กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 444.1 กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม
เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านราตรีอยู่เนิ่นนาน
เขายืนอยู่ใต้ชายคา ในมือถือเตาอุ่นมือ
กู้ช่านร้องไห้ปานจะขาดใจ คล้ายสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ
ต่อให้ตอนนี้เฉินผิงอันจะหันมามองกู้ช่านอีกครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เปิดปากพูดอะไร ปล่อยให้กู้ช่านร้องคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเปรอะเปื้อนทั้งน้ำมูกน้ำตา
กู้ช่านร้องไห้จนร่างเกร็งกระตุก ร้องจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้น พอสะสมแรงได้เล็กน้อยแล้วก็เริ่มโหยไห้เสียงแหบเสียงแห้งอีกครั้ง เขาร้องไห้ราวกับควักเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีออกมาใช้แล้ว
เฉินผิงอันถามเนิบช้าว่า “ทำไมถึงไม่ขอร้องข้า? เป็นเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อย่างนั้นหรือ? ไม่ยินดีจะเสียโอกาสครั้งสุดท้ายไป เพราะหากช่วยเปิดปากขอร้องแทนถานเซวี่ย ข้าจะไม่เพียงแต่ไม่ติดค้างจวนชุนถิง ไม่ติดค้างพวกเจ้าสองแม่ลูก กับเจ้ากู้ช่านเองก็เหมือนกัน แม้แต่เยื่อใยน้อยนิดก็จะไม่เหลืออยู่อีก เป็นแบบนี้ใช่ไหม? ในที่สุดก็รู้แล้วว่าต่อให้มีถานเซวี่ยอยู่ด้วย ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีชีวิตอยู่รอดในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ เปลี่ยนถานเซวี่ยมาเป็นข้าเฉินผิงอัน ให้มาทำเป็นหน้าที่เทพทวารบาลของจวนชุนถิงพวกเจ้า ไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองแม่ลูกอาจจะยังมีชีวิตได้เหมือนก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าไม่ได้เสวยสุขอย่างเต็มคราบ ไม่อาจพูดกับข้าอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ข้าชอบฆ่าคน’ ได้อีกก็เท่านั้น? แต่เมื่อเทียบกับการที่วันใดต้องเจอกับผู้ฝึกตนที่ไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน ไร้แค้นไร้อาฆาต แต่กลับต้องถูกคนเขาตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว คนทั้งครอบครัวไปพบกันพร้อมหน้าพร้อมตาในปรโลกแล้ว ก็ยังถือว่าได้กำไรอยู่ดี?”
กู้ช่านไม่เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่เช็ดน้ำมูกน้ำตาที่เปื้อนเต็มหน้า เพียงแค่จ้องนิ่งมายังเฉินผิงอันอยู่อย่างนั้น
เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้ช่าน ค้อมเอวส่งเตาอุ่นมือไปให้
ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนกองหิมะก่อให้เกิดเสียงแอดอาดของหิมะที่ถูกบด
กู้ช่านไม่รับ
เฉินผิงอันจึงทรุดตัวลงนั่งยอง ประจันหน้ากับกู้ช่าน “เจ้าเด็กขี้มูกยืด ไม่เป็นไร พูดมาตามตรง ข้าจะรับฟังทุกอย่าง”
กู้ช่านหยิบหิมะก้อนใหญ่ขึ้นมา หันหน้าไปทางอื่นแล้วเอามันเช็ดหน้าลวกๆ ครั้นจึงหันหน้ากลับมา พูดเสียงสะอื้นว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคนเลวที่สุด!”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้า ข้าถือว่าเป็นคนดีแล้ว หากไม่ใช่คนดีที่ฉลาดก็คือคนชั่ว”
น้ำตาของกู้ช่านพังทลายลงมาอีกครั้ง “ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้า จวนชุนถิงของพวกเจ้า พวกเจ้าสองแม่ลูก! เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าชอบพูดอย่างนี้ พวกเราอย่าเป็นอย่างนี้กันอีกเลยได้ไหม…”
