กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 442.2 นกหายสาบสูญไปในโพรงน้ำแข็ง
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา กางนิ้วทั้งห้าออก “บวกรวมเจิงเย่ เจ้าและข้า แค่พวกเราสองคน อันที่จริงก็ถือว่าสามารถดึงออกมาได้เดี่ยวๆ กลายเป็นเส้นที่ห้าแล้ว”
นางหัวเราะหยัน “เฉินผิงอัน คงไม่ใช่ว่าเจ้าคบค้าสมาคมกับพวกวัตถุหยินเหล่านั้นมากเข้าก็เลยเสียสติ ธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้วกระมัง? ก็เลยไม่คิดจะหันหลังกลับ ถือโอกาสนี้เปลี่ยนเข้าสู่วิถีมารมันเสียเลย? ทำไม จิตใจทะเยอทะยานเทียมฟ้า นึกอยากจะเลียนแบบเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้น โดยเริ่มจากการเป็นผู้ปกครองร่วมของทะเลสาบซูเจี่ยนก่อน? ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ท่านเฉินรู้จักบุคคลที่ร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ อาศัยพวกเขา มีอะไรที่ทำไม่ได้เล่า หนีชิวน้อยที่ไม่เข้าตาท่านอย่างข้าไม่ใช่ที่พึ่งยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาสูงตระหง่านที่อยู่เบื้องหลังท่านเสียด้วย แค่พวกเขาขยับนิ้วเดียวก็บดขยี้ข้าให้ตายได้แล้ว”
เฉินผิงอันหัวเราะ เขาคิดว่าคำพูดเหล่านี้น่าสนใจมากจริงๆ อีกทั้งยังเป็นการมอบความเป็นไปได้ในการรับรู้อย่างหนึ่งให้แก่ตนด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เส้นนี้ของทั้งสองฝ่ายจึงยิ่งชัดเจนมากขึ้น
พอเขาหัวเราะ บรรยากาศตึงเครียดในห้องจึงผ่อนคลายลงหลายส่วน
เฉินผิงอันผายมือบอกให้นางนั่งลงคุยกัน ส่วนเขาหมุนตัวเดินตรงไปที่โต๊ะหนังสือ
เปิดเผยแผ่นหลังให้นางทั้งอย่างนี้
นางทั้งไม่ได้ลงมือ แล้วก็ไม่ได้ถอยหนี “ในเมื่อท่านเฉินเป็นบัณฑิตที่ชอบรักษากฎเกณฑ์ถึงเพียงนี้ ถ้าอย่างนั้นข้ายืนพูดนั่นแหละดีแล้ว”
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ หยิบเตาอุ่นมือขึ้นมาถือไว้ในมือ จากนั้นก็ถูมือสองข้างเข้าด้วยกันแล้วเป่าลมใส่ฝ่ามือ “จะเล่าเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังแล้วกัน ปีนั้นข้าเพิ่งออกจากถ้ำสวรรค์หลีจู เดินทางไกลไปถึงต้าสุย ออกจากเมืองหงจู๋ได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เจอกับบัณฑิตอายุมากคนหนึ่งบนเรือข้ามฝาก เขาเองก็ช่วยพูดทวงความยุติธรรมให้คนอื่นเช่นกัน ทั้งๆ ที่คนอื่นไร้เหตุผลก่อน แต่เขากลับขัดขวางไม่ให้ข้าใช้เหตุผล ตอนนั้นข้าคิดแล้วก็ไม่เคยเข้าใจ ความสงสัยจึงกดทับอยู่ในใจตลอดมา ตอนนี้ต้องยกความดีความชอบให้ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้า เพราะข้าพอจะเข้าใจความคิดของเขาได้แล้ว เขาอาจจะไม่ถูกเสมอไป แต่ก็ไม่ได้ผิดจนเกินจะทนรับได้อย่างที่ข้าคิดในตอนแรก ส่วนข้าในตอนนั้น อย่างมากสุดก็แค่ไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้ถูกสักเท่าไหร่เหมือนกัน”
เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมหนึ่งวง
