้าเตะออกหมัดต่อยสะเปะสะปะใส่แผ่นหลังที่เกะกะลูกตา แล้วถึงได้รีบวิ่งหนีไปไกล
สุดท้ายก่อนที่เว่ยป้อจะไปจากภูเขาลั่วพั่วก็ยิ้มพูดกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ว่า “อีกไม่นานนายท่านของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว”
แล้วเว่ยป้อก็ทะยานจากไปไกล
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูดีใจสุดประมาณ เพียงแต่พอหันหน้ามา ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวที่เดิมทีควรปิติยินดีเช่นเดียวกับนางถึงได้นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
นางถามเบาๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”
เด็กชายชุดเขียวพึมพำตอบ “เจ้าโง่ขนาดนั้นแล้ว แต่นี่เว่ยป้อกลับดันมาพูดว่าข้าก็เป็นคนโง่ด้วย เจ้าว่าถ้านายท่านกลับมาเจอพวกเราคราวนี้จะผิดหวังมากหรือไม่”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นขึ้ง ไม่สนใจเจ้าคนที่ใจจืดใจดำผู้นี้อีกต่อไป นางไปตักน้ำมาหนึ่งถังพร้อมกับหยิบผ้ามาหนึ่งผืน แล้วจึงเริ่มเช็ดถูเรือนไม้ไผ่อย่างละเอียด
เด็กชายชุดเขียวค้อมตัวลง เอามือเท้าคาง เขาเคยวาดภาพหนึ่งไว้อย่างมีความหวัง นั่นก็คือตอนที่สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เขาจะสามารถนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง มองดูเฉินผิงอันกับสหายของตัวเองเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป ผลัดกันชนจอกเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นเช่นนั้น เขาคงภาคภูมิใจอย่างมาก หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ตอนที่เขากลับมาภูเขาลั่วพั่วกับเฉินผิงอันก็จะได้คุยโวถึงประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่าตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงตนมีหน้ามีตาขนาดไหน
แต่เขาเพิ่งจะค้นพบว่าดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก
เด็กชายชุดเขียวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองเปลือกเมล็ดแตงบนพื้น ดูเหมือนว่ายังมีบางส่วนที่เป็นปลาหลุดลอดแหไป เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายสุดขีดจึงเก็บมันขึ้นมากิน คล้ายว่ารสชาติจะดีกว่าปกติเล็กน้อย?
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่กำลังเช็ดถูขั้นบันไดเรือนหันมาเห็นภาพนี้เข้าพอดีก็ถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าจนขนาดนี้แล้วหรือ? เจ้าคงไม่ได้เอาทรัพย์สินของตัวเองมอบให้สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไปหมดแล้วหรอกนะ?”
เด็กชายชุดเขียวอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เขาหันมาเหลือกตามองบนใส่นาง “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย จะไม่คิดเก็บเงินไว้แต่งเมียบ้างเลยหรือ? ข้าไม่อยากเป็นคนโสดอย่างเหล่าชุยหรอกนะ! ตอนยังเยาว์ไม่รู้จักเก็บเงิน แก่ตัวไปก็ต้องยอมเป็นตาแก่ขึ้นคานแต่โดยดี หลักการนี้ รอให้นายท่านของพวกเรากลับบ้านมาเมื่อไหร่ ข้าต้องพูดให้เขาฟังสักหน่อย เขาจะได้ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์แบบนั้นอีก…”
เสียงปังดังสนั่น
ร่างทั้งร่างของเด็กชายชุดเขียวกระเด็นลิ่วออกไปนอกหน้าผา
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเห็นจนเคยชินเสียแล้ว จึงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา
งูยาวสีเขียวตัวหนึ่งพลันเผยร่าง ทะยานลมล้อเมฆ จากนั้นก็เลื้อยคลานขึ้นมาบนหน้าผาสูงชัน กลับคืนสภาพมาเป็นเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง เขาเดินอาดๆ กลับมาที่เรือนไม้ไผ่ “คำพูดจริงใจฟังแล้วระคายหูเสมอ มิน่าเล่านับแต่โบราณมา ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดีถึงมีจุดจบที่ดีได้ยาก…”
แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ร่างของเด็กชายชุดเขียวลอยหวือไปอีกรอบ
ครั้งที่สองที่เขาย้อนกลับมายังยอดเขาก็เห็นว่ามีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ แต่กลับเปลือยเท้าเปล่ายืนอยู่บนชั้นที่สองของเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวรีบตะโกนโหวกเหวกทันที “เหล่าชุย ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!”
