กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 431.2 บนโต๊ะมีข้าวอีกถ้วย
เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่หัวเรือตลอดเวลา
ระหว่างนี้กู้ช่านไปที่ห้องชั้นบนสุดของเรือหอเรือน จิตใจของเขาวุ่นวายยุ่งเหยิง ขว้างปาแก้วทุกใบบนโต๊ะทิ้ง แม่นางเปิดสาบเสื้อหลายคนที่อยู่ในห้องตัวสั่นงันงก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้านายตัวน้อยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตั้งแต่เช้าจรดค่ำถึงได้เกรี้ยวกราดเพียงนี้
หนีชิวน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อัดอั้นตันใจมากเหมือนกัน
กู้ช่านเงยหน้าขึ้นจ้องมองหนีชิวน้อย แล้วเขาก็คลี่ยิ้ม พูดอย่างลำพองใจว่า “หนีชิวน้อย ไม่ต้องกลัวนะ เฉินผิงอันก็แค่โมโหข้าเท่านั้น ตอนเด็กก็มักจะเป็นเช่นนี้ หากทำให้เขาไม่พอใจเมื่อไหร่ ไม่ว่าข้าจะคอยตามก้นเขาต้อยๆ พูดจาน่าฟังเอาใจเขาแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจข้า วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ทุกครั้งหากเห็นว่าข้าหรือท่านแม่ข้าถูกเพื่อนบ้าน หรือไม่ก็พวกคนชั่วของเมืองเล็กรังแก เขาก็ยังช่วยพวกเราอยู่ดี หลังจากนั้นต่อให้ข้าจะร้องไห้งอแงแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่โกรธข้าแล้ว เฮ้อ น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ข้าไม่มีขี้มูกยืดสองเส้นนั่นอีกแล้ว นั่นน่ะคือสมบัติอาคมชิ้นที่ใหญ่ที่สุดของข้าเลยนะ เจ้ารู้ไหม? ทุกครั้งที่เฉินผิงอันช่วยข้าและท่านแม่ ขอแค่ข้าสูดน้ำมูก เขาจะต้องทำหน้าตึงไม่ไหว หลุดหัวเราะ ทุกครั้งที่เป็นอย่างนั้น เขาก็จะไม่โกรธข้าอีก”
หนีชิวน้อยพยักหน้ารับ
กู้ช่านและตัวมันเองต่างก็รู้ดีว่าเหตุใดตอนที่อยู่บนถนน มันจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เป็นเพราะมันกลัวจริงๆ
นั่นคือความเคาพยำเกรงที่เกี่ยวพันกับมหามรรคาของมัน
เกรงว่าแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเอง คนทั้งถ้ำสวรรค์หลีจู หรือแม้แต่อาจารย์ของกู้ช่านอย่างสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าก็คงไม่มีทางรู้สาเหตุ
เพราะหนีชิวน้อยตัวนี้ไม่ค่อยเหมือนกับปลาหลีสีทองที่ถูกขังอยู่ในข้องราชามังกรของหลี่เอ้อร์ หรืองูสี่ขาตัวที่อยู่ในลานบ้านของซ่งจี๋ซินสักเท่าไหร่ การที่สามารถจับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าอย่างหนีชิวน้อยตัวนี้มาได้ นั่นก็คือโชควาสนาของตัวเฉินผิงอันเอง! เป็นโชควาสนาเพียงหนึ่งเดียวในถ้ำสวรรค์หลีจูที่เฉินผิงอันสามารถจับมาได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีโอกาสกุมมันไว้ในมืออย่างแน่นหนา! แต่เฉินผิงอันกลับอาศัยความรู้สึกของตนมอบมันให้กับกู้ช่านที่ตอนนั้นก็เกิดจิตเชื่อมโยงกับหนีชิวน้อยจึงทำหน้ายิ้มประจบขอร้องมาจากเฉินผิงอัน นี่เท่ากับว่าตัวเขามอบโชควาสนาของตัวเองให้กลายเป็นโชควาสนาบนมหามรรคาของกู้ช่าน
แต่นี่ไม่ได้กระทบกับข้อที่ว่า สำหรับหนีชิวน้อยแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงเป็นเจ้านายของมันครึ่งตัว!