กู้ช่านใช้หลังมือสองข้างปิดหน้า ร้องไห้สะอื้นโฮ
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้ากลับไปเถอะ”
กู้ช่านต่อยลงบนหน้าอกของเฉินผิงอันจนเฉินผิงอันทรุดนั่งลงบนหิมะ
แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน โซซัดโซเซวิ่งออกไป
วิ่งออกไปได้หลายสิบก้าว กู้ช่านถึงหยุดเท้า ไม่ได้หันกลับมา เพียงพูดเสียงสะอื้นว่า “เฉินผิงอัน เจ้าสำคัญยิ่งกว่าหนีชิวน้อย เป็นอย่างนี้ตลอดมา ทว่านับแต่บัดนี้ไป จะไม่เป็นอย่างนี้อีกแล้ว ต่อให้หนีชิวน้อยจะตายไปแล้ว นางก็ยังดีกว่าเจ้า”
เฉินผิงอันนั่งอยู่ท่ามกลางหิมะ มองไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน
จิตใจนิ่งสงบดุจผิวน้ำ
แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน สลัดเศษหิมะที่อยู่บนชุดผ้าฝ้ายออก เฉินผิงอันเดินไปที่ท่าเรือ รอคอยให้เจ้าเกาะลี่ซู่ถานหยวนอี้มาถึง ด้วยนิสัยทำอะไรรวดเร็วฉับไวของหลิวจื้อเม่า พอกลับไปถึงจวนเหิงโปแล้วจะต้องส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังเกาะลี่ซู่ทันทีแน่นอน เพียงแต่เขาก็คิดขึ้นมาได้กะทันหันว่าหัวหน้าสายลับของศาลาคลื่นมรกตแถบภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปผู้นี้น่าจะไม่โดยสารเรือมา แต่ต้องนัดแนะกับหลิวจื้อเม่าไว้ก่อน จากนั้นจึงแฝงตัวเข้ามาในเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันจึงหมุนตัวเดินตรงไปที่จวนเหิงโป
จวนชุนถิง
สตรีแต่งงานแล้วสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะ กำลังรอคอยด้วยความร้อนใจ
พอเห็นเงาร่างของกู้ช่านก็วิ่งเหยาะๆ ไปหา ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ถานเซวี่ยล่ะ? ไม่ได้กลับมาพร้อมกับเจ้าหรือ?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่สองแม่ลูกห่อเกี้ยวอยู่ด้วยกันในห้องครัว จู่ๆ กู้ช่านก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขาทรุดลงกับพื้น มือกุมไว้ที่หัวใจคล้ายคนป่วยหนัก
ตอนนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องไม่ดี มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าถานเซวี่ยที่อยู่นอกจวนชุนถิงจะเกิดปัญหา
กู้ช่านเงยหน้า พูดอย่างเหม่อลอย “ตายแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วตะลึงพรึงเพริด นึกว่าตัวเองฟังผิดไป “ช่านช่าน เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
กู้ช่านพูดซ้ำ “ตายแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วตวาดกร้าว “ตายแล้ว? ตายไปทั้งอย่างนี้? ถานเซวี่ยคือเจียวหลงขอบเขตก่อกำเนิด จะตายได้อย่างไร?! นอกจากตะพาบเฒ่าแซ่หลิวที่เกาะกงหลิ่วแล้ว ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะยังมีใครที่สามารถฆ่าถานเซวี่ยได้อีก!”
กู้ช่านมองใบหน้าของมารดาแล้วเอ่ยว่า “ยังมีเฉินผิงอัน”
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างโกรธเคือง “พูดจาเหลวไหลอะไร! เฉินผิงอันจะฆ่าถานเซวี่ยได้อย่างไร แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาฆ่าหนีชิวน้อยที่ไม่ใช่ของเขาแล้ว เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? เจ้าเศษสวะใจดำอำมหิต ปีนั้นเขาสมควรหิวตายอยู่ในตรอกหนีผิงนั่น ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขามาเยือนเกาะชิงเสียของพวกเราคราวนี้ต้องไม่มีเจตนาดี ไอ้เด็กชั่วสมควรโดนแทงพันครั้ง…”
