กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 439.4 ใจคนเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ
ยิ่งอยู่กับสวินยวนนานเท่าไหร่ หลิวเหล่าเฉิงก็ยิ่งอกสั่นขวัญผวามากเท่านั้น
นี่ไม่ใช่แค่เพราะว่าสวินยวนคือผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินขั้นสูงสุดที่มีความอาวุโสเท่านั้น
แต่นี่เป็นลางสังหรณ์ที่ทำให้หลิวเหล่าเฉิงข้ามผ่านอันตรายมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เหตุใดเขาถึงไม่ได้ลงมือสังหารคนฉลาดอย่างหลิวจื้อเม่าและนักบัญชีหนุ่มที่อายุยังน้อยผู้นั้น ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่หลิวเหล่าเฉิงไม่ได้เล่าให้เกาเหมี่ยนและสวินยวนฟัง เพราะนั่นจะทำให้เขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ หากจุดอ่อนนี้ไปอยู่ในมือของหลิวจื้อเม่าย่อมไม่เจ็บไม่คัน แต่หากไปอยู่ในมือของสวินยวนและเจียงซ่างเจินขึ้นมาเมื่อไหร่ ต่อให้หลิวเหล่าเฉิงจะต้องถูกถลกหนังหนึ่งชั้น เลือดสดไหลนองก็ยังได้แต่ยอมรับแต่โดยดี หรือไม่อย่างนั้นก็ฉีกหน้าแตกหักกันไปอย่างสิ้นเชิง วอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย
หลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน กลับกลายเป็นว่ายิ่งเก็บตัวเงียบมากขึ้นทุกที นี่เป็นเพราะว่าเมื่อม้วนภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการกว่าเดิมมาคลี่แผ่อยู่ตรงหน้า เขาถึงเพิ่งค้นพบความจริงอันโหดร้ายอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบทุกครั้งที่นึกถึง
การช่วงชิงบนมหามรรคา
ฟังดูเหมือนเป็นถ้อยคำอย่างกว้างๆ
แต่เมื่อผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาคนหนึ่งขอบเขตสูงมากพอ วิสัยทัศน์กว้างไกลมากพอ แล้วก้มหน้าลงมองทางคับแคบที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง จากนั้นจึงหันไปมองเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลห้าขอบเขตบนที่อยู่ระดับสูงเดียวกัน มองเส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา
นั่นคือความต่างระหว่างทางไส้แกะเส้นเล็กที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อกับเส้นทางกว้างขวางที่ทอดยาวไปไกล
หลิวเหล่าเฉิงไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นเจ้าประมุขของสำนักใหญ่เหมือนอย่างสวินยวนจริงๆ หรือ? ไม่อยากเป็นผู้ที่สามารถตัดสินทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในหนึ่งแคว้นได้อย่างแท้จริงงั้นหรือ?
มีใจแต่ไร้กำลัง ก็แค่ทำไม่ได้เท่านั้น
สวินยวนยิ้มมองผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
หลิวเหล่าเฉิงในสายตาของสวินยวน
คือคนที่แบกโชคชะตาและสถานการณ์ใหญ่เอาไว้ หาได้ยากยิ่ง คือขอบเขตหยกดิบที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นเจียงซ่างเจินที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แบบตัวต่อตัวมากที่สุด อีกทั้งยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีพลังพิฆาตมหาศาลก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
แต่หากเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสอง ขอบเขตเซียนเหริน เจียงซ่างเจินกลับจะกู้คืนความเสียเปรียบกลับมาได้
ดังนั้นการที่หลิวเหล่าเฉิงมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกจึงถือว่าพอดิบพอดี นิสัยใจคอของเจียงซ่างเจินไม่เลว มีแต่ความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง และรากฐานก็เป็นคนที่สันดานไม่ต่างจากหลิวเหล่าเฉิง พวกเขาต่างก็สมกับที่เกิดมาเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ยิ่งเป็นกลียุคที่อลหม่านวุ่นวายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนปลาได้น้ำมากเท่านั้น
สวินยวนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หลิวเหล่าเฉิง ทำใจให้สบาย ข้ารับรองว่าเจ้าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้อย่างมั่นคงปลอดภัย ถึงเวลานั้นจะไม่ใช่เจ้าที่ต้องดื่มสุราคารวะข้าครั้งแล้วครั้งเล่าอีกแล้ว หากต้องดื่มเหล้าร่วมกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่เล็กหรือใหญ่ ข้าก็พร้อมที่จะดื่มคารวะเจ้ากลับคืน”
หลิวเหล่าเฉิงยกจอกเหล้าขึ้น ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ขอดื่มขอบคุณสวินเหล่าอีกจอก!”
สวินยวนชนจอกกับเขาเบาๆ ต่างคนต่างดื่มจนหมด แน่นอนว่าเป็นหลิวเหล่าเฉิงที่ดื่มหมดก่อน ส่วนสวินยวนนั้นดื่มอย่างเนิบนาบจนหมด
……
ในห้องที่กว้างขวางชั้นบนของหอสูงในนครน้ำบ่อ ชุยตงซานคิดจะก้าวขาออกไปจากบ่อสายฟ้าแห่งนั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องหดขากลับมาทุกครั้ง
เขากระโดดขึ้นสูง ชายแขนเสื้อสองข้างตีกระทบกันอย่างแรง
ประหนึ่งห่านสีขาวตัวใหญ่ที่กระพือปีกบินอุตลุด
ม้วนภาพแห่งภูเขาและแม่น้ำที่ชุยฉานทิ้งไว้ไม่สามารถสำรวจตรวจสอบสถานการณ์บนเกาะกงหลิ่วที่อบอวลไปด้วยไอน้ำได้อีกแล้ว
หากเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าเหนือแจกันสมบัติทวีปคิดจะมองมา แน่นอนว่าย่อมมองเห็น แต่ต้องไม่เกี่ยวพันกับปัญหาถูกผิดของหลักการที่สำคัญ เพราะการกระทำเช่นนั้นจะถือว่า ‘ไร้มารยาท’ ถึงขั้นไร้เหตุผลด้วย
และกฎเกณฑ์ที่มีหลักการเหตุผลสูงจนกลายเป็นมารยาทนี้ก็เป็นกฎเหล็กที่ตอนนั้นหลี่เซิ่งตั้งขึ้นเพื่อลัทธิขงจื๊อของตัวเอง เป็นโซ่ตรวนที่เอาไว้พันธนาการอริยะลัทธิขงจื๊อโดยเฉพาะ ทำให้พวกเขาถูกมัดมือมัดเท้า นับว่าน่าสนใจอย่างมาก
ในความเป็นจริงแล้วท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานที่ลัทธิขงจื๊อเฝ้าพิทักษ์ใต้หล้าไพศาล เคยมีแผนการลับที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนบนโลกเกิดขึ้นมากมาย เมธีร้อยสำนัก ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสอง ขอบเขตสิบสาม ภูตผีปีศาจ องค์เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ล้วนมีทั้งสิ้น มีแผนการส่วนหนึ่งที่ตายไปในท้อง แต่ส่วนที่มากกว่านั้นกลับสร้างภัยร้ายที่มีพลังทำลายล้างยิ่งใหญ่และลึกล้ำยาวไกล
ทว่ากฎที่แม้แต่ฟ้าผ่าก็ยังไม่สะเทือนข้อนี้กลับยังคงพันธนาการคนของลัทธิขงจื๊อด้วยกันเองที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่บนแท่นบูชาได้อยู่ดี
น่าประหลาดใจมากเลยใช่หรือไม่?
อย่าได้รู้สึกว่ามีเพียงหลี่เซิ่งเท่านั้นที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ป๋ายอวี้จิง ใต้หล้าบงกชอันเป็นสถานที่ของลัทธิพุทธก็ล้วนมีบุคคลที่คอยขีดเส้นให้กับผู้อื่นลักษณะคล้ายคลึงกันนี้อยู่เช่นกัน
ชุยตงซานหยุดการกระทำลง กลับมานั่งขัดสมาธิหน้ากระดานหมากล้อมอีกครั้ง สองมือสอดเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมาก แล้วควานเล่นอย่างส่งเดชจนเกิดเสียงใสกังวานของหมากเมฆหลากสีกระทบกัน
ต่อให้ชุยตงซานจะมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะกงหลิ่ว แต่ก็ยังเอ่ยชื่นชมการกระทำและคำพูดของสวินยวนในค่ำคืนนั้นว่า “ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด หลิวเหล่าเฉิงยังอ่อนด้อยเกินไป”
ชุยตงซานคีบหมากเมฆหลากสีออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วตบกระแทกลงบนกระดานหมากอย่างแรง
“ชี้แนะหลิวเหล่าเฉิงว่าควรจะเลือกอย่างไร ทั้งเป็นการทดสอบสติปัญญาของผู้ถวายงานแห่งสำนักเบื้องล่าง และยิ่งเป็นการเอาอกเอาใจหลิวเหล่าเฉิงด้วย”
“แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ตอนนี้สถานที่อย่างทะเลสาบซูเจี่ยน เมื่อสถานการณ์ใหญ่ถาโถมมาถึง จะกลายเป็นเนื้อชิ้นโตในปากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีหรือซี่โครงไก่ของราชวงศ์จูอิ๋ง ศึกใหญ่ที่จะตัดสินว่าพื้นที่ภาคกลางของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปจะตกเป็นของใคร คือสถานการณ์ตึงเครียดที่พร้อมจะระเบิดขึ้นทุกเมื่อ ถ้าอย่างนั้นหนึ่งในเจ็ดสิบสองนักปราชญ์ของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเราก็ย่อมต้องมองเหตุการณ์ของพื้นที่แถบนี้ตาไม่กะพริบ เนื่องจากหลิวเหล่าเฉิงมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระจึงมีลางสังหรณ์ที่เฉียบคมต่อสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า แต่หากจะบอกว่าสามารถสัมผัสถึงเรื่องวงใน ทำการแลกเปลี่ยนและรู้ทิศทางการไหลไปของคลื่นใต้น้ำ กลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบราชครูต้าหลีได้ติด”
ชุยตงซานจ้องนิ่งไปที่หมากเม็ดนั้นแล้วหัวเราะเสียงเย็น “หลิวเหล่าเอ๋อร์ ดังนั้นถึงได้บอกว่าเจ้าเข้าใจสติปัญญาอันลึกล้ำของสวินยวนตื้นเขินเกินไป”
คำพูดรวบรัดบนยอดเขาของเกาะใต้อาณัติในตอนนั้น
พูดให้บุคคลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงฟัง บางประโยคก็พูดตรงๆ บางประโยคก็พูดอ้อมๆ
ชุยตงซานพึมพำกับตัวเอง “ข้อแรก สวินยวนเตือนเจ้าหลิวเหล่าเฉิง แต่แท้จริงแล้วความหมายในคำพูดกลับมีความโน้มเอียง ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะฆ่าเฉินผิงอันให้ตาย หรือออมมือยั้งไมตรี ก็ล้วนต้องขอบคุณสวินยวนทั้งสิ้น นี่ก็คือความรู้สึกของคนธรรมดาทั่วไป ถึงขั้นที่ว่าต่อให้อาจารย์ของข้ารู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังรู้สึกขอบคุณสวินยวนที่ ‘พูดผดุงความเป็นธรรม’ ก็เป็นได้”
ชุยตงซานคีบหมากอีกเม็ดหนึ่งออกมาวางบนกระดาน “ข้อสอง ไม่ฆ่าอาจารย์ของข้าให้ตาย เขาสวินยวนก็ได้รับความรู้สึกดีๆ จากสายบุ๋นที่เสื่อมโทรมประหนึ่งแสงตะเกียงริบหรี่ท่ามกลางลมฟ้าลมฝนของเหวินเซิ่ง ทำให้คนอื่นติดค้างน้ำใจเขาโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย ต่อให้เหวินเซิ่งจะมองทะลุถึงจิตใจคน แต่ความจริงก็วางอยู่ตรงนั้น ต่อให้กลั้นใจแค่ไหนก็ยังต้องยอมรับอยู่ดี นี่ก็คือนิสัยของวิญญูชน นิสัยของบัณฑิต ช่วยไม่ได้”
ชุยตงซานคีบหมากออกมาอีกเม็ดแล้วโยนลงบนกระดานหมากอย่างไม่ใส่ใจ “ข้อสาม นี่ต่างหากจึงจะเป็นผลประโยชน์ข้อใหญ่ที่แท้จริง ใหญ่จนมิอาจประเมินค่าได้ สวินยวนพูดให้อริยะผู้เฝ้าพิทักษ์อยู่เหนือศีรษะซึ่งเคยคบค้าสมาคมกันฟัง และยิ่งพูดให้อริยะคนที่แม้แต่หัวหมูเย็นๆ ก็เกือบจะไม่ได้กินฟัง ขอแค่เกิดการช่วงชิงบนมหามรรคา ต่อให้เขาสวินยวนจะรู้ว่าด้านหลังของเฉินผิงอันมีสตรีร่างสูงใหญ่ผู้นั้นยืนอยู่ เขาก็ยังคิดจะสังหารอยู่เหมือนเดิม”
“คิดจริงๆ หรือว่าหนึ่งในเจ็ดสิบสองปราชญ์ผู้นั้น คนที่แค่ต้องมอบป้ายหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ให้จะไม่โกรธ? แน่นอนว่าไม่ได้โกรธอาจารย์ของข้า ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ อริยะปราชญ์ท่านนี้มีอุเบกขาสูงมาก หาไม่แล้วตอนนั้นที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าก็คงไม่พูดจาอย่างใจกว้างเช่นนั้น แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ในฐานะที่เขาเป็นอริยะปราชญ์ผู้ตรวจสอบดูแลแจกันสมบัติทวีป ก็ยิ่งไม่พอใจสตรีที่ถึงขนาดกล้าชักกระบี่คิดจะแทงใต้หล้าให้เกิดรูโหว่ที่ใหญ่ที่สุดผู้นั้นมากขึ้น”
“ต่อให้เป็นบุคคลที่มีทั้งคุณธรรมและองอาจอย่างอริยะปราชญ์ก็ยังเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้าคนน่าสงสารที่ถูกหย่าเซิ่งหิ้วไปไว้ในศาลบุ๋นแล้วบอกให้ปิดประตูทบทวนตัวเองผู้นั้นจะไม่ยิ่งหัวร่อชอบใจเลยหรือ? จะไม่ยิ่งรู้สึกถูกชะตากับสวินยวนไปอีกหรือ?”
“สำนักเบื้องบนก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ว่ามีเงินมากหรือน้อย ไม่ใช่ว่าหมัดแข็งหรือไม่แข็ง แต่ต้องดูว่าสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อจะยอมตกลงหรือไม่”
ชุยตงซานย้ายเส้นสายตาออกไปจากกระดานหมาก ชำเลืองตามองเกาะกงหลิ่วที่พร่าเลือนอยู่บนม้วนภาพวาด “หลิวเหล่าเฉิงเอ๋ยหลิวเหล่าเฉิง เมื่อเป็นเช่นนี้ สรุปแล้วสวินยวนพูดไปแค่กี่ประโยค? กี่คำเอง? แต่ทว่าสุดท้ายแล้วมูลค่าที่สำนักกุยหยกคว้ามาไว้ในมือมีมากน้อยเท่าไหร่?”
ชุยตงซานตบกระดานหมาก เม็ดหมากสี่เม็ดก็กระเด้งลอยขึ้นสูง ก่อนจะร่วงลงเบาๆ อีกครั้ง
ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “ผู้ที่ฝึกตน ฝึกจิตใจไปแต่ก็ไร้ประโยชน์งั้นหรือ?”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หมากสี่เม็ดก็กระเด็นหวือออกไปดังปัง เขาคำรามอย่างเดือดดาล “มารดามันเถอะ แม้แต่เจ้าตะพาบเฒ่าก็ด้วย พวกเจ้าทุกคนรีบไปจุดธูปโขกศีรษะซะเดี๋ยวนี้ ขอให้อาจารย์ของข้าอย่าได้ข้ามผ่านทัณฑ์ทางใจครั้งนี้ไปได้ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะรอดไปได้แม้แต่คนเดียว! ทะเลสาบซูเจี่ยน ภูเขาตะวันเที่ยง นครลมเย็น ภูเขาเจินอู่ สำนักใบถง สำนักกุยหยก สกุลซ่งต้าหลี ป๋ายอวี้จิง…”
ชุยตงซานยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งแผ่วเบาลง สุดท้ายเขานั่งเหม่ออยู่นาน แล้วอยู่ดีๆ ก็ร้องโอดครวญขึ้นมา “เจ้าตะพาบเฒ่าพูดถูกแล้วนี่นา อาจารย์ของข้ามีความทุกข์ยากเยอะซะจริง!”
……
หลังจากที่สวินยวนไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างเงียบเชียบ เขาก็ตรงไปที่มหาสมุทร ไม่ใช่นครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุด แต่ทะยานลมเหนือน้ำทะเล ย้อนกลับไปใบถงทวีปทั้งอย่างนี้
หลิวจื้อเม่าและเจ้าเกาะลี่ซู่พร้อมใจกันมาเยือนเกาะกงหลิ่ว
คนทั้งสองต่างก็หยุดอยู่บนผิวทะเลสาบห่างจากตัวเกาะมาพันจั้ง
หลิวเหล่าเฉิงยอมพบแค่ฝ่ายหลังเท่านั้น ส่วนฝ่ายแรกเขาบอกให้ไสหัวไปไกลๆ
ในหอสูงของนครน้ำบ่อ ชุยตงซานที่เห็นภาพนี้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แถมยังกลิ้งตัวไปมาอยู่บนพื้น
หลังจากความเบิกบานใจผ่านพ้นไปแล้ว ชุยตงซานก็เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง นอนหมอบอยู่กับพื้นทำท่าหมาตะกายน้ำ ‘คลาน’ ไปจนถึงขอบของบ่อสายฟ้าสีทอง แล้วก็ทอดถอนใจดังเฮือกๆ หาเรื่องใส่ตัวหาเหาใส่หัวโดยแท้
ถึงอย่างไรก็ควรต้องหาความบันเทิงมาคลายความอัดอั้นบ้างใช่ไหม
ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง โยนเม็ดหมากไปบนกระดาน แล้วก็เริ่มคำนวณว่าคนที่อาจารย์ของตนพบเจอมา แรกเริ่มนั้นพวกเขามีความรู้สึกดีๆ ต่ออาจารย์มากน้อยเท่าไหร่
ฉีจิ้งชุน ชุยตงซานโยนเม็ดหมากไปบนกระดานสิบเม็ด จากนั้นก็เหลือกตามองบน “เจ้ามันตามีแวว พอใจแล้วใช่ไหม”
จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อผลักเม็ดหมากออกไปจากบนกระดาน
วิญญาณกระบี่ ชุยตงซานไม่โยนไปแม้แต่เม็ดเดียว แต่แล้วก็เหลือกตามองสูงอีกครั้ง พึมพำว่า “ยังคงเป็นเจ้าฉีจิ้งชุนที่ร้ายกาจ พอใจไหม?”
แล้วถึงโยนลงไปหกเม็ด
ก่อนจะปัดเม็ดหมากออกจากกระดานอีกครั้ง
หยางเหล่าโถว หนึ่งเม็ด
อาเหลียง ห้าเม็ด
ชุยตงซานครุ่นคิด “หากเป็นตอนที่มาถึงเมืองหงจู๋”
เพิ่มไปอีกสี่เม็ด
จั่วโย่ว สามเม็ด เห็นแก่หน้าของฉีจิ้งชุนก็เลยเพิ่มอีกสามเม็ด
เว่ยจิ้น ไม่มี
หร่วนฉง สองเม็ด
ชุยตงซานเอาคนที่เฉินผิงอันรู้จักเกือบทั้งหมดมาคิดคำนวณบนกระดานจนครบรอบหนึ่ง
สุดท้ายเขาพลันเต้นผาง นึกขึ้นได้ว่าข้ามเจ้าคนผู้หนึ่งที่น่ารังเกียจที่สุดไป “ซิ่วไฉเฒ่าใจจืดใจดำ เจ้ามันชอบลำเอียงที่สุด!”
สองมือของเขากอดโถเก็บเม็ดหมากใบหนึ่งแล้วเทพรวดลงบนกระดาน
ชุยตงซานขมวดคิ้ว เก็บม้วนภาพแม่น้ำและภูเขาภาพนั้นลงไป เก็บเม็ดหมากทั้งหมดกลับใส่โถ พูดเสียงหนัก “เข้ามา”
—–