แม้ตอนนี้เฉินผิงอันจะไม่มีทางควบคุมหนีชิวน้อยที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้วได้ แต่หากจะบอกว่าหนีชิวน้อยกล้าลงมือกับเฉินผิงอัน ก็เว้นเสียแต่ว่าเจ้านายคนปัจจุบันอย่างกู้ช่านจะออกคำสั่ง มันถึงจะกล้าทำ
กู้ช่านพลันฟุบตัวลงบนโต๊ะ “หนีชิวน้อย ใต้หล้านี้นอกจากท่านแม่ก็มีแค่เฉินผิงอันที่เต็มใจจะมอบของที่ดีที่สุดของตัวเองให้ข้าอย่างแท้จริง ตอนที่ไม่ได้เป็นช่างปั้น ตอนที่เป็นช่างปั้นแล้ว เฉินผิงอันก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ขอแค่ในมือมีเงินสักเล็กน้อย ตัวเขาเองตัดใจซื้อไม่ลง แต่ขอแค่ข้าอยากกิน เขาก็จะซื้อมาให้ข้าโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักครั้ง แถมยังโกหกข้าว่าเขาได้เงินมาก้อนใหญ่ ข้าเพิ่งจะมารู้ก็ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางหลุดปากเล่าให้ฟังในภายหลัง หนีชิวน้อย เจ้าว่า ทำไมเฉินผิงอันต้องโกรธด้วยล่ะ?”
หนีชิวน้อยส่ายหน้า
กู้ช่านพลิกตัวกลับ เอาศีรษะวางพาดไว้บนโต๊ะ สองมือสอดประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาสิว่าคราวนี้เฉินผิงอันจะโกรธนานแค่ไหน? เฮ้อ ตอนนี้ข้าไม่กล้าเล่าเรื่องแม่นางเปิดสาบเสื้อให้เขาฟังด้วยซ้ำ จะทำยังไงดี?”
กู้ช่านหลั่งน้ำตา “ข้ารู้ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนเวลาคนอื่นรังแกข้ากับท่านแม่ ขอแค่เขาได้เห็นก็จะสงสารข้า ดังนั้นต่อให้ข้าจะไม่รู้ความแค่ไหน เขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางไม่ยอมรับน้องชายอย่างข้า แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกัน ข้ากับท่านแม่ต่างก็มีชีวิตที่ดีมากแล้ว เขาเฉินผิงอันจะต้องรู้สึกว่า ต่อให้ไม่มีเขาเฉินผิงอัน พวกเราก็สุขสบายได้ ดังนั้นเขาจะต้องโกรธต่อไป จะไม่สนใจข้าอีกตลอดชีวิต แต่ข้าอยากบอกกับเขาว่า ไม่ใช่แบบนั้น ไม่มีเฉินผิงอัน ข้าจะต้องเสียใจมาก ข้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต หากเฉินผิงอันไม่สนใจข้าแล้ว ข้าก็จะไม่ห้ามเขา ข้าแค่จะบอกกับเขาว่า หากเจ้ากล้าไม่สนใจข้า ข้าก็จะยิ่งเป็นคนเลวมากกว่าเดิม ข้าจะทำเรื่องชั่วร้ายมากกว่าเดิม ร้ายจนถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะไปอยู่ที่ใดในแจกันสมบัติทวีป ไปอยู่ใบถงทวีป หรือทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็ล้วนต้องได้ยินชื่อเสียงของข้ากู้ช่าน!”