แล้วก็โดนฟาดร่วงกลับลงไปในหุบเหวอีกครั้ง
บนเกาะนอกมหาสมุทรที่อยู่ใกล้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
วันนี้บุรุษที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อเอ่ยปฏิเสธแขกอีกคนหนึ่งที่จะมาเยี่ยมเยือน ปล่อยให้ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาซึ่งเป็นสายของหย่าเซิ่งต้องกินน้ำแกงประตูปิด (เปรียบเปรยถึงแขกที่เจ้าบ้านไม่ให้การต้อนรับ)
หากเป็นก่อนหน้านั้น ต่อให้บุรุษลัทธิขงจื๊อจะไม่เต็มใจ ‘เปิดประตู’ แค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องปรากฏตัว ทว่าคราวนี้กลับไม่แม้แต่จะออกมาพบหน้า
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านนั้นจึงได้แต่กลับไปพร้อมกับความผิดหวัง ลึกๆ ในใจก็อดที่จะกลัดกลุ้มไม่ได้
ไม่รู้ว่าเหตุใดบัณฑิตท่านนั้นถึงไม่รับน้ำใจคนอื่น ยากจะใกล้ชิดสนิทสนมขนาดนี้
บุรุษชุดลัทธิขงจื๊อยืนอยู่ในกระท่อมที่ปีนั้นจ้าวเหยามาพักอาศัย ภูเขาตำรามีเส้นทางให้เดิน
เขายืนอยู่มุมหนึ่งท่ามกลางกองหนังสือ กำลังเปิดตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งที่ดึงออกมาอย่างไม่ใส่ใจ อริยะลัทธิขงจื๊อที่เขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมา สายบุ๋นได้ขาดสะบั้นไปแล้ว เพราะอายุยังน้อยแต่กลับต้องตายไปท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างกะทันหัน ส่วนลูกศิษย์ก็ยังไม่สามารถคว้าจับแก่นสำคัญที่แท้จริงของสายบุ๋นเอาไว้ได้ แค่ร้อยปี ควันธูปของสายบุ๋นก็ต้องขาดสะบั้นลง ณ บัดนี้
เขาวางหนังสือลง เดินออกจากกระท่อมมาหยุดอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นจ้าวเหยามาที่นี่ได้อย่างไร มาได้เพราะการปกป้องคุ้มครองจากเศษซากวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เหลืออยู่
ไม่อย่างนั้นขนาดเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์และผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษายังต้องเคาะประตูก่อนถึงจะเข้ามาได้ จ้าวเหยาที่ลอยตามกระแสคลื่นจะมาถึงที่แห่งนี้โดยบังเอิญได้อย่างไร
เขาดึงสายตากลับมา มองไปทางริมหน้าผา ตอนนั้นจ้าวเหยาคิดจะก้าวเท้าออกไปให้พ้นจากหน้าผาแห่งนี้
เขาย่อมไม่ใส่ใจ
เพียงแต่ว่าตอนนั้นมีชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาส่งสายตามาให้ตน
เขาถึงได้เปิดปากเกลี้ยกล่อมจ้าวเหยา
และหลังจากที่จ้าวเหยาไปจากเกาะ เขากับบุรุษวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อที่พาจ้าวเหยามาส่งที่นี่ก็เคยสนทนากันครั้งหนึ่ง
เขาถามว่า “ในเมื่อเป็นห่วงขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัวมาพบเขา”
คนผู้นั้นตอบ “จ้าวเหยาอายุยังน้อย หากพบข้าก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกผิด ปมในใจบางอย่างจำเป็นต้องให้เขาคลายออกด้วยตัวเอง เมื่อได้เดินทางไกลยิ่งกว่าเดิม ไม่ช้าก็เร็วต้องคิดตก”
เขาถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าฉีจิ้งชุนไม่กลัวว่าต่อให้ตาย จ้าวเหยาก็ยังไม่รับรู้ความคิดของเจ้าหรอกหรือ? จ้าวเหยามีพรสวรรค์ไม่เลว คิดจะก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าดึงเอาโชคชะตาบุ๋นจากตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง เก็บซ่อนปราณยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมแห่งฟ้าดินที่บริสุทธิ์ที่สุดไว้ในที่ทับกระดาษไม้รูปมังกร รอให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวของจ้าวเหยาแตกหน่อเขียวขจีอีกครั้ง แต่เจ้าไม่กลัวว่าสุดท้ายแล้วจ้าวเหยาจะทุ่มเทแรงใจให้สายบุ๋นสายอื่น หรืออาจถึงขั้นไปสร้างประโยชน์ให้กับลัทธิเต๋าโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไรหรอกหรือ?”