กู้ช่านพลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอันอาจจะได้ยิน”
สตรีแต่งงานแล้วหุบปากฉับทันใด กวาดตามองรอบด้านอย่างตื่นตระหนก นางหน้าซีดขาวจนแทบไม่ต่างจากหิมะที่อยู่บนพื้นและเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกบนร่าง
กู้ช่านเงียบงันไปอีกครั้ง
สตรีแต่งงานแล้วพลันพุ่งเข้ามากอดเขา ร่ำไห้พลางเอ่ยว่า “ลูกชายที่น่าสงสารของข้า”
กู้ช่านสีหน้าไร้อารมณ์ ตอนนี้ไม่ว่าจะร่างกายหรือสภาพจิตใจของเขาก็ล้วนอ่อนแออย่างถึงที่สุด ไปกลับระหว่างจวนชุนถิงและประตูภูเขาท่ามกลางลมหิมะมารอบหนึ่ง มือเท้าจึงเย็นเฉียบอยู่นานแล้ว
……
กลับมาถึงจวนเหิงโปอีกครั้ง หลิวจื้อเม่าลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะบอกให้พ่อบ้านคนสนิทไปเชิญจางเย่มา
แล้วก็ไปเยือนหลุมกระบี่ลับขนาดเล็กที่คล้ายคลึงกับห้องกระบี่ ด้านในเก็บกระบี่บินส่งข่าวชั้นสูงเอาไว้ เขาใคร่ครวญหาถ้อยคำอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งข่าวแจ้งไปยังถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่
สุดท้ายหลิวจื้อเม่าก็มายังห้องโถงใหญ่ที่ปูด้วยพรมซึ่งผลิตขึ้นในแคว้นไฉ่อี เขาทำท่าวักกอบเอาไอน้ำกลุ่มหนึ่งขึ้นมา แล้วสาดลงบนพื้น ภาพของประตูภูเขาเกาะชิงเสียก็ปรากฏขึ้น
หิมะใหญ่หยุดลงแล้ว ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏให้เห็นจึงค่อนข้างจะเงียบเหงาวังเวง
หลิวจื้อเม่าก้มหน้าจ้องมองภาพที่เกิดจากไอน้ำนิ่ง
ระหว่างนี้ก็เงยหน้ามองไปนอกประตูอยู่สองสามครั้ง
เขายิ้มอย่างจนใจ ตอนนี้ผู้ฝึกตนเกือบพันคนของเกาะชิงเสียก็มีแค่จางเย่คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับคำสั่งจากจวนเหิงโปแล้วยังกล้าเดินมาอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่มีทางทะยานลมอย่างรีบร้อน ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าเกาะอย่างเขาจะรู้สึกไม่ชอบใจหรือไม่ ตาเฒ่าอย่างจางเย่ผู้นี้กลับไม่เคยสนใจแม้แต่น้อย
หลิวจื้อเม่าถอนหายใจ
พี่น้องที่เคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้กันมาตั้งแต่แรกเริ่มสุดล้วนตายกันไปเกือบหมดแล้ว หากไม่ตายอยู่บนสนามรบที่บุกเบิกเส้นทางกันมาเองก็ต้องตายอยู่ท่ามกลางการลอบสังหารที่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน หรือไม่ก็เป็นพวกพยศยากกำราบที่เกิดใจเป็นปรปักษ์ จึงถูกเขาหลิวจื้อเม่าสังหารทิ้งด้วยตัวเอง แน่นอนว่าคนที่มากกว่านั้นคือแก่ตายไป ผลคือสุดท้ายแล้วข้างกายก็เหลือแค่จางเย่ที่เป็นสหายเก่าแก่คนสุดท้ายของเกาะชิงเสียคนเดียว
หลิวจื้อเม่าเดินทะลุผ่านภาพโชคชะตาน้ำไปยังประตูใหญ่ ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ก้าวข้ามธรณีประตูไปยืนรอจางเย่อยู่ตรงนั้น
ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ต่ำกว่าเซียนดิน เมื่อมาอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีเกาะนับพันแห่งนี้ ต่อให้ไม่พูดถึงความสัมพันธ์ที่มีกับหลิวจื้อเม่า อันที่จริงจางเย่ก็สามารถครอบครองพื้นที่หนึ่งแล้วตั้งตนเป็นราชา เป็นเจ้าเกาะก็ยังเหลือแหล่ ในความเป็นจริงแล้วสองปีมานี้ที่หลิวจื้อเม่าใช้วิธีคบค้ากับคนไกลโจมตีคนใกล้ ฮุบเอาเกาะใหญ่สิบกว่าเกาะซึ่งรวมถึงเกาะซู่หลินมาได้ ก็เพราะตั้งใจว่าจะให้ขุนนางผู้ประคับประคองมังกรเช่นจางเย่เลือกเกาะใหญ่แห่งหนึ่งเป็นพื้นที่ก่อตั้งจวน เพียงแต่ว่าจางเหย่ปฏิเสธเขาถึงสองครั้งสองครา หลิวจื้อเม่าจึงไม่ยืนกรานอีก