“ในยุทธภพ ดื่มเหล้าคือยุทธภพ กระทำการชั่วร้ายคือยุทธภพ ผดุงคุณธรรมคือยุทธภพ ลมคาวฝนเลือดก็ยังคงเป็นยุทธภพ บนสนามรบเจ้าฆ่าข้า ข้าสังหารเจ้า กระโจนเข้าหาความตายอย่างองอาจ กองกระดูกขาวโพลนถมสูงคือสนามรบ สังหารทหารหลายแสนคนก็คือสนามรบ ซากปรักหักพังแห่งสนามรบที่จิตวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้าไม่ยอมสลายไปก็ยังคงเป็นเช่นเดียว ในราชสำนัก ปกครองบ้านเมืองดูแลประชาชน อุทิศตนสุดชีวิตคือราชสำนัก เข้าแทรกแซงทางการเมือง กลุ่มคนชั่วสมคบคิดกันคือราชสำนัก กษัตริย์อายุน้อยครองราชย์ ชาวประชาเกิดความกังขา สตรีนั่งบัญชาหลังม่าน ก็ยังคงเป็นราชสำนัก เคยมีคนบอกกับข้าว่า บ้านเกิดที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวเคยมีคนที่เรียกรวมเพื่อนพ้องมาสังหารทหารของทางการทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือบิดาที่ทำความผิด ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนมองว่าเป็นคนที่มีความกตัญญู ท้ายที่สุดยังได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ ทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ แล้วก็มีคนที่ทำเพื่อมิตรภาพ เมื่อได้ยินว่าสหายตายก็เดินทางไกลพันลี้ สังหารคนในครอบครัวของศัตรูคู่แค้นของสหายจนสิ้นภายในค่ำคืนเดียวแล้วแอบหนีไปกลางดึก ผลคือถูกคนมองว่าเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญที่ชอบผดุงคุณธรรม เขาถูกทางการไล่ฆ่าไกลนับพันลี้ ระหว่างทางมีคนคอยช่วยเหลือไว้มากมาย ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่คนผู้นี้ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากคนนับไม่ถ้วน หลังตายไปยังถึงขั้นถูกระบุชื่อไว้ในรายนามของจอมยุทธพเนจรอีกด้วย”
เฉินผิงอันวาดวงกลมอีกวงที่ใหญ่กว่าเดิม “ตอนแรกข้าก็รู้สึกไม่เห็นด้วย รู้สึกว่าหากข้าเจอคนประเภทนี้ จะต่อยเขาให้ตายด้วยสองหมัดข้ายังรังเกียจว่ามากไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้าคิดจนเข้าใจแล้ว นี่ก็คือประเพณีนิยมของทั้งใต้หล้าในเวลานั้น คือองค์รวมของความรู้ทั้งหมด ก็เหมือนกับความรู้ของตรอกหนีผิงหลายๆ ตรอก เมืองหงจู๋หลายๆ เมือง และนครอวิ๋นโหลวหลายๆ แห่งที่มาเจอกัน ผสานรวมเข้าด้วยกันแล้วแสดงออกมา นี่ก็คือประเพณีพื้นบ้านที่แต่ละครอบครัวอบรมสั่งสอนกันมา คือศีลธรรมอันดีของสังคมที่คนในยุคสมัยนั้นล้วนยอมรับ เพียงแต่ว่าเมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลรินไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง กาลเวลาผันผ่าน ทุกอย่างก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไป หากข้ามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยนั้นก็อาจจะรู้สึกเลื่อมใสคนประเภทนี้ด้วยเช่นกัน อย่าว่าแต่ต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียวเลย ไม่แน่ว่าเมื่อพบหน้ากัน ข้าอาจยังกุมหมัดคารวะพวกเขาด้วยซ้ำ”
“จุดที่นักพรตผู้เฒ่าคนหนึ่งเล่นงานข้าได้อย่างลึกล้ำที่สุดก็คือจุดนี้ เขาให้ข้าดูกาลเวลาสามร้อยปีที่ไหลรินผ่านไป อีกทั้งข้ายังกล้ายืนยันว่า นั่นคือช่วงหนึ่งที่กาลเวลาไหลผ่านไปค่อนข้างช้า อีกทั้งยังเป็นช่วงตอนหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่วิถีทางโลกค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบด้วย เขาแสดงให้ข้าได้เห็นอย่างพอดี ไม่มากแล้วก็ไม่น้อยเกินไป หากน้อยไปก็มองไม่ออกถึงแก่นของความลี้ลับมหัศจรรย์ในความรู้ของสายที่นักพรตผู้เฒ่าเลื่อมใส หากมากไปก็จะต้องย้อนกลับไปยังสายบุ๋นอันเป็นความรู้ของท่านผู้เฒ่าอีกท่านหนึ่ง”