ฉีจิ้งชุนยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ขอแค่ลูกศิษย์ของข้าคนนี้มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว จะสืบทอดสายบุ๋นของข้าหรือไม่ เมื่อเทียบกับการที่จ้าวเหยาสามารถศึกษาหาความรู้ได้อย่างสงบสุขปลอดภัยไปตลอดชีวิตแล้ว อันที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
เขากล่าวอย่างสะท้อนใจ “ฉีจิ้งชุน น่าเสียดายเจ้ายิ่งนัก”
ตอนนั้นฉีจิ้งชุนเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เวลานี้บัณฑิตแห่งแผ่นดินกลางที่เคยใช้หนึ่งกระบี่ผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอท่านนี้พลันรู้สึกว่าคนที่รู้ใจตน ขาดหายไปอีกคนหนึ่งแล้ว
ภูเขาเมฆาเรืองแจกันสมบัติทวีป
ไช่จินเจี่ยนที่ได้ยึดครองจวนแห่งหนึ่งบนยอดเขาเพียงลำพัง วันนี้ขณะที่นั่งฝึกตนอยู่บนเบาะ นางพลันลืมตาขึ้น ลุกยืนและเดินไปยังหอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง
เทพธิดาไช่ที่พัฒนารุดหน้าอย่างไม่มีหยุดยั้งตลอดเส้นทางการฝึกตน และนิสัยก็ยิ่งสงบเย็นชามากขึ้นทุกขณะคล้ายจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงคลี่ยิ้มออกมา
ปีนั้นมีบัณฑิตคนหนึ่งที่นางนับถือและเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ขณะที่มอบภาพวาดแห่งแม่น้ำกาลเวลาภาพแรกให้กับนาง เขาได้ทำเรื่องหนึ่งที่ไช่จินเจี่ยนรู้สึกเหมือนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ
อาจารย์ฉีที่มีความรู้ความสามารถดุจเทพยดา ไร้ซึ่งตำหนิข้อบกพร่องในใจของนาง ได้ถามนางด้วยความจริงใจราวกับว่าเขาเป็นลูกศิษย์ที่กำลังขอความรู้จากอาจารย์ท่านหนึ่ง ‘หากเจ้าสามารถมอบม้วนภาพนี้ไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะเป็นการวาดงูเติมขาหรือไม่? กลับจะทำให้เสียเรื่องหรือเปล่า?’