ช่วงแรกเริ่มที่พบเจอกันพวกเขาทั้งสองคนต่างก็เป็นขอบเขตชมมหาสมุทร จางเย่ที่มีชาติกำเนิดเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลไม่เพียงแต่เป็นสหายของหลิวจื้อเม่า ยังเป็นกุนซือที่คอยวางแผนให้หลิวจื้อเม่าอยู่เบื้องหลัง สามารถพูดได้ว่าในช่วงแรกเริ่มที่เกาะชิงเสียข้ามผ่านด่านหายนะมาได้อย่างปลอดภัยหลายครั้งหลายคราวนั้น นอกจากเหล่าขุนนางผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งที่มีหลิวจื้อเม่าเป็นผู้นำลงมืออย่างดุร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า สังหารศัตรูแบบถอนรากถอนโคน สยบฝูงชนด้วยบารมีอำนาจแล้ว แผนการที่เด็ดขาดของจางเย่ก็สำคัญอย่างถึงที่สุด
การที่หลิวจื้อเม่าปฏิบัติต่อจางเย่อย่างมีมารยาทเสมอมา นอกจากความสัมพันธ์ควันธูปที่ได้มาไม่ง่ายในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้แล้ว ยังเป็นเพราะหลังจากที่จางเย่หยัดยืนอยู่บนเกาะชิงเสียได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลิวจื้อเม่าเดินขึ้นสูงไปบนเส้นทางของการฝึกตนเรื่อยๆ จนสลัดเขาทิ้งไว้เบื้องหลังห่างไกล คำพูดมากมายที่คิดว่าตัวเองควรจะพูด จางเย่ล้วนไม่เคยลังเลใจ เรียกได้ว่าเปลี่ยนตัวเองจากขุนนางบุกเบิกแคว้นผู้มีคุณูปการที่เดิมทีควรต้องนอนเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง ให้กลายมาเป็นขุนนางผู้ทัดทานที่ไม่รู้จักกลัวตาย คอยสร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้คน มีอยู่หลายครั้งที่หลิวจื้อเม่าโมโหจางเย่ที่ไม่ให้เกียรติเขาแม้แต่น้อยจริงๆ การต่อสู้เพื่อรวบรวมแผ่นดินกับการลงจากหลังม้ามารักษาแผ่นดิน กฎเกณฑ์จะเหมือนกันได้หรือ? แต่จางเย่ก็ยังทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่เหมือนเดิม หลังจากที่หลิวจื้อเม่าเลื่อนสู่ก่อกำเนิดจึงยิ่งห่างเหินกับจางเย่มากขึ้นทุกที แต่ก็แค่ทำให้จางเย่ที่ทำหน้าที่ดูแลห้องตกปลาและคลังลับเก็บสมบัติไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน มีสถานะเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่กลับทำงานของขุนนางในท้องถิ่นก็เท่านั้น ดังนั้นเวลาตลอดหลายปีมานี้จึงไม่อาจบอกได้ว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เมื่อเทียบกับผู้ถวายงานอย่างอวี๋กุ้ยที่มาอยู่เกาะชิงเสียตอนหลัง แต่กลับเจริญรุ่งเรืองมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุดแล้ว โอกาสที่จางเย่จะเผยตัวบนเกาะชิงเสียก็น้อยลงเรื่อยๆ งานเลี้ยงฉลองหลายครั้ง เขาเองก็เข้าร่วม แต่กลับไม่เคยเปิดปากพูดอะไร ทั้งไม่ประจบเอาใจสกัดคงคาเจินจวิน แล้วก็ไม่พูดจาฉีกหน้า
เหตุการณ์ในอดีตแล่นผ่านไปในหัวสมอง พอคิดถึงเรื่องเก่าๆ เหล่านี้ หลิวจื้อเม่าก็อดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังอย่างที่ไม่เคยทำมานานไม่ได้
ในที่สุดก็มาถึงสักที
จางเย่ที่พอพบหลิวจื้อเม่าแล้วกลับยังคงเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ไม่เพียงเท่านี้ ในมือของเขายังถือหิมะที่ปั้นเป็นก้อนกลมไว้ด้วย เห็นได้ชัดว่าระหว่างที่เดินทางมาจางเย่เตร็ดเตร่สบายใจแค่ไหน แล้วคนที่ไปเรียกเขาร้อนใจราวกับไฟลนเพียงใด
ผู้ดูแลใหญ่ของจวนเหิงโปที่อยู่ข้างกายก็เป็นขอบเขตประตูมังกรเช่นกัน ครั้งนี้ที่ออกไปเรียกหาจางเย่ เขาอารมณ์หงุดหงิดอยู่จริงๆ แต่เมื่อเขามองเห็นว่าเจินจวินผู้เฒ่ามายืนรออยู่นอกประตู หัวใจก็พลันหดรัดตัว รู้สึกเสียใจภายหลังทันที ตลอดทางมานี้เขาเอ่ยเร่งจางเย่อยู่หลายครั้งจริงๆ โชคดีที่ไม่ได้พูดบ่นอะไร ไม่อย่างนั้นตอนนี้อาจจะโดนเล่นงานเอาได้
หลิวจื้อเม่าโบกมือให้ผู้ดูแลใหญ่ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องเข้ามาใกล้ห้องโถง ฝ่ายหลังจึงรีบโค้งตัวแล้วจากไปทันที
จางเย่กุมหมัดคารวะ “คารวะท่านเจ้าเกาะ”
หลิวจื้อเม่ายิ้มพลางยกมือกดลงบนความว่างเปล่าสองทีเป็นการบอกให้จางเย่รู้ว่าไม่ต้องทำตัวห่างเหินกันถึงเพียงนี้
คนทั้งสองเดินตามกันข้ามธรณีประตูเข้าไป จางเย่มองเห็นภาพที่ลอยอยู่เหนือพรมทอลายก็ไม่พูดอะไร
หลิวจื้อเม่าพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ปีนั้นเจ้าและห้องตกปลาใช้เวลาแปดปีถึงจะสามารถช่วยข้าตามหาผู้ฝึกตนโอสถทองที่ไปเกิดใหม่เจออย่างยากลำบาก ตอนนั้นเจ้าเกลี้ยกล่อมข้าว่าสามารถกักขังนางไว้บนเกาะชิงเสียได้ แต่ห้ามเล่นตุกติกกับร่างนางเด็ดขาด ในอนาคตหากหลิวเหล่าเฉิงกลับมายังเกาะกงหลิ่ว สุดท้ายเมื่อต้องแตกหักกันแล้วค่อยเปิดเผยเรื่องนี้ หากทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าข้าหลิวจื้อเม่าอาจจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ ตอนนั้นข้าไม่เชื่อ เจ้าเลยเถียงกับข้า ข้ายังบอกว่าเจ้าใจอ่อนเหมือนสตรี การวิเคราะห์จิตใจของหลิวเหล่าเฉิงก็เป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก ตอนนี้มาลองย้อนมองดูแล้ว ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะถูก แต่ข้านี่แหละที่ผิดแน่นอน”
จางเย่พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หาได้ยากที่เจ้าเกาะจะยอมรับผิด ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้า พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกหรือไม่”
หลิวจื้อเม่ายื่นนิ้วมาชี้หน้าเจ้าเฒ่าพยศผู้นี้ พูดอย่างฉิวๆ ว่า “ด้วยนิสัยเสียๆ และปากร้ายๆ นี้ของเจ้า หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ป่านนี้คงถูกข้าฆ่าตายไปแปดครั้งสิบครั้งแล้ว”
จางเย่ร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณบุญคุณที่ไม่ฆ่าของเจ้าเกาะ”
หลิวจื้อเม่ากำลังจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ ก็ชี้ไปที่ม้วนภาพ กล่าวว่า “ดูให้ดีล่ะ”
บนภาพนั้น กู้ช่านกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางหิมะนอกประตู
หลังจากนักบัญชีผลักประตูเปิดออกแล้วพูดประโยคนั้นจบ เขาก็เงยหน้าขึ้น สองมือโอบประคองเตาอุ่นมือ เงยหน้าอยู่อย่างนั้น
สีหน้าของหลิวจื้อเม่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
จางเย่เอ่ย “ข้าแนะนำท่านเจ้าเกาะว่าถอนม้วนภาพออกไปเสียเถอะ แต่ข้าคิดว่าทำอย่างนั้นก็ยังไม่มีประโยชน์กับผายลมอะไรอยู่ดี”
หลิวจื้อเม่ายื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่งแล้วแตะเบาๆ ลงบนมุมหนึ่งของม้วนภาพ จากนั้นจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ถอนม้วนภาพนี้ออกไปจริงๆ
หลิวจื้อเม่ากล่าว “เจ้าคิดว่าเฉินผิงอันผู้นี้เป็นคนอย่างไร?”
จางเย่คิดแล้วก็ตอบว่า “เป็นคนน่ากลัวมาก หากเขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยน ก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไรของท่านเจ้าเกาะแล้ว”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “ความลับบางอย่างระหว่างข้ากับเขา คงไม่เล่าให้เจ้าฟังแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า แต่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้จะดีกว่า แต่เรื่องเล็กๆ บางอย่างที่ไม่มีผลกระทบกับเรื่องใหญ่ ยังพอจะเอามาเล่าให้เจ้าฟังเพื่อความบันเทิงได้”
จางเย่ไม่จงใจพูดเหน็บแนมหลิวจื้อเม่าอีก
เรื่องเล็กของหลิวจื้อเม่าต้องไม่เล็กแน่นอน
หลิวจื้อเม่าจึงเล่าบทสนทนาระหว่างเขากับเฉินผิงอันตอนที่เดินออกมาจากประตูภูเขาให้จางเย่ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงว่าพวกเขาร่วมกินเกี้ยววันตงจื้อที่จวนชุนถิงนั่นอย่างไร และจากนั้นแต่ละคนแยกย้ายกันไปทำเรื่องอะไรของตัวเองบ้าง
หลิวจื้อเม่ากล่าว “เจ้าว่าเหตุใดเฉินผิงอันจึงจงใจพาข้าไปข่มขู่สตรีผู้นั้น แล้วทำไมถึงต้องมอบน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่ข้าเปล่าๆ โดยเลือกปิดบังความจริงกับสตรีแต่งงานแล้ว และให้ข้าหลิวจื้อเม่าได้เป็นคนดีกับเขาครั้งหนึ่ง?”
จางเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเข้าประเด็นทันทีว่า “ไม่ซับซ้อน นับตั้งแต่นาทีที่เฉินผิงอันย้ายออกมาจากจวนชุนถิงก็ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับมารดาของกู้ช่านชัดเจนแล้ว เพียงแต่ว่าวิธีการที่ใช้ค่อนข้างจะนุ่มนวล ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีบันไดลง ไม่ถึงขั้นทะเลาะกันจนแตกหัก แต่ตอนนั้นสตรีแต่งงานแล้วน่าจะรู้สึกเพียงว่าโล่งอก แต่ก็ยังเดาไม่ออกถึงจุดประสงค์ของเฉินผิงอัน หลังจากนั้นที่เฉินผิงอันคอยไปกินข้าวที่จวนชุนถิงก็แค่ปลอบใจพวกเขาเท่านั้น สตรีแต่งงานแล้วจึงค่อยๆ วางใจลงได้ สภาพจิตใจของนางอยู่ในสภาวะที่นางคิดว่า ‘สบาย’ ที่สุด เฉินผิงอันไม่ทีทางหลอกกู้ช่าน ทำให้กู้ช่านต้อง ‘หลงเดินทางผิด’ กลายไปเป็นคนดีที่รนหาที่ตายอะไรนั่น อีกทั้งเฉินผิงอันก็ยังอยู่บนเกาะชิงเสีย ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่งของจวนชุนถิง เหมือนกับเทพทวารบาลที่เฝ้าประตูเรือนหลังหนึ่ง แน่นอนว่านางต้องชอบอยู่แล้ว หลังจากนั้นมาเฉินผิงอันก็ไปเยือนจวนชุนถิงน้อยลงเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยให้จับได้ เพราะนักบัญชีท่านนี้ยุ่งมากจริงๆ ดังนั้นสตรีแต่งงานแล้วจึงยิ่งวางใจได้มากกว่าเดิม จนกระทั่งคืนนี้ เฉินผิงอันเรียกท่านเจ้าเกาะให้ไปกินเกี้ยวที่จวนชุนถิงด้วยกัน นางถึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าทั้งสองฝ่ายกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้ว”
จางเย่เอ่ยถ้อยคำที่แทบจะใกล้เคียงกับความจริงเหล่านี้จบแล้วก็ถามว่า “คนนอกอย่างข้าที่เคยพบเฉินผิงอันแค่ไม่กี่ครั้งยังมองเขาออก แล้วนับประสาอะไรกับท่านเจ้าเกาะ เหตุใดถึงยังต้องถามข้า? ทำไม กลัวว่าข้านั่งเก้าอี้เย็นเฉียบตัวนี้มานานหลายปี ไม่เคยได้ใช้สมองมานาน สมองก็เลยขึ้นสนิมไม่ต่างจากสตรีในจวนชุนถิงที่ชอบเรียกตัวเองว่าฮูหยินตราตั้งด้วยความภาคภูมิใจผู้นั้นน่ะหรือ? อีกอย่างต่อให้สมองของข้าใช้การได้ไม่ดีแค่ไหน แต่การที่ข้าช่วยท่านเจ้าเกาะดูแลคลังสมบัติลับและห้องตกปลาก็ยังพอทำได้