กู้ช่านยกสองมือปิดหน้า
นี่คือครั้งที่สองที่กู้ช่านเผยด้านที่อ่อนแอออกมาให้เห็นนับตั้งแต่มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ครั้งแรกคือตอนฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับมารดาบนเกาะชิงเสีย ตอนนั้นก็พูดถึงเฉินผิงอันเช่นกัน
จิตใจของหนีชิวน้อยเชื่อมโยงอยู่กับกู้ช่าน อารมณ์ทั้งหมดของเขาไม่ว่าจะเป็นเศร้า ดีใจ เสียใจหรือโกรธ มันล้วนมีความรู้สึกร่วมไปด้วย มันจึงหลั่งน้ำตาไม่ต่างจากเขา
……
ในที่สุดเรือหอเรือนก็มาถึงเกาะชิงเสีย
ตอนที่ลงจากเรือ เฉินผิงอันหยิบป้ายหยกแผ่นหนึ่งส่งมอบให้กับหนีชิวน้อย เฉินผิงอันพูดเสียงทุ้มหนัก “เอานี่ไปให้หลิวจื้อเม่า บอกให้เขาเก็บไว้ก่อน รอให้ข้าไปจากเกาะชิงเสียเมื่อไหร่ค่อยคืนให้ข้า แล้วก็บอกเขาด้วยว่า ช่วงเวลาที่ข้าอยู่เกาะชิงเสีย อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเขาแม้แต่ครั้งเดียว”
ตอนที่มันรับแผ่นป้ายมากลับทำเหมือนเด็กน้อยที่รับถ่านร้อนๆ แดงฉานกำใหญ่ พลันกรีดร้องเสียงแหลมก้องไปยันชั้นเมฆ เกือบจะเผยร่างจริงของเจียวหลงที่ยาวหลายร้อยจั้ง แทบจะยกกรงเล็บตบท่าเรือเกาะชิงเสียให้แหลกเป็นจุล
และในขณะที่มันคิดจะโยนป้ายหยกทิ้งนั้นเอง เฉินผิงอันกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ถือให้ดี!”
หนีชิวน้อยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานกำป้ายหยกประหลาดที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ไว้แน่น แล้วไปตามหาสกัดคงคาเจินจวิน
ตรงท่าเรือมีคนมารออยู่ก่อนนานแล้ว แต่ละคนมีท่าทางนอบน้อม พยายามประจบเอาใจกู้ช่านสุดฤทธิ์
เฉินผิงอันเอ่ยกับกู้ช่าน “รบกวนเจ้าแจ้งท่านอาหญิงสักคำว่าข้าอยากกินอาหารธรรมดาๆ สักมื้อ ขอแค่บนโต๊ะมีข้าวสักถ้วยก็พอแล้ว”
กู้ช่านพยักหน้ารับอย่างแรง ขอแค่เฉินผิงอันยินดีนั่งลงกินข้าวร่วมกันก็พอแล้ว เขาจึงบอกให้ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งที่เป็นพ่อบ้านของเกาะชิงเสียรีบกลับไปแจ้งท่านแม่ที่จวน ไม่ต้องให้มีเนื้อชิ้นใหญ่ปลาชิ้นโต แค่เตรียมอาหารธรรมดาพื้นๆ ไว้โต๊ะหนึ่งก็พอ!
กู้ช่านนำทาง เฉินผิงอันเดินอยู่ด้านข้าง เขาเดินช้ามาก
กู้ช่านนึกว่าเฉินผิงอันอยากให้ไปถึงจวนแล้วได้กินข้าวเลย และตัวเขาเองก็อยากเดินเล่นกับเฉินผิงอันให้นานอีกนิดอยู่แล้ว จึงจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วย
จู่ๆ เฉินผิงอันก็พูดขึ้นว่า “หลายวันมานี้ข้าอยู่ที่นครน้ำบ่อตลอดเวลา สอบถามเรื่องของเจ้าและเกาะชิงเสียจากคนหลายคน ได้ยินเรื่องราวมากมาย”