จนถึงตอนนี้ไช่จินเจี่ยนก็ยังจดจำอารมณ์ในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นความรู้สึกที่แทบไม่ต่างหากผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ต้องข้ามผ่านทัณฑ์ห้าอสนีที่ฟาดผ่าลงบนศีรษะ
อาจารย์ฉีเห็นนางเผยสีหน้าอึ้งตะลึงออกมาเช่นนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า ‘เรื่องราวระหว่างชายหญิงบนโลก ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว’
ไช่จินเจี่ยนตีหน้าเคร่ง พยายามทำหน้าให้ขึงตึง
ฉีจิ้งชุนกล่าวอย่างจนใจ “อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ”
สุดท้ายไช่จินเจี่ยนไม่ได้หัวเราะออกมา กลับกันนางยังรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ เอาแต่เหม่อมองอาจารย์ฉีผู้นั้น พอคืนสติ ไช่จินเจี่ยนจึงให้คำตอบไปว่า “หากไม่ชอบ ทำเรื่องพวกนี้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ จะวาดงูเติมขาหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่หากเดิมทีก็ชอบอยู่แล้ว เห็นภาพเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยิ่งชอบมากกว่าเดิม”
ตอนนั้นพอได้ยินคำพูดของไช่จินเจี่ยน ดูเหมือนน้ำหนักที่กดทับอยู่บนบ่าของอาจารย์ฉีจะเบาลงไปเยอะ เขาพลันคลี่ยิ้มออกมา
รอยยิ้มของอาจารย์ฉีในเวลานั้นทำให้ไช่จินเจี่ยนรู้สึกว่า ที่แท้ต่อให้จะมีความรู้สูงส่งแค่ไหน บุรุษผู้นี้ก็ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์
ไช่จินเจี่ยนฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนราวระเบียง ยิ้มตาหยี ทั้งที่กำลังมองไปไกล แต่แท้จริงแล้วทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามที่อยู่นอกหอชมวิวกลับไม่อยู่ในสายตานางเลย
แอบชอบบุรุษที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้รู้ดีว่าเขาไม่มีทางชอบตน แต่ไช่จินเจี่ยนก็ยังรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่งดงามที่สุด
บนเส้นทางของการฝึกตน วันหน้าไม่ว่าจะผ่านไปหนึ่งร้อยปีหรือหนึ่งพันปี ไช่จินเจี่ยนก็ยังยินดีที่จะคิดถึงเขาในช่วงเวลาที่รอบกายเงียบสงบไร้ผู้คน
……
ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีอาณาเขตเชื่อมต่อกับทิศใต้ของราชวงศ์จูอิ๋ง
หลิ่วชิงซานซื้อเหล้ากาใหญ่ นั่งอยู่ริมลำคลอง กระดกเหล้าดื่มอึกแล้วอึกเล่า
หลิ่วป๋อฉีรู้ว่าสักวันหนึ่งวันนี้ต้องมาถึง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้
ความขัดแย้งระหว่างผู้ฝึกลมปราณก่อนหน้านี้ยังเป็นเรื่องเล็ก เพราะฝันร้ายที่ใหญ่ยิ่งกว่าคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตลกในแคว้นชิงหลวนเรื่องนั้น
นางแย่งกาเหล้าในมือหลิ่วชิงซานมา พูดเสียงหนักว่า “ข้าแทบไม่เคยเล่าเรียนหนังสือ ไม่อาจพูดหลักการยิ่งใหญ่อะไรออกมาได้ ส่วนเจ้าก็เป็นบัณฑิต จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมฟังข้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าอยากให้เจ้ารับรู้เรื่องหนึ่ง!”
นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาอย่างหลิ่วป๋อฉี มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งกดเทพเจ้าจิ้งดาบพกตรงเอว ยามที่พูดสีหน้านางฉายประกายของความเฉียบคม “ในใต้หล้านี้คนที่ทั้งโง่ทั้งชั่วร้ายมีมากมาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับว่าพวกเขาเคยเรียนหนังสือมาก่อนหรือไม่ พบเจอกับคนหรือเรื่องราวที่ดีหน่อยก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเคียดแค้น หากไม่ครอบครองก็ทำลายทิ้ง นับจากวันนี้ไป หากเจ้ายินดีจะใช้เหตุผลพูดคุยกับคนจำพวกนี้ก็พูดไป เพียงแต่ว่าหากสุดท้ายแล้วยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ข้าจะเป็นคนคุยเอง”
หลิ่วชิงซานเอาแต่ส่ายหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่ายหน้าอย่างแรง “เรื่องพวกนี้ข้าล้วนเข้าใจ ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงต้องทำเช่นนั้น หากข้าอยากพูดถึงหลักการของการเป็นบุตรกับพี่ใหญ่ที่ข้าเคารพรักที่สุดล่ะ ข้าควรจะทำอย่างไร? ข้ารู้ว่าไม่ว่าเรื่องไหนข้าก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ข้าแค่อยากกลับบ้านไปคุยกับเขาเรื่องนี้ ได้หรือไม่?”