ดูเหมือนว่าตอนนี้เฉินผิงอันจะหนาวมาก ไหล่ของเขาลู่ลง มือทั้งสองข้างไม่อยู่ห่างจากเตาอุ่นมือเลยแม้แต่นาทีเดียว เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าก็ดี หลิวจื้อเม่าก็ช่าง เมื่อเทียบกับนักพรต ‘หนุ่ม’ อีกท่านหนึ่งแล้ว เทพเซียนแห่งลัทธิเต๋าที่ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างแท้จริงเหล่านี้ล้วนห่างชั้นกับเขาไม่ใช่แค่หนึ่งแสนแปดพันลี้เท่านั้น”
เฉินผิงอันกระดกคางชี้ไปทางนาง “ท่ามกลางจิตใจและนิสัยดั้งเดิมควรจะมีผืนนาแห่งหัวใจอยู่ผืนหนึ่งที่เต็มไปด้วยดินโคลนเละเทะ ต่อให้ต้นกำเนิดสายน้ำของเจ้าจะใสสะอาดแค่ไหน แต่ก็จะเหมือนกับน้ำในร่องคูที่ขอแค่ไหลลงไปในผืนนาก็จะต้องขุ่นมัว ยกตัวอย่างเช่นส่วนลึกในใจของทุกคนล้วนมีความขัดแย้งกับตัวเองโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด ศึกตรีจตุของปีนั้นและถิ่นแห่งความไร้กังวลอย่างธวัลทวีปจึงกลายมาเป็นความสุดขั้วสองอย่างพอดี ทำไม ฟังไม่เข้าใจใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดอะไรที่เจ้าพอจะฟังได้เข้าใจก็แล้วกัน”
“ช่วงเวลาที่ต้องแบ่งแยกถูกผิด เมื่อคนผู้หนึ่งลองวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราวจะเห็นว่ามีคนไม่น้อยที่ไม่ถามถึงถูกหรือผิด ทว่าจะเอาแต่ปกป้องคนอ่อนแออย่างเดียว ไม่ชอบคนที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด คาดหวังอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะตกลงมาจากแท่นบูชาเทพ หรืออาจยังถึงขั้นเข้มงวดกับคนดี หวังอย่างยิ่งให้อริยะผู้มีคุณธรรมเกิดจุดด่างพร้อย ขณะเดียวกันก็เลื่อมใสศรัทธาต่อการทำดีในบางครั้งของคนชั่วอย่างสุดจิตสุดใจ อันที่จริงหลักการเหตุผลนี้ไม่ได้ซับซ้อน นี่ก็คือ ‘หนึ่ง’ เล็กที่พวกเรากำลังแย่งชิงกันอยู่ พยายามจะชั่งน้ำหนักให้เท่าเทียม ไม่ให้คนเพียงหยิบมือได้ยึดครองมันมากเกินไป นี่ไม่เกี่ยวกับว่าดีหรือเลวสักเท่าไหร่แล้ว ขยับไปพูดกันอีกก้าว อันที่จริงนี่มีผลประโยชน์ต่อพวกเราทุกคน เพราะจะยิ่งสามารถแบ่ง ‘หนึ่ง’ ใหญ่นั้นได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น ไม่มีใครเดินไปได้สูงเกินหรือไกลเกิน ไม่มีใครอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำเกินไป ก็เหมือน…ตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ตัวที่ใหญ่หน่อยก็กระโดดได้ไกลและสูงหน่อย ตัวที่อ่อนแอก็จะถูกกระชากให้เดินไปข้างหน้า ต่อให้จะถูกเชือกเส้นนั้นกระชากไปชนไปกระแทก หัวแตกเลือดไหลอาบ บาดแผลเต็มร่าง แต่กลับไม่หลุดร่วงออกไปจากกลุ่ม สามารถเกาะกลุ่มกันหาความอบอุ่น ไม่มีทางถูกนกจับกินเป็นอาหารได้ง่ายๆ ดังนั้นเหตุใดคนมากมายขนาดนั้นบนโลกชอบใช้เหตุผล แต่คนข้างกายกลับไร้เหตุผล กระนั้นพวกเขาก็ยังมีความสุขดี เพราะนี่เป็นผลมาจากสันดานเดิมที่อยู่ในผืนนาหัวใจ เมื่อวิถีทางโลกเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นว่าคนที่ใช้เหตุผลต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าเดิม ไม่ใช้เหตุผลกลายเป็นเงินทุนในการมีชีวิตอย่างสงบสุข เมื่ออยู่ข้างกาย ‘ผู้แข็งแกร่ง’ ประเภทนี้ก็จะสามารถช่วงชิงสิ่งของที่จับต้องได้จริงมาได้มากกว่าเดิม คำกล่าวที่ว่าช่วยเหลือญาติมิตรไม่ช่วยเหลือคนที่มีเหตุผลก็เป็นเช่นนี้เอง มารดาของกู้ช่านอยู่ข้างกายเจ้าและกู้ช่าน หรือแม้แต่อยู่ข้างกายหลิวจื้อเม่ากลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่า ก็คือเหตุผลนี้เช่นกัน ไม่ได้บอกว่าในเรื่องนี้นาง…ทำผิด เพียงแต่ว่าเส้นสายหนึ่งที่จุดเริ่มต้นไม่ถือว่าผิดขยายยาวออกไปอย่างต่อเนื่องก็จะเหมือนรากบัวและไม้ไผ่ จะเกิดความขัดแย้งมากมายหลายอย่างกับกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดมาไว้แล้ว แต่พวกเจ้าไม่มีทางสนใจรายละเอียดปลีกย่อยพวกนั้น พวกเจ้ามีแต่จะคิดชนสะพานให้หัก เติมร่องน้ำให้เต็ม ดังนั้นข้าจึงพูดกับกู้ช่านว่า เขาฆ่าคนบริสุทธิ์ไปมากมายขนาดนั้น แท้จริงแล้วคนบริสุทธิ์เหล่านั้นก็คือข้าเฉินผิงอันและเขากู้ช่านในตรอกหนีผิงของปีนั้นคนแล้วคนเล่า แต่เขาก็ยังฟังไม่เข้าหู”
“ข้าอยู่ที่นี่ ทำอะไรไปมากมายขนาดนี้ สักวันหนึ่งจะเป็นดั่งก้อนหินที่ผุดขึ้นมาหลังน้ำลด นี่ก็เพื่อให้เขากู้ช่านได้เบิกตากว้างแล้วมองดูให้ดีๆ ไม่ฟังเหตุผลก็ตามใจเจ้า แต่ข้าเฉินผิงอันที่อยู่ที่นี่ นอกจากจะช่วยเขาแล้ว ยังช่วยแก้ไขชดเชยความผิดพลาดของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือต้องการให้เขาเข้าใจหลักการข้อหนึ่งที่อยู่นอกเหนือตำรา หลักการที่ว่าอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน อย่างมากสุดสองปี เมื่อผู้ฝึกตนคนหนึ่งได้ยืนอยู่บนตำแหน่งสูงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสังหารคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อมาสร้างบารมีให้กับตัวเองอีก แต่กระนั้นข้าก็ยังสามารถมีชีวิตที่มั่นคงและยืนได้สูงยิ่งกว่าเขากู้ช่าน”
นางทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่า “ทำไม อยากจะพูดว่าเป็นเพราะข้ามีที่พึ่งมากมาย และในมือก็มีสมบัติอาคมอยู่มาก? เจ้ากับกู้ช่านไม่อาจเทียบข้าได้? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ข้าเป็นคนไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้มาด้วยตัวเอง? พูดให้พวกเจ้าฟังทีละคำ พวกเจ้าไม่มีทางเข้าใจ เพราะพูดไปแล้ว พวกเจ้าเข้าใจเหตุผลดี แต่กลับทำไม่ได้ นี่น่าสนใจมากเลยใช่ไหม? นี่เกิดจากจิตดั้งเดิม เพราะในช่วงเวลาที่จิตใจของพวกเจ้าขึ้นรูปเหมือนภาชนะกึ่งสำเร็จรูปกลับไม่มีคนคอยโน้มน้าวชี้นำ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ต่อให้มีคนคนนั้นอยู่ข้างกายจริงๆ ข้าว่าก็คงเสียเวลาเปล่าอยู่เหมือนเดิม พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเจ้ากลับไม่รู้เลยว่าควรต้องเป็นคนเลวที่ฉลาดอย่างไร ดังนั้นจึงยิ่งไม่ยินดี และยิ่งไม่รู้ว่าควรจะเป็นคนดีที่ฉลาดอย่างไร”
หนีชิวน้อยตัวนั้นกัดริมฝีปาก เงียบไปครู่หนึ่ง ประโยคแรกที่เปิดปากพูดก็คือ “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าบีบบังคับให้ข้าต้องฆ่าเจ้าวันนี้!”
เฉินผิงอันเอียงศีรษะน้อยๆ ยิ้มถามว่า “ทำไมต้องฆ่าข้า? ข้าฆ่าแล้วก็ไม่เท่ากับว่าเจ้ากับกู้ช่าน และยังมีจวนชุนถิงต้องขาดที่พึ่งอย่างหนึ่งไปหรอกหรือ? เห็นไหม เมื่อครู่นี้บอกว่าเจ้าโง่ เลวแล้วยังเลวแบบโง่อีก แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับ”
ใต้ฝ่าเท้าของนางเกิดเสียงรองเท้าเสียดสีพื้นเบาๆ
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน เขาชี้นิ้วไปทางที่พักของเด็กหนุ่มเจิงเย่
“ที่นั่นมีคนดีอยู่คนหนึ่ง อายุไม่มากเหมือนกัน ไม่ว่าเรียนอะไรก็ล้วนเชื่องช้า แต่ข้ายังคงหวังว่าเขาจะสามารถใช้ตัวตนของคนดีมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีในทะเลสาบซูเจี่ยน เพียงแต่ว่านี่อาจจะไม่สบายนัก แต่ก็ยังมีความหวัง แน่นอนว่าหากข้าค้นพบว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงเขาได้ หรือพบว่าความเจ้าอุบายและมากแผนการของข้าอย่างที่เจ้าพูดถึงยังคงไม่อาจรับรองได้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็จะปล่อยเขาไป ให้เขาเจิงเย่ใช้วิธีที่ตัวเองถนัดที่สุดมีชีวิตไปตามยถากรรมอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน”
เคยมีรายละเอียดอยู่ข้อหนึ่ง เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งมา แต่เจิงเย่กลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เขาลืมหิ้วม้านั่งเข้าห้องมาด้วย
หากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่การไม่รู้ความของเด็กหนุ่มเจิงเย่ อายุน้อยเกินไป นิสัยซื่อสัตย์ ในดวงตาจึงมองไม่เห็นเรื่องราวใดๆ
ถ้าอย่างนั้นตอนที่เขาฝึกตนกลับยังแบ่งสมาธิไปมองนอกหน้าต่างตามสายตาของเฉินผิงอัน นี่ทำให้เฉินผิงอันจนใจเล็กน้อย แต่ก็สามารถอธิบายได้เช่นกัน เพราะยังเด็กไม่รู้ประสา ขาดการขัดเกลาฝึกฝนตัวเอง เขาจึงรอให้เจิงเย่เติบโตได้ บนกระดานหมากล้อม ทุกก้าวล้วนเชื่องช้าแต่ไร้ข้อผิดพลาด ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิดถึงผลแพ้ชนะให้มากความรู้ เพราะสุดท้ายโอกาสชนะก็ยังมากกว่าอยู่ดี แต่หากสวรรค์ต้องการให้คนตายจริงๆ นั่นก็คือชะตากรรม ก็เหมือนประโยคที่เฉินผิงอันพูดกับเจิงเย่ เมื่อถึงเวลานั้น ขอแค่ถามใจแล้วไม่ละอายก็ค่อยไปโทษคนบ่นฟ้า
แต่เรื่องหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันสะทกสะท้อนใจมากที่สุดก็คือ เมื่อเขาจับได้ถึงต้นกล้าความคิดที่แตกหน่อขึ้นมา จึงจำเป็นต้องพูดจาให้ชัดเจน จำเป็นต้องตีกระทบลงบนจิตใจของเด็กหนุ่มที่ความคิดเริ่มหวั่นไหวเป็นครั้งแรก บอกกับเจิงเย่อย่างตรงไปตรงมาว่า ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ซื้อขายกันเท่านั้น ไม่ใช่อาจารย์และศิษย์ และเฉินผิงอันก็ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาหรือผู้ปกป้องมรรคาของเขา
หากจะบอกว่าเจิงเย่สันดานไม่ดี ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ หลังจากผ่านหายนะแห่งความเป็นความตายมาแล้ว เขากลับยังคงมีศรัทธาในตัวอาจารย์และเกาะเหมาเยว่ และนี่ก็กลับกลายมาเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เฉินผิงอันยินดีเก็บเขาไว้ข้างกายมากที่สุด น้ำหนักของมันไม่ได้น้อยไปกว่าฐานกระดูกในการฝึกตนและคุณสมบัติในการฝึกวิชาผีของเจิงเย่เลย
แต่ต่อให้เจิงเย่จะเป็นเช่นนี้ เป็นเด็กหนุ่มที่ทำให้เฉินผิงอันพอจะมองเห็นเงาร่างของตัวเองในอดีตยามที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน และเมื่อลองสืบสาวอย่างละเอียด เขาเองก็เป็นคนที่ไม่อาจทนรับการทุบตีที่หนักหนาเกินไปได้เช่นกัน
เจิงเย่ที่นิสัยตรงกันข้ามกับกู้ช่าน ทุกคำพูดการกระทำและประสบการณ์บนเส้นทางของหัวใจของเจิงเย่หลังจากนี้ เดิมทีจะต้องเป็นเส้นสายที่สี่ที่เฉินผิงอันจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
แต่พอเรื่องราวดำเนินมาถึงเข้าจริงๆ เฉินผิงอันกลับล้มเลิกความตั้งใจเดิม เขายังคงหวังว่าเจิงเย่จะไม่เดินทางผิด หวังว่าระหว่างสองขั้วของไม้บรรทัดที่ด้านหนึ่งคือ ‘แย่งชิงมาด้วยตัวเอง’ และอีกด้านหนึ่งคือ ‘คนอื่นมอบให้’ นี้ เจิงเย่จะเจอสถานที่หยัดยืนที่จะไม่ทำให้จิตใจของตัวเองสั่นคลอนไม่มั่นคง
แต่ก็ไม่เป็นไร ขณะเดียวกันกับที่ยื่นมือเข้าแทรกเปลี่ยนแปลงทิศทางของเส้นทางนั้นไปเล็กน้อย เส้นก็ยังคงเป็นเส้นเดิม ก็แค่วงโคจรบิดเบือนไปเท่านั้น ยังคงเดินไปดูได้เหมือนเดิม เพียงแค่ว่าจะแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับเลือดที่เปรอะท่วมร่างของสตรีตรงหน้า และมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเดินไปจนสุดเส้นทางดำมืด ทางสายนี้ของเจิงเย่ ชีวิตของเด็กหนุ่มกลับยังคงเต็มไปด้วยความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน ยังคงมีโอกาสที่จะเดินไปสู่ความดีงาม
ส่วนน้ำในผืนนาหัวใจของเจิงเย่จะมีวันใดประสบภัยหายนะ เปลี่ยนจากสถานที่ที่ดีงาม ไหลไปสู่ความสุดขั้วจนหันกลับมาเป็นปรปักษ์กับตัวเองหรือไม่ เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะฝืนเขา
ในกฎเกณฑ์ล้วนมีความอิสระเสรี แล้วก็มีค่าตอบแทนที่ควรต้องจ่ายเช่นกัน
คนเราย่อมต้องมีช่วงเวลาที่กำลังหมดลง ขนาดกับกู้ช่าน เขาเฉินผิงอันยังยอมแพ้แล้ว ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ากู้ช่านหยุดฆ่าหยุดทำผิด เขาก็ได้แต่ตัดขาดและขีดเส้นจำกัดกับกู้ช่านอย่างสิ้นเชิงแล้วหันไปทำเรื่องเหล่านั้นเพื่อตัวเอง
มีเจิงเย่เพิ่มขึ้นมาอีกคน จะเป็นไรไป?
—–