กู้ช่านไหล่ลู่คอตก “เดาออกแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอีก “คำพูดบางอย่าง ข้ากลัวว่าหากไปอยู่บนโต๊ะกินข้าวจะพูดไม่ออก แล้วจะไม่กล้าพูดอีก ดังนั้นก่อนจะไปพบท่านอาหญิง ข้าอาจจะพูดบางอย่างที่เจ้าไม่ชอบฟัง ข้าหวังว่าไม่ว่าเจ้าจะชอบฟังหรือไม่ ไม่ว่าในใจของเจ้าจะรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดเหลวไหลตรรกะบิดเบี้ยวแค่ไหน เจ้าก็จะฟังข้าพูดให้จบก่อน ได้ไหม? พอข้าพูดจบแล้ว เจ้าค่อยพูดความในใจของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เป็นเหมือนนักฆ่าคนนั้น ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะชอบฟังหรือไม่ ข้าแค่อยากฟังความในใจของเจ้า เจ้าคิดยังไงก็พูดอย่างนั้น”
กู้ช่านอืมรับหนึ่งที “เจ้าพูดมา ข้าจะฟัง”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ขอโทษนะ ข้ามาช้าไป”
กู้ช่านหยุดชะงัก
เฉินผิงอันเองก็หยุดเดินตามไปด้วย ในสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ของผู้ฝึกตนบนเกาะชิงเสีย นี่คือ ‘บุรุษวัยกลางคน’ ที่ดูเหนื่อยล้าคนหนึ่ง แม้จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้าท่าทาง ทว่าดวงตาก็คือหน้าต่างของหัวใจคน ความเหนื่อยล้านั้นจึงมิอาจปกปิดไว้ได้
ปีนั้นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะและเด็กชายขี้มูกยืด คนทั้งสองคนจากลากันที่ตรอกหนีผิงอย่างเร่งร้อนเกินไป นอกจากเรื่องของใบไหวกำใหญ่ในกระเป๋าของกู้ช่าน นอกจากจะบอกให้เขาระวังหลิวจื้อเม่า และบอกให้เด็กที่โตเพียงเท่านั้นดูแลแม่ของตัวเองให้ดีแล้ว ยังมีคำพูดอีกมากมายที่เฉินผิงอันยังไม่ทันพูดออกไป
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางยอดเขาของเกาะชิงเสีย “หลังจากที่เจ้าเด็กขี้มูกยืดคนนั้นออกไปจากบ้านเกิด เพียงไม่นานข้าก็จากมาเหมือนกัน เริ่มท่องอยู่ในยุทธภพ พบเจอกับอุปสรรคไม่อย่างนี้ก็อย่างนั้น ดังนั้นข้ากลัวอย่างมากว่าจะเกิดเรื่องหนึ่ง กลัวว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดจะกลายเป็นคนประเภทที่ปีนั้นเจ้าและข้าเฉินผิงอันไม่ชอบมากที่สุด เป็นผู้ชายตัวใหญ่โต แต่กลับชอบรังแกสตรีแต่งงานแล้วที่ในบ้านไม่มีบุรุษอยู่ด้วย เรี่ยวแรงมากหน่อยก็ชอบรังแกลูกของสตรีแต่งงานแล้วคนนั้น ดื่มเหล้าเข้าไป เห็นเด็กเดินผ่านทางก็ถีบจนเด็กคนนั้นล้มกลิ้งอยู่กับพื้น ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าคิดถึงกู้ช่าน เรื่องแรกก็คือเป็นกังวลว่าเจ้าเด็กขี้มูกยืดที่อยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ เรื่องที่สองก็คือกังวลว่าหากมีชีวิตที่ดีแล้ว เจ้าเด็กขี้มูกยืดที่เจ้าคิดเจ้าแค้นคนนั้นจะค่อยๆ กลายเป็นคนประเภทที่ว่าเมื่อเรี่ยวแรงมากขึ้นแล้ว ความสามารถมากขึ้นแล้ว พออารมณ์ไม่ดีก็จะถีบเด็กคนหนึ่งโดยไม่สนว่าเด็กคนนั้นจะเป็นหรือตายหรือไม่ เด็กคนนั้นจะเจ็บปวดอย่างมาก แล้วจะถูกเฉินผิงอันช่วยเอาไว้ พอกลับไปถึงบ้าน นอกจากที่แม่ของเด็กจะสงสารลูกแล้ว ยังต้องเอาเงินเหรียญทองแดงไปซื้อยาจากร้านยาตระกูลหยาง แล้วชีวิตที่เหลืออีกสิบวันครึ่งเดือนจะยิ่งลำบากมากกว่าเดิมหรือไม่ ข้ากลัวมากว่าจะเป็นเช่นนี้”
“แต่จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องโทษข้า โทษที่ครั้งแรกหลังจากข้าเดินทางกลับจากต้าสุย ครั้งที่สองที่ออกท่องยุทธภพ ทั้งๆ ที่ต้องลงใต้เดินทางไปยังนครมังกรเฒ่า แต่ทำไมถึงไม่ยอมเอากระบี่ไปส่งให้ช้าอีกสักหน่อย ทำไมไม่ยอมเดินทางอ้อมไปไกลอีกนิด ก็แค่เสียเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ข้าควรจะต้องไปเยี่ยมหาเจ้าเด็กขี้มูกยืด ไปดูให้เห็นกับตาว่าเขากับแม่สบายดีจริงๆ หรือไม่ ไม่ใช่ว่าอาศัยข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ จนพอรู้ว่าพวกเขาสองคนไม่มีอันตรายน่าเป็นห่วง ดูเหมือนจะมีชีวิตที่ไม่เลวก็รู้สึกว่าไปช้าอีกนิดก็ไม่เป็นไร รอให้ตัวเองได้ดิบได้ดีแล้ว สามารถหาของไปมอบให้เจ้าเด็กขี้มูกยืดได้มากกว่าเดิมค่อยไปหาเขาก็ยังไม่สาย”
“ท่องอยู่ในยุทธภพ ต้องรับผิดชอบความเป็นความตายเอาเอง เจ้าสังหารผู้ถวายงานของเกาะชิงเสีย สังหารศิษย์พี่ใหญ่คนนั้น สังหารนักฆ่าของวันนี้ ขอแค่ข้าเฉินผิงอันอยู่ด้วย เจ้าไม่ฆ่า ฆ่าไม่ไหว ข้าก็จะช่วยเจ้าฆ่า! คนแบบนี้ ต่อให้ดาหน้ามามากเท่าไหร่ ข้าก็จะฆ่าให้หมด มาหนึ่งคนข้าฆ่าหนึ่งคน มาหนึ่งหมื่นคน หากข้าสามารถฆ่าได้แค่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ข้าก็จะโทษแค่ว่าหมัดของข้าเฉินผิงอันไม่แข็งมากพอ ออกกระบี่ไม่เร็วพอ! เพราะข้าเคยรับปากเจ้า รับปากตัวเอง ว่าจะต้องปกป้องเจ้าเด็กขี้มูกยืดคนนั้นให้ดี นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุดของข้าเฉินผิงอัน ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย!”
“แต่ว่า เจ้ากู้ช่านมีหนึ่งพันหนึ่งหมื่นเหตุผลที่จะบอกแก่ตัวเอง บอกแก่ข้าเฉินผิงอัน บอกว่าทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือสถานที่ที่สกปรกโสมมเช่นนี้ วิถีทางโลกก็คือวิถีที่ห่วยแตกเช่นนี้ หากข้าไม่ฆ่าคนเพื่อสร้างบารมี คนอื่นก็จะมาฆ่าข้า สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ข้ออ้างที่เจ้ากู้ช่านจะสังหารคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อได้ คนมากมายถึงเพียงนั้นต้องตายไป คนที่ไม่แม้แต่จะรู้เหตุผลด้วยซ้ำ ฆ่าไปแล้ว เจ้ากู้ช่านข้ามหลุมในใจหลุมนั้นไปได้ แต่ข้าเฉินผิงอัน ข้ามไปไม่ได้ ข้าจะต้องคิดว่า คนมากมายหลายสิบคนหลายร้อยคนนั้น ก็คือเด็กขี้มูกยืดที่ปีนั้นเดินตามก้นเฉินผิงอันเด็กบ้านนอกต้อยๆ อยู่ในตรอกหนีผิงหลายสิบคนหลายร้อยคน คือช่างเผาเครื่องปั้นบ้านนอกคนนั้นหลายสิบคนหลายร้อยคน แล้วคนที่มากมายขนาดนี้ ล้วนตายไปหมดแล้ว ทว่าเฉินผิงอันที่ปีนั้นเกือบจะหิวตายอยู่ในตรอกหนีผิงแต่ก็ไม่ยอมไปเคาะประตูบ้านใคร ได้แต่เดินวนอยู่ในตรอกหนีผิงครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ตาย เด็กขี้มูกยืดที่ปีนั้นถูกคนสารเลวที่เมามายถีบเต็มแรง ไม่ตาย”
เฉินผิงอันหยุดพูด ตบไหล่กู้ช่านที่อยู่ข้างกาย “เดินต่อเถอะ ท่านอาหญิงยังรอพวกเราอยู่ ต่อให้ถนนหนทางเดินยากแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังต้องเดิน”
—–