หลิ่วป๋อฉีส่ายหน้าปฏิเสธอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นางที่ตามใจหลิ่วชิงซานทุกเรื่อง มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ยอมลงให้เขา “อย่าไปพูดเรื่องนี้เลย เจ้าอดทนเอาไว้เถอะ”
หลิ่วชิงซานพึมพำ “ทำไมล่ะ?”
หลิ่วป๋อฉีกล่าว “เรื่องนี้ ทั้งสาเหตุและเหตุผล ข้าล้วนไม่เข้าใจ แล้วข้าก็ไม่อยากพูดจาส่งเดชเพียงเพื่ออยากช่วยให้เจ้าคลายปมในใจ แต่ข้ารู้ว่าตอนนี้พี่ชายของเจ้าต้องเจ็บปวดมากกว่าเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าการกลับไปสาดเกลือลงบนบาดแผลของเขาทำให้เจ้าสบายใจ เจ้าก็กลับไปเถอะ ข้าจะไม่รั้งเอาไว้ แต่ข้าจะดูแคลนเจ้า ที่แท้เจ้าหลิ่วชิงซานก็เป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ จิตใจคับแคบยิ่งกว่าสตรีเสียอีก!”
หลิ่วชิงซานมีสีหน้าทึ่มทื่อ
หลิ่วป๋อฉีกระวนกระวายเล็กน้อย เลือกถามไปตรงๆ ว่า “ข้าพูดแรงเกินไปหรือเปล่า?”
หลิ่วชิงซานมองนางอย่างอึ้งตะลึงอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็พลันหัวเราะ ปาดมือเช็ดน้ำตาน้ำมูกสะเปะสะปะ “ไม่หรอก”
หลิ่วป๋อฉีถึงได้คืนกาเหล้าให้กับหลิ่วชิงซาน “ทีนี้ก็ดื่มได้แล้ว”
หลิ่วชิงซานเองก็ไม่เกรงใจ รับกาเหล้ามายกกระดกเข้าปากอึกใหญ่
ดื่มจนกระทั่งเขาฟุบอยู่ริมลำคลอง อาเจียนไม่หยุด
หลิ่วป๋อฉีตบหลังของเขาเบาๆ “หากยังอยากดื่ม ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้าเพิ่ม”
หลิ่วชิงซานส่ายหน้าเบาๆ
สุดท้ายภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย หลิ่วป๋อฉีก็แบกหลิ่วชิงซานเดินไปบนถนนใหญ่
……
บนถนนนอกอำเภอแห่งหนึ่งของแคว้นชิงหลวน หลังจากฝนใหญ่ตกไป พื้นดินก็เฉอะแฉะ น้ำท่วมขังเจิ่งนอง
รถม้าคันหนึ่งที่สารถีเป็นผู้เฒ่าชะลอความเร็วลง ครู่หนึ่งต่อมาก็เพิ่มความเร็วควบม้าตรงไปยังอำเภอ
หวังอี้ฝู่ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารเดียวกับนายอำเภอหลิ่วชำเลืองตามองหลิ่วชิงเฟิงที่กำลังหลับตาพักผ่อน
หวังอี้ฝู่คือหนึ่งในคนสองคนที่ถูกราชครูชุยฉานส่งตัวมายังแคว้นชิงหลวนอย่างลับๆ ตอนนี้ในนามเขาคือหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอ แต่แท้จริงแล้วกลับทำหน้าที่เป็นเลขาธิการฝ่ายบู๊ของหลิ่วชิงเฟิง ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายถูกลอบฆ่า
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า ชุยฉานให้ความสำคัญกับนายอำเภอเล็กๆ ของแคว้นเล็กๆ ผู้นี้มากแค่ไหน
หวังอี้ฝู่รู้ดีว่าบนเส้นทางด้านหลังรถม้ามีเด็กและสตรีกำลังเดินอย่างโซซัดโซเซ
หวังอี้ฝู่เองก็หลับตาลง
แม่ทัพใหญ่สิ้นชาติของราชวงศ์สกุลหลูอย่างเขา ในที่สุดก็เริ่มรอคอยอยากจะเห็นแล้วว่าในอนาคตขุนนางบุ๋นแห่งแคว้นชิงหลวนผู้นี้จะเดินไปได้สูงแค่ไหน
……
ชายแดนทางทิศเหนือของราชวงศ์จูอิ๋ง
เกิดความวุ่นวายโกลาหล
บนเส้นทางภูเขาสายหนึ่งมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากสำนักเล็กหลายท่านปิดบังตัวตน แสร้งแต่งกายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คอยแอบจับตามองขบวนรถของขุนนางกลุ่มหนึ่งที่หนีภัยพิบัติมาทางใต้
แล้วก็มาเจอกับหม่าขู่เสวียนเข้าพอดี ผู้ฝึกลมปราณหนึ่งในนั้นกำลังกระชากผมของสตรีแต่งงานแล้วที่แต่งกายหรูหรา ลากนางออกมาจากห้องโดยสารรถม้า บอกว่าอยากจะลองลิ้มรสชาติของฮูหยินเจ้าเมืองดูสักที
ตอนแรกหม่าขู่เสวียนไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรก เอาแต่เดินทางของตัวเองต่อไป ผลกลับกลายเป็นว่าถูกผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งมาขวางทาง หม่าขู่เสวียนจึงปล่อยไปสองหมัด สังหารคนตายไปครึ่งหนึ่ง คนสุดท้ายที่หนีรอดไปอย่างกระเซอะกระเซิง หม่าขู่เสวียนไม่ได้สนใจ
ผู้ฝึกลมปราณน่าสงสารที่เหลือเพียงครึ่งชีวิตคนนั้นถูกหม่าขู่เสวียนกระทืบหน้าอก เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนเลวเป็นกันอย่างนี้หรือ? เป็นคนเลวแล้ว จะดีจะชั่วดวงตาก็ควรมีแววบ้างกระมัง เรื่องนี้ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกหรือ?”
หม่าขู่เสวียนกระทืบจนหน้าอกของคนผู้นั้นทะลุ
จากนั้นเขาก็ออกเดินทางต่อ
คาดไม่ถึงว่าในบรรดาญาติของสตรีที่อาภรณ์ถูกฉีกกระชากยุ่งเหยิงคนนั้นจะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รู้สึกว่าถูกหยามเกียรติอย่างรุนแรง หันมาซักไซ้กล่าวโทษหม่าขู่เสวียนอย่างขุ่นเคืองว่าเหตุใดถึงไม่ฆ่าเจ้าคนสุดท้ายผู้นั้น จะเลี้ยงเสือไว้เป็นภัยให้ตัวเองทำไม?
หม่าขู่เสวียนจึงปล่อยหนึ่งหมัดต่อยเด็กหนุ่มคนนั้นตาย แล้วถึงได้เดินผ่านขบวนรถที่กลุ่มคนเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “คนโง่ที่ทำเรื่องโง่ สมควรตายยิ่งกว่าคนชั่ว”
หลังจากเดินห่างไปไกลแล้ว ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจากภูเขาเจินอู่ผู้นั้นถึงปรากฏตัว ขมวดคิ้วกล่าว “เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ความคนนั้นไม่ได้มีโทษทัณฑ์ร้ายแรงถึงตาย”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “เดิมทีทุกคนควรต้องตายทั้งหมด นี่ไม่ควรขอบคุณที่ข้ายอมออกหน้าผดุงคุณธรรมอย่างที่หาได้ยากหรอกหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วฟุบตัวอยู่บนศพของลูกชายร่ำไห้ปานจะขาดใจ สำหรับคนหนุ่มสติวิปลาสที่เห็นชีวิตคนเป็นดั่งต้นหญ้าผู้นั้น นางทั้งเคียดแค้นและหวาดเกรง
—–
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเดินขึ้นมาเช็ดราวระเบียงของชั้นสองแล้ว นางรู้สึกฉงนฉงายเล็กน้อย
ผู้เฒ่าแซ่ชุยยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โดนฟาดให้เจ็บๆ คันๆ จะได้จำไว้เป็นบทเรียน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่อาจโต้ตอบกลับไปได้ จึงไม่คิดจะขอร้องแทนเด็กชายชุดเขียวอีก
บนเส้นทางภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวผรุสวาทพลางวิ่งตะบึงไปตลอดทาง
—–