กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 433.3 ลองวางหลักการในตำราลงก่อน
ตอนที่เฉินผิงอันวางพู่กันลงก็พลันสังเกตเห็นแสงแดดด้านนอก
เขาคิดแล้วก็เดินออกจากห้อง เอาแผ่นไม้ไผ่ทั้งหลายไปตากแดด
แผ่นไม้ไผ่หลายแผ่นล้วนถูกแกะสลักไว้ทั้งสองด้าน ไม่ใช่ว่าแผ่นไม้ไผ่ไม่พอใช้ เดินทางยาวไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ระหว่างทางย่อมพบเจอป่าไผ่อยู่เนืองๆ
เพียงแต่ว่าตอนนั้นอ่านหนังสือได้มากแล้วก็จะค้นพบว่าหลักการเหตุผลมากมาย ต่อให้เป็นความรู้ของสายบุ๋นที่แตกต่างกันของสามลัทธิร้อยสำนัก ก็ยังมีบางประโยคที่กลายเป็นว่าเข้าคู่กันได้ดีเมื่ออยู่บนแผ่นไม้ไผ่ อีกทั้งยังค่อนข้างจะ ‘ใกล้ชิด’ กันด้วย สายบุ๋นในลัทธิขงจื๊อไม่เหมือนกัน แต่ก็ยังคงเป็นสายตรงเหมือนกัน สามลัทธินั้นแตกต่าง แต่ก็เหมือนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง เมธีร้อยสำนักที่นอกเหนือจากสามลัทธิก็เหมือนสหายที่มาพบกันโดยบังเอิญในยุทธภพ หรือไม่ก็เหมือนญาติห่างๆ ที่ไม่เคยได้ไปมาหาสู่กันมานานหลายปี
ตอนที่เฉินผิงอันเอาไม้ไผ่มาตากแดด เขาหยิบไม้ไผ่แผ่นหนึ่งในนั้นขึ้นมา ด้านหน้าของมันสลักประโยคหนึ่งของลัทธิขงจื๊อว่า ‘ทุกสิ่งมีต้นและปลาย เรื่องราวมีเริ่มต้นและจุดจบ เมื่อเข้าใจการเริ่มต้นและจบลงนี้ ก็จะเข้าใกล้กฎเกณฑ์ของการพัฒนาแห่งสรรพสิ่ง’
ส่วนด้านหลังเป็นประโยคของลัทธิเต๋าที่กล่าวไว้ว่า ‘ฟ้าดินมีความงดงามที่ยิ่งใหญ่ แต่มนุษย์มิอาจใช้ถ้อยคำมาบรรยาย หนึ่งปีสี่ฤดูกาลมีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัด แต่ผู้คนมิเคยเอ่ยถึง การดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งล้วนเคารพในกฎเกณฑ์ เพียงแต่มนุษย์ยังไม่สังเกตเห็นก็เท่านั้น’
เพียงแต่ว่าไม้ไผ่แผ่นนี้ค่อนข้างจะพิเศษ เพราะตอนนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันเปิดอ่านตำราลัทธิพุทธก็ได้ใช้มีดแกะสลักแกะตัวอักษรอีกประโยคหนึ่งของลัทธิพุทธไว้ตรงมุมที่ว่างเปล่าตัวเล็กๆ ว่า ‘พระธรรมคำสั่งสอนมิได้อยู่ที่ตัวอักษร’
มีไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่ทั้งหน้าตรงและหน้าหลังแยกกันสลักประโยคว่า ‘วิญญูชนควรมุ่งมั่นตั้งใจกับเรื่องที่เป็นรากฐาน เมื่อสร้างรากฐานขึ้นได้แล้ว หลักการแห่งการปกครองประเทศและการครองตนจึงจะกำเนิด’ และประโยคของลัทธิพุทธที่บอกว่า ‘กฎเกณฑ์บนโลกล้วนคือพระธรรม จึงไม่ควรแยกแก่นแท้แห่งการศึกษาธรรมออกจากการใช้ชีวิตจริง’
หยิบขึ้นมาแล้วอ่านเงียบๆ รอบหนึ่ง ก่อนจะวางลงเบาๆ
เฉินผิงอันหยิบไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา ‘สรรพสิ่งบนโลกล้วนเท่าเทียม ไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำ’ ‘มนุษย์มีเหนือใต้ พระพุทธศาสนาไม่มีเหนือใต้’ ด้านหลังคือประโยคที่บอกว่า ‘กษัตริย์ขุนนาง บนล่าง สูงต่ำ ล้วนขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์’
สุดท้ายเฉินผิงอันหยิบไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่หน้าตรงเป็นคำว่า ‘ความทุกข์ตรมมิเหนือกว่าจิตใจที่ตายแล้ว และกายดับก็ยังเป็นเรื่องรอง’ ด้านตรงข้ามเขียนว่า ‘เรื่องราวต่างๆ เมื่อดำเนินไปถึงขีดสุดย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง เรื่องราวจึงจะพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด’
อากาศของฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบาย ดวงอาทิตย์ลอยสูงเหนือศีรษะ
เฉินผิงอันตากแผ่นไม้ไผ่ทั้งหมด ส่วนตัวเองก็นั่งอยู่ตรงพื้นที่ว่างเปล่าใจกลางแผ่นไม้ไผ่ที่อยู่รายล้อม สองมือสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ สายตากวาดมองไปรอบกายอยู่เช่นนี้
เขานั่งอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา จนกระทั่งดวงตะวันเริ่มลับเหลี่ยมเขา เฉินผิงอันถึงได้เริ่มเก็บไม้ไผ่ขึ้นทีละแผ่น เอากลับไปเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นอีกครั้ง
หลักการเหตุผลในตำรามากมายเหล่านี้ ลองวางลงดูก่อน
หลักการเหตุผลอยู่ในตำรา การปฏิบัติตัวอยู่นอกตำรา
ประโยคนี้คือหลักการที่เฉินผิงอันรู้มาตั้งแต่ก่อนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะปริแตกแล้วร่วงลงพื้นเสียอีก อีกทั้งยังไม่ได้อ่านเจอจากในหนังสือ แต่เป็นคนอื่นตั้งใจพูด ส่วนเขาตั้งใจฟัง
เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บแผ่นไม้ไผ่ทั้งหมดเสร็จก็เห็นกู้ช่านพาหนีชิวน้อยเดินมา อีกฝ่ายโบกมือให้เขา
เฉินผิงอันปิดประตูห้อง เดินไปหากู้ช่าน แล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่โอ่อ่าประดุจจวนของเชื้อพระวงศ์พร้อมกับเขา
หน้าประตูใหญ่แปะภาพแขวนของเทพทวารบาลมีสีสันไว้สองแผ่น
เฉินผิงอันมองพวกมันแล้วพึมพำในใจว่า “กันผีได้ แต่กันคนไม่ได้”
กู้ช่านถาม “เป็นอะไรไป?”
จากนั้นเขาก็บ่นอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “เจ้ายืนกรานจะย้ายไปอยู่ที่ประตูภูเขานั่นทำไมกัน แม้แต่ภาพเทพทวารบาลที่เข้าท่าเข้าทีก็ยังไม่มีแขวนไว้ ยากจนข้นแค้นนัก”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ไปกินข้าวกันเถอะ”
ไปถึงโต๊ะอาหารถึงได้เห็นว่าแม้ของกู้ช่านรินสุรารอไว้ให้เฉินผิงอันและกู้ช่านเรียบร้อยแล้ว
หนีชิวน้อยนั่งอยู่ข้างกายกู้ช่าน อันที่จริงมันไม่ชอบกินของพวกนี้ แต่มันชอบนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับสองแม่ลูก เพราะนั่นทำให้มันดูเหมือนคนยิ่งขึ้น
อันที่จริงกู้ช่านบอกกับมารดาแล้วว่าคืนนี้ไม่ดื่มเหล้า เขาจึงรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย กลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธ
แต่กลับเห็นว่าเฉินผิงอันหยิบจอกเหล้าขึ้นมาแล้ว เขาดื่มคารวะอาหญิงหนึ่งจอก ไม่เพียงเท่านี้ ยังรินเหล้าใส่จอกของตัวเอง จิบหนึ่งคำ ถึงได้เริ่มคีบกับข้าว
อาหารมื้อนี้ส่วนใหญ่เป็นสตรีแต่งงานแล้วที่ชวนคุยเรื่องจุกจิกยิบย่อยน่าสนใจของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เฉินผิงอันก็ไม่ได้เอาแต่เงียบอย่างเดียว เขาเองก็เล่าเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจของเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้เหมือนกัน
บรรยากาศกลมเกลียวปรองดอง
ทำให้กู้ช่านดื่มเหล้าไปหนึ่งจอกแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่าต่อให้ตนดื่มอีกสักร้อยจินพันจินก็ไม่เมา
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะสาดน้ำเย็นใส่หน้าเขาด้วยประโยคว่า “ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อย ต่อให้ทุกวันนี้จะเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว และเหล้าวิหคครวญก็มีประโยชน์ต่อการฝึกตน แต่ดื่มให้น้อยจะดีกว่า หากอารมณ์ดีจริงๆ ดื่มแค่สามแก้วก็พอ”
กู้ช่านทำหน้าทะเล้นใส่ ก่อนจะพยักหน้ารับปาก
สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะคิกคัก
หากเฉินผิงอันสามารถให้การดูแลกู้ช่านผู้เป็นบุตรชายในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเรื่องใหญ่ได้เช่นนี้ นางก็ยังยินดีที่จะได้เห็น
โดยเฉพาะหลังจากที่หนีชิวน้อยพูดถึงเรื่องแผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ให้ฟังโดยไม่ได้ตั้งใจ สตรีแต่งงานแล้วครุ่นคิดอยู่คนเดียวครึ่งค่อนคืนก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็ทำให้หลิวจื้อเม่ากริ่งเกรงได้บ้าง ขอแค่เฉินผิงอันมีกำลังมากพอที่จะปกป้องคุ้มครองตัวเอง อย่างน้อยนี่ก็หมายความว่าเขาจะไม่เป็นตัวถ่วงกู้ช่านของนางไม่ใช่หรือ? ส่วนเรื่องความผิดความถูกที่วกวนอ้อมไปอ้อมมาเหล่านั้น นางฟังแล้วก็มีแต่จะหงุดหงิดใจ ไม่ใช่เพราะคิดว่าเฉินผิงอันจะทำร้ายกู้ช่าน แต่ขอแค่เฉินผิงอันไม่หวังดีจนทำเรื่องร้าย อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา นางก็ย่อมปล่อยให้เฉินผิงอันอยู่บนเกาะชิงเสียต่อไปได้
หลังกินข้าวอิ่ม เฉินผิงอันก็ทำเหมือนทุกครั้ง นั่นคือไปเดินเล่นเพียงลำพังบนเส้นทางเล็กๆ ริมทะเลสาบของเกาะชิงเสีย
เดินๆ หยุดๆ ไม่มีเป้าหมาย
บางครั้งก็เจอกับผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสีย คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่อายุยังน้อย ลำดับศักดิ์ต่ำ ส่วนพวกสาวใช้และนักการทั้งหลาย แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าออกจากจวนแต่ละแห่งโดยพลการ
พอเห็นเฉินผิงอัน พวกเขาจะพากันเรียกว่าท่านเฉิน เพราะไม่รู้แน่ชัดถึงความเป็นมาของคนหนุ่มผู้นี้ ได้ยินแค่ว่าเป็นแขกสูงศักดิ์ที่กู้ช่านเชิญให้มายังเกาะชิงเสียด้วยตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ ทุกวันกู้ช่านจะต้องไปนั่งที่ห้องตรงประตูภูเขาแห่งนั้นพักหนึ่งเพื่อพูดคุยกับแขกผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ นี่ถือเป็นเรื่องหายากใหญ่เทียมฟ้าประหนึ่งพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเลยทีเดียว
เพียงแต่เมื่อเห็นว่านักบัญชีท่านนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับทุกคน กลับยิ่งทำให้ผู้คนไม่เข้าใจ ความคิดที่จะเคารพยำเกรงจึงหายไปไม่น้อย
หรือว่าแค่วางท่าไปอย่างนั้นเอง? ยกตัวอย่างเช่นแท้ที่จริงก็เป็นแค่คนต้าหลีบ้านเดียวกับมารน้อยกู้? หรือจะเป็นเด็กรุ่นหลังจากบ้านเดิมของฮูหยินผู้นั้น?
เฉินผิงอันที่เดินอยู่บนเส้นทางอันเงียบสงบพลันหยุดฝีเท้า
ด้านหน้ามีคนยืนอยู่สองคน เฉาเจ๋อหนึ่งในศิษย์พี่ของกู้ช่าน และยังมีลวี่ไช่ซางคนที่ทำให้กู้ช่านโปรดปรานได้ เขาคือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ อายุแท้จริงเกือบจะสามสิบปีแล้ว ทว่านิสัยกับเนื้อหนังมังสาภายนอกยังเป็นเด็กหนุ่ม น่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ถึงได้มีหน้าตาเหมือนเด็กเช่นนี้ นี่หมายความว่าการที่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฒ่าที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นั้นรับลวี่ไช่ซางไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ถือว่าสายตาเขามีแววไม่น้อย
ลวี่ไช่ซางสลัดเฉาเจ๋อที่หยุดเดินเรียบร้อยแล้วทิ้งไป ตัวเองปรี่ขึ้นหน้ามาหลายก้าว พูดด้วยสีหน้ามืดทะมึนว่า “เจ้าชื่อเฉินผิงอัน? ข้าขอเตือนเจ้าว่าเลิกเจ้ากี้เจ้าการกับช่านช่านเสียที!”
เฉินผิงอันถามอย่างตรงไปตรงมา “ไม่งั้นเจ้าจะทำยังไง?”
ลวี่ไช่ซางตกตะลึงไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยพูด
เส้นสายตาของเฉินผิงอันกลับมองข้ามลวี่ไช่ซางไปมองเฉาเจ๋อที่เห็นว่าตัวเองเป็นคนนอก เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยประโยคประหลาดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ช่างเถอะ คราวหน้าอย่าทำอีกก็แล้วกัน”
เฉาเจ๋อทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องอธิบายหรอก ข้ารู้แล้ว ก็แค่ไม่อยากฟังเท่านั้น”
ลวี่ไช่ซางมองคนหนุ่มที่มีสีหน้าอิดโรย หว่างคิ้วก็เต็มไปด้วยพยับเมฆอึมครึมแล้วเอ่ยเย้ยหยันว่า “ช่างเป็นคำพูดคำจาที่ใหญ่โตยิ่งนัก เป็นช่านช่านที่มอบความกล้านี้ให้เจ้ากระมัง?”
เฉินผิงอันที่ท่าทางเหมือนคนขี้โรคยกแขนข้างหนึ่งตั้งในแนวขวาง
เฉาเจ๋อคิดจะถอยหนีตามสัญชาตญาณ เพียงแต่ไม่อยากแสดงความขลาดกลัวออกมาต่อหน้าคนนอกของเกาะชิงเสียอย่างลวี่ไช่ซาง จึงพยายามฝืนบังคับตัวเองให้สงบนิ่ง
ฟ้าดินเงียบสงัด
ลวี่ไช่ซางหัวเราะเสียงดังลั่น “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “ไม่มา? เจ้าคิดให้ดีล่ะ”
เพิ่งจะขาดคำ
ก็เห็นว่าเส้นสีทองเส้นหนึ่งพุ่งจากเรือนที่พักของกู้ช่าน ทะยานขึ้นฟ้า เส้นสีทองลากยาวอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็มาหยุดอยู่เหนือฝ่ามือของบุรุษหนุ่มคนนั้น
ต่อให้กระบี่จะบินมาลอยอยู่สูงเหนือฝ่ามือของคนผู้นั้นหนึ่งชุ่นแล้ว
ทว่าเส้นยาวสีทองที่ลากตามวงโคจรของกระบี่ยาวเล่มนี้
กลับยังไม่สลายหายไป
ลวี่ไช่ซางหรี่ตาลง
ในใจสะท้านสะเทือนไม่หยุด
เฉินผิงอันถาม “ตามกฎของทะเลสาบซูเจี่ยน พวกเจ้าถือว่าตายได้แล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนที่ร้องครวญเบาๆ เล่มนั้นแล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “กลับไป ออกจากฝักคราวหน้าจะทำให้เจ้าพอใจ”
‘เจี้ยนเซียน’ เล่มนี้จึงพุ่งวาบหายไป เส้นสีทองยาวพันกว่าจั้งเส้นนั้นถึงได้หายไปด้วย
ลวี่ไช่ซางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ยอมถอยหนี
เฉาเจ๋อกลับถอยออกจากเส้นทางไปยืนอยู่ด้านข้างแล้ว
เฉินผิงอันมองลวี่ไช่ซางที่ทำสีหน้าประหนึ่งเห็นความตายเป็นมาตุภูมิ สีหน้าที่อิดโรยเหนื่อยล้าของเฉินผิงอันยังคงไม่จางหาย ทว่ากลับหลุดเสียงหัวเราะอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง “กู้ช่านควรจะเห็นเจ้าเป็นสหายอย่างแท้จริง”
กล่าวจบเฉินผิงอันก็หมุนตัวกลับไปยังห้องแห่งนั้นของตัวเอง
ลวี่ไช่ซางที่ส่วนลึกในใจยังเหลือความหวาดกลัวไม่หายหันหน้าไปมองเฉาเจ๋อที่หลั่งเหงื่อเย็นท่วมตัว แต่ลวี่ไช่ซางกลับยังทำปากแข็งถามว่า “น้ำเข้าสมองไอ้หมอนี่หรือไง?”
เฉาเจ๋อกลับไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
มารดามันเถอะ เจ้าลวี่ไช่ซางวิ่งกลับไปหลบหลังอาจารย์ของตัวเองได้นี่ แต่หากข้าไปแหย่ให้เทพแห่งโรคระบาดที่เป็นเซียนกระบี่ซึ่งอำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้ขุ่นเคืองขึ้นมา จะหนีไปไหนได้?
เฉินผิงอันกลับมาถึงห้องแล้วก็จุดไฟตะเกียงที่วางไว้บนโต๊ะ
อักขรานุมกรมท้องถิ่นของสถานที่ต่างๆ ในทะเลสาบซูเจี่ยนถูกส่งมาให้อย่างต่อเนื่อง และยังมีทำเนียบศาลบรรพชนของเกาะใหญ่อีกไม่น้อยปะปนมาด้วย เถียนหูจวินสามารถส่งมาให้ได้เร็วขนาดนี้ เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะสิ่งเหล่านี้คือของเชลยศึกที่เกาะชิงเสียได้รับมา อีกทั้งยังเป็นของประเภทที่ไม่มีค่ามากที่สุดด้วย หากเฉินผิงอันไม่พูดถึง สักวันพวกมันก็ต้องถูกเผาทิ้ง ตอนนี้กาะชิงเสียมีเกาะใหญ่สิบเอ็ดเกาะอยู่ใต้อาณัติ แต่ละเกาะล้วนถูกอาจารย์และศิษย์คู่นั้นสังหารสะบั้นควันธูปทิ้งจนสิ้นแล้ว
ล้วนจำเป็นต้องไล่เปิดไปทีละหน้า และต้องคัดลอกสำเนาเช่นกัน
หลังจากนี้ยังจำเป็นต้องสอบถามอย่างละเอียด ถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่แค่มานั่งขยับพู่กันอยู่ที่นี่แล้ว
แต่เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอะไร หนึ่งเพราะเขาถนัดในด้านการทำงานละเอียด ก็แค่ต้องวางเรื่องฝึกหมัดลงแล้วเปลี่ยนมาทำอีกเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น สอง หากแค่เริ่มต้นก็รู้สึกว่ายากแล้ว ป่านนี้เขาก็คงถอยไปนานแล้ว
กลางดึกสงัด ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางนภาสาดส่องแสงจันทร์เย็นกระจ่าง เฉินผิงอันวางพู่กันลง บิดข้อมือผลักประตูออกมาเดินวนรอบลานบ้าน ถือเป็นการผ่อนคลายอารมณ์
จดหมายสามฉบับที่ส่งออกไปยังภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน ภูเขาไท่ผิงใบถงทวีปและตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่า
คาดว่าคงยังไม่ได้รับการตอบกลับมาในเร็ววันนี้
เฉินผิงอันไม่รีบร้อน แล้วก็รีบร้อนไม่ได้ด้วย
พันภูเขาหมื่นแม่น้ำเขาก็เดินทีละก้าวผ่านมันมาแล้ว กระบี่บินที่ทะยานดั่งสายฟ้าแลบย่อมเร็วกว่ามากนัก
เฉินผิงอันพลันเดินออกจากวงกลม มายังประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย มุ่งหน้าไปยังท่าเรือ
เขายืนอยู่ริมฝั่ง ทรุดตัวลงนั่ง วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า แล้วจึงเงยหน้ามองไปยังทิศไกล
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ยามนี้เมื่อเฉินผิงอันมองทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั้งแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ เขากลับนึกถึงประโยคดีๆ ประโยคหนึ่งที่ลืมไปแล้วว่าได้ยินมาจากไหน และตอนนี้เขาก็ไม่คิดจะไปสืบเสาะหาอีกแล้ว
ความองอาจห้าวหาญค้ำฟ้ายันดิน แม้ผ่านกาลเวลาและยุคสมัยนับพันนับหมื่นปี ความน่าเกรงขามและสง่างามก็ยังคงอยู่
—–