กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 440.1 ขัดเกลากระบี่ในยามที่ไม่ฝึกกระบี่
วันนี้มีคนของห้องกระบี่มาที่หน้าเรือนเพื่อแจ้งกับเฉินผิงอันว่ามีกระบี่บินจากต่างถิ่นส่งมาถึงเกาะชิงเสียอีกครั้งแล้ว เฉินผิงอันจึงรีบออกจากห้องไปทันที
หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นจดหมายตอบกลับมาจากจงขุย
แล้วก็จริงดังคาด เมื่อไปถึงห้องกระบี่ที่รับกระบี่บินส่งข่าวจากสี่ด้านแปดทิศ เฉินผิงอันก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากภูเขาไท่ผิง น่าเสียดายก็แต่บนจดหมายจงขุยเขียนว่าช่วงนี้มีธุระเร่งด่วน หัวไชเท้าที่ถอนออกจากดินยังมีโคลนเกาะ (เปรียบเปรยว่าทำงานได้ไม่เรียบร้อยจึงมีปัญหาตามมา) ตามจุดต่างๆ ด้านลางภูเขาของใบถงทวีปยังมีภูตผีปีศาจออกอาละวาดอยู่ทั่ว แม้ว่าจะอันตรายไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ แต่กลับยิ่งทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน ช่างเป็นภูตผีที่ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่หมดไม่สิ้นสักที เขายังหาเวลาปลีกตัวมาไม่ได้ หากว่างเมื่อไหร่จะต้องรีบมาทันที แต่เฉินผิงอันก็อย่าฝากความหวังไว้มากนัก ช่วงนี้เขาจงขุยคงไม่ได้ออกจากใบถงทวีปแน่นอนแล้ว
เฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ถึงอย่างไรตอนนี้จงขุยก็ไม่เพียงแต่ถูกสำนักศึกษาถอดตำแหน่งวิญญูชนออกไปแล้ว ยังมีร่างเป็นภูตผี หากเจอกับปีศาจก่อกำเนิด ไม่มีสถานะของสำนักศึกษาก็เท่ากับว่าสูญเสียยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดไปแผ่นหนึ่งแล้ว
หลังจากความกังวลใจผ่านพ้นไป เฉินผิงอันก็เก็บจดหมายลับ เดินออกจากห้องกระบี่ เริ่มพึมพำอยู่กับตัวเอง สบถด่าจงขุยอยู่ในใจขันๆ ว่าไม่มีคุณธรรม ในจดหมายเขียนถึงข้อมูลซึ่งคล้ายคลึงกับรายงานของทะเลสาบซูเจี่ยนไว้ตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เหยาจิ้นจือร่วมคัดเลือกสาวงามเข้าไปอยู่ในวัง องค์ชายทั้งสามท่านของต้าเฉวียนเริ่มพากันฉายความโดดเด่น เส้นทางชีวิตมีขึ้นมีลง เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอได้รับโชควาสนาเทียมฟ้า จวนปี้โหยวได้เลื่อนขั้นกลายเป็นตำหนักเทพปี้โหยว เรื่องอะไรทำนองนี้ล้วนเล่ามาหมด ทว่าวิชาสั่งผีออกจากใต้ดิน หรือเวทอัญเชิญจิตวิญญาณกลับคืนสู่โลกมนุษย์กลับไม่ได้เขียนลงบนจดหมายแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันไปจากห้องกระบี่ได้ไม่นาน เจ้าเกาะหลิวจื้อเม่าก็มาเยือนที่แห่งนี้อย่างไม่มีลางบอกกล่าว ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนของห้องกระบี่เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว นี่ถือเป็นเรื่องหายากที่พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลย สกัดคงคาเจินจวินแทบไม่เคยก้าวเข้ามาในห้องกระบี่แห่งนี้ หนึ่งเพราะเจ้าเกาะก่อกำเนิดท่านนี้มีเนินกระบี่ขนาดเล็กระดับสูงของตระกูลเซียนที่สามารถรับและส่งกระบี่บินได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวัตถุที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำและสะดวกสบายมากกว่า สองเพราะหลิวจื้อเม่าที่อยู่บนเกาะชิงเสียแทบไม่เคยออกมาข้างนอก เว้นเสียจากว่าไปเยือนจวนชุนถิงอันเป็นที่พักของกู้ช่านในบางครั้ง ก็มีแค่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างหูเถียนจวินและเจ้าเกาะใต้อาณัติทั้งหลายที่จะมีโอกาสได้พบหน้าหลิวจื้อเม่า
หลิวจื้อเม่าไพล่สองมือไว้ด้านหลัง ค้อมเอวก้มหน้าจ้องมองกระบี่บินส่งข่าวจากภูเขาไท่ผิงที่กำลังดูดซับปราณวิญญาณจาก ‘รางหญ้า’ อยู่บนชั้นวางกระบี่ น่าจะต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิง’ นั้นเป็นจริงหรือเท็จ
ในแจกันสมบัติทวีป กระบี่บินส่งข่าวที่มาจากตระกูลเซียนสำนักใหญ่ทุกเล่มมักจะใช้เวทลับเฉพาะสลักชื่อสำนักของตระกูลตัวเองลงไปอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย เดิมทีนี่ก็เป็นการสยบขวัญที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ในแจกันสมบัติทวีป ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพ ศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ล้วนเป็นเช่นนี้ นอกจากนี้แล้ว สวนลมฟ้าที่มีหลี่ถวนจิ่งผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังสามารถกำราบผู้คนได้เป็นอย่างดี กระบี่บินส่งข่าวครึ่งหนึ่งของสวนลมฟ้าก็เป็นหลี่ถวนจิ่งก่อกำเนิดอันดับหนึ่งที่สมศักดิ์ศรีของแจกันสมบัติทวีปที่ใช้ปลายกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตตัวเองสลักตัวอักษรสองคำว่า ‘ลมฟ้า’ ลงไปด้วยมือตัวเอง
เพียงแต่เล่าลือกันว่าหลี่ถวนจิ่งสิ้นชีพในสนามรบและไปจุติใหม่แล้ว สวนลมฟ้าจึงมีคนหนุ่มสองคนอย่างหวงเหอและหลิวป้าเฉียวเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์รับช่วงดูแลต่อ บวกกับที่ศัตรูคู่อาฆาตอย่างภูเขาตะวันเที่ยงได้ลุกผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทัดทานได้ ต่อให้หวงเหอจะเป็นที่น่าจับตามองอย่างถึงที่สุด และหลิวป้าเฉียวก็ถือเป็นผู้ที่มีความหวังบนมหามรรคา แต่สวนลมฟ้าที่ไม่มีหลี่ถวนจิ่งจะยังเป็นสวนลมฟ้าอยู่อีกหรือ? ถึงอย่างไรพลังอำนาจของพวกเขาในทุกวันนี้ก็เทียบกับอดีตไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปต่างก็คาดเดากันว่าหวงเหอเจ้าสวนคนใหม่ที่เปิดตัวมาก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนบนหอเทพเซียนของศาลลมหิมะผู้นั้น จะสามารถแบกภาระหนักอึ้งได้จริงๆ เมื่อไหร่
ขอแค่เจอกับกระบี่บินที่สลักชื่อก็มีผู้ฝึกตนอิสระเพียงหยิบมือเท่านั้นที่กล้าดักเอากระบี่บินมา โดยทั่วไปแล้วแค่ได้เห็นชื่อ พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายปล่อยกระบี่บินกลับไปเอง จะไม่กล้าทำลายตราผนึกออกโดยพลการเพื่อหาหายนะใส่ตัวเด็ดขาด
ตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งอื่นๆ ต่างก็ใจตรงกันอย่างมาก ไม่มีใครที่หน้าใหญ่พอจนกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ทางฝั่งของสำนักกระบี่หลงเฉวียน เซียนดินต่งกู่เคยเสนอความเห็นแก่หร่วนฉงว่า ในเมื่อตอนนี้พวกเราคือสำนักที่มีอักษรคำว่าจงอยู่ในชื่อแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถสลักตัวอักษรลงบนกระบี่บินส่งข่าวได้แล้วหรือเปล่า หร่วนฉงที่แม้จะไม่เคยพูดคุยเล่นหัวกับใคร แต่ก็น้อยครั้งนักที่จะชักสีหน้าใส่ลูกศิษย์ในสำนัก ตอนนั้นกลับหน้าเขียวคล้ำ ทำเอาต่งกู่ตกใจรีบเก็บคำพูดที่เหลือกลับไป และหร่วนฉงก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองมาหนึ่งประโยคว่า ‘สำนักที่ไม่มีก่อกำเนิดสักคนจะถือว่าเป็นสำนักที่มีอักษรคำว่าจงอยู่ในชื่อได้อย่างไร’
ผู้ดูแลห้องกระบี่ปลุกความกล้าถามขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าเกาะ กระบี่บินเล่มนี้ไม่เพียงแต่สลักสามคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิง’ เท่านั้น อีกฝั่งหนึ่งของตัวกระบี่ยังมีตัวอักษรสลักไว้อีก”
หลิวจื้อเม่าอืมรับหนึ่งที ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาหมุนเบาๆ กระบี่บินที่ลอยอยู่กลางรางกระบี่ก็พลิกหมุน เผยให้เห็นสามคำว่า ‘ศาลบรรพจารย์’
หลิวจื้อเม่าหรี่ตาลง ถอนหายใจอยู่ในใจ ดูท่านักบัญชีผู้นั้นจะได้รู้จักกับบุคคลที่ร้ายกาจอย่างมากในใบถงทวีป
ก่อนหน้านี้หลิวจื้อเม่าเป็นฝ่ายลดเกียรติไปขออภัยอีกฝ่ายถึงเรือนด้วยตัวเอง พูดจาตรงไปตรงมากับเฉินผิงอัน เดิมทีหลิวจื้อเม่ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำกล่าวของเฉินผิงอันที่บอกว่า ‘ต้าหลีติดค้างของบางอย่างกับเขา’ ตอนนี้ก็ยังคงไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเชื่อเพิ่มมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ความสงสัยก็ย่อมต้องลดน้อยลงไปส่วนหนึ่ง
กระบี่บินส่งข่าวจากศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง ตระกูลเซียนใหญ่อันดับที่สามของใบถงทวีป
หากนำมาวางไว้ในแจกันสมบัติทวีปที่มีอาณาเขตเล็กสุดในบรรดาเก้าทวีป ก็พอจะเทียบเท่าได้กับกระบี่บินที่ออกมาจากโถงปทุมมาลย์ในมือของฉีเจินเทียนจวินสำนักโองการเทพ
นี่น่าตกใจอย่างมาก
หลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วที่ไม่ค่อยเห็นทะเลสาบซูเจี่ยนอยู่ในสายตาอาจจะไม่สนใจ แต่เขาหลิวจื้อเม่าที่แค่จะเป็นเจ้าของร่วมของทะเลสาบซูเจี่ยนยังยากลำบากขนาดนี้กลับต้องชั่งน้ำหนักให้ดีๆ
กระบี่บินบินข้ามทวีปแล้วย้อนกลับไป ต้องเผาผลาญปราณวิญญาณเยอะมาก กินเงินเทพเซียนเยอะมาก
ผู้ฝึกตนหลายคนที่เป็นผู้ดูแลห้องกระบี่ของเกาะชิงเสียเคยปรึกษากันด้วยเรื่องนี้โดยเฉพาะ นอกจากเรื่องที่ต้องรายงานเถียนหูจวินว่ากระบี่บินบินมาจาก ‘ภูเขาไท่ผิง’ แล้ว ควรจะต้อง ‘ถือโอกาส’ พูดถึงเรื่องเงินร้อนน้อยหลายเหรียญนั่นด้วยไหม เพียงแต่ว่าพอชั่งน้ำหนักดูแล้ว ทุกคนก็กัดฟัน ตัดสินใจว่าจะไม่นำเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไปรบกวนเถียนหูจวิน สุดท้ายทุกคนของห้องกระบี่ก็ช่วยกันควักกระเป๋า จัดการกับค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญนี้ไป ทุกคนทั่วทั้งเกาะชิงเสียสมควรจะช่วยกันแบ่งเบาภาระ มีทุกข์ร่วมต้านนี่นะ
หลิวจื้อเม่าดึงสายตากลับมา หันหน้าไปถาม “กระบี่บินเล่มนี้กินเงินเทพเซียนของห้องกระบี่ ท่านเฉินได้พูดอะไรหรือไม่?”
ผู้ดูแลห้องกระบี่ส่ายหน้า “ไม่เคย ดูเหมือนว่าท่านเฉินจะไม่ค่อยเข้าใจกฎของห้องกระบี่สักเท่าไหร่”
หลิวจื้อเม่ายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าได้บอกท่านเฉินเป็นนัยๆ บ้างไหม? กฎเป็นอย่างนี้ พูดไปก็ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นวันหน้าห้องกระบี่ย่อมต้องขาดทุนแน่นอน”
ผู้ดูแลหลักขนลุกขนชันอยู่ในใจ รีบตอบทันทีว่า “ทางห้องกระบี่ไม่เคยบอกเป็นนัยเลยแม้แต่นิดเดียว!”
หลิวจื้อเม่าพูดพึมพำกับตัวเอง “ท่านเฉินผู้นี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งไม่ทำตัวห่างเหินกับเกาะชิงเสียเราแล้วนะ อืม อันที่จริงก็เป็นเรื่องดี”
หลิวจื้อเม่าถามอีก “เมื่อสองวันก่อนท่านเฉินมาส่งจดหมายอีกสองฉบับกลับบ้านเกิดจากที่นี่งั้นรึ?”
ผู้ดูแลหลักพยักหน้ารับ “ล้วนเป็นกระบี่บินที่ส่งข่าวไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียน แต่ว่าต่างกันเล็กน้อย ฉบับหนึ่งส่งไปภูเขาพีอวิ๋น อีกฉบับหนึ่งส่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว”
หลิวจื้อเม่าพลันถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าท่านเฉินผู้นี้คบค้าสมาคมด้วยง่ายหรือไม่?”
ทุกคนของห้องกระบี่หันมามองหน้ากัน หลิวจื้อเม่าเห็นเช่นนั้นจึงโบกมือ “ช่างเถิด พวกเจ้าเดินไปไม่ถึงก้าวนั้นอยู่แล้ว”
หลิวจื้อเม่าก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ไปจากห้องกระบี่ที่ปราณกระบี่ปะปนกันวุ่นวาย กลับไปยังจวนเหิงโปของตนโดยตรง
เถียนหูจวินที่ก่อนหน้านี้มารายงานข่าวกับเขาด้วยตัวเองยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา หลิวจื้อเม่ากล่าวว่า “ไปค้นหาตามที่เฉินผิงอันต้องการ ไม่ว่าต้องเปลืองกำลังคนและทรัพยากรมากเท่าไหร่ก็ต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียในช่วงนี้ จำไว้ว่าอย่าทำให้โจ่งแจ้งใหญ่โตเกินไปนัก แค่ทำให้สำเร็จเงียบๆ ก็พอ คราวหน้าก็พาคนกลับมาเกาะชิงเสียด้วย เฉินผิงอันฉลาดมากพอ แล้วนี่ก็ไม่ใช่การคบค้าสมาคมกับจวนชุนถิง พวกเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องวาดงูเติมขา”
เถียนหูจวินพยักหน้ารับคำสั่ง ไม่ได้พูดอะไรที่เกินความจำเป็นแม้แต่คำเดียว ถึงอย่างไรอาจารย์ของนางท่านนี้ก็ไม่ชอบฟังสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะพูดจาประจบยกยอเป็นกระบุงโกย ไม่สู้ทำงานเล็กๆ ให้ได้รับบันทึกไว้บนบัญชีคุณความชอบ อาจารย์ต้องมองเห็นอยู่แล้ว
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “วันนี้ห้องกระบี่ทำเรื่องดีอย่างที่หาได้ยาก คนสี่คนที่รวมถึงผู้ดูแลหลักนับว่าฉลาดพอสมควร เจ้าไปลบบันทึกที่พวกเขาแอบยักยอกเงินในช่วงร้อยปีนี้บนเอกสารลับออกซะ ถือซะว่าเงินฝนธัญพืชที่ได้มาด้วยการไม่รักษากฎสี่สิบกว่าเหรียญนั้นเป็นค่าตอบแทนเพิ่มเติมที่แม้พวกเขาจะไม่มีคุณความชอบก็ยังมีคุณความเหนื่อยยาก”
เถียนหูจวินพยักหน้ารับ เดิมทีหากอิงตามกลยุทธ์ที่อาจารย์กำหนดไว้แล้ว หลังจากได้กลายเป็นเจ้าแห่งยุทธภพจะต้องมีการตบรางวัลให้ขุนนางผู้มีคุณความชอบและการเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง ดำเนินการสองแนวทางไปพร้อมกัน บางส่วนคือเปิดเผยอยู่บนโต๊ะ บางส่วนจัดการลับๆ อยู่ใต้โต๊ะ เพียงแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป มีหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วเพิ่มมาคนหนึ่ง การทำอย่างแรกจึงไม่เหมาะสมแล้ว ได้แต่ถ่วงเวลาออกไป รอให้สถานารณ์ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทว่าการกระทำที่โง่เง่าของพวกไม่รู้ความบางคนชักนำให้อย่างหลังยิ่งเพิ่มระดับความยากมากขึ้น ใครจะกล้ามาหาเรื่องซวยในเวลานี้ นั่นย่อมต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลัง บวกกับการใช้กฎอันเข้มงวดในช่วงเวลาที่วุ่นวาย คงต้องมีคนตายจริงๆ
เถียนหูจวินออกไปจากจวนเหิงโปอย่างเงียบเชียบ
กลับไปยังเกาะซู่หลินที่ตัวเองบุกเบิกพื้นที่ก่อสร้างจวน เหล่าหญิงรับใช้ในจวนที่เจอกับ ‘บรรพจารย์’ เซียนดินท่านนี้ แต่ละคนพากันมาเอาอกเอาใจ บางคนก็พอจะมีความจริงใจอยู่บ้าง แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ
สำหรับเรื่องพวกนี้ เถียนหูจวินไม่มีความชื่นชอบหรือรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ขอข้าวกินอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่ทำอย่างนี้ หากไม่ต้องเป็นวัวเป็นม้ารับใช้คนอื่นไปชั่วชีวิต อาจอนาถยิ่งกว่านั้นคือค่อยๆ หิวตาย
นางบอกให้ผู้เฒ่าคนสนิทสองคนที่ย้ายมาอยู่ที่จวนบนเกาะซู่หลินกับตนนำเรื่องที่เฉินผิงอันเสนอและหลิวจื้อเม่าสั่งความ แยกกันไปบอกกล่าวแก่ห้องตกปลาของเกาะชิงเสียที่มีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องทำนองนี้มากที่สุด รวมไปถึงบอกแก่เกาะใต้อาณัติสองแห่งที่สนิทสนมกันดีกับนาง ให้พวกเขาร่วมมือกันไปทำเรื่องนี้ให้ดี
นางเดินอยู่บนทางลับที่ยาวหลายลี้เพียงลำพัง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ห้องลับที่นางใช้ตั้งใจฝึกตนซึ่งตั้งอยู่กลางเกาะเบื้องใต้จวนของเกาะซู่หลิน ยิ่งเดินลงไปข้างล่าง โชคชะตาน้ำที่เกิดจากปราณวิญญาณบริสุทธิ์ก่อตัวกันก็ยิ่งเข้มข้น คำว่าห้องลับนี้ แท้จริงแล้วก็มีแค่เก้าอี้ตัวหนึ่งวางไว้ข้างลำคลองใต้ดินเส้นหนึ่งเทานั้น ตลอดทั้งพื้นที่ใต้ดินเป็นสีเขียวเข้มที่เป็นภาพการจำแลงของโชคชะตาน้ำ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น กลางผนังเหนือศีรษะของห้องลับยังมีแสงจันทร์สีเงินยวงส่องลอดออกมาเป็นเส้นๆ จากนั้นก็พากันไหลกรูเข้าไปในปากของเจียวหลงหลายตัวที่สลักไว้บนเก้าอี้ตัวนั้น
เมื่อเถียนหูจวินนั่งลงบนเก้าอี้มังกรเก่าแก่ที่สภาพทรุดโทรมตัวนั้น นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม สองมือกุมที่วางแขนเก้าอี้ มีปราณของเจียวหลงและปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำพากันแทรกซึมเข้ามากลางฝ่ามือของนางอย่างต่อเนื่อง ไหลกรูกันเข้าหาช่องโพรงลมปราณทั้งหลายในร่างอย่างบ้าคลั่ง ปราณวิญญาณสั่นกระเพื่อม ขัดเกลาตบะให้เพิ่มพูน
ใบหน้าของเถียนหูจวินบิดเบี้ยว บนใบหน้ามีทั้งความเจ็บปวดแล้วก็ความปิติสุข
เหงื่อไหลท่วมทั่วร่าง
หนึ่งชั่วยามต่อมา เถียนหูจวินลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจสกปรกขุ่นมัวออกมาหนักๆ โบกชายแขนเสื้อเบาๆ ลมปราณขุ่นมัวเฮือกนั้นก็ไหลตามลำคลองใต้ดินหายเข้าไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่อาจกัดเซาะแทรกซอนปราณวิญญาณอันล้ำค่าของสถานที่แห่งนี้ได้
เถียนหูจวินเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความพึงพอใจ บนเส้นทางของการฝึกตน ความลำบากยากเข็ญที่ต้องพบเจอทำให้คนหวาดกลัว ทว่าความสุขที่ได้จากมันก็เหนือกว่าความรักระหว่างชายหญิงบนโลก ดังนั้นในสายตาของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่ผลัดครรภ์เปลี่ยนกระดูก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนเซียนดิน คำสาบานว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลายและจะยึดมั่นในสัญญาไม่แปรเปลี่ยนระหว่างชายหญิงก็แค่ทำให้เจ็บๆ คันๆ ได้เท่านั้น แต่ก็ไม่มีเรื่องใดที่ตายตัวเสมอไป หากมหามรรคาเกี่ยวพันกับด่านความรัก ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ยังต้องแปดเปื้อนดินโคลนเต็มตัว แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ให้ตายก็ไม่ยอมดึงตัวให้หลุดพ้นออกมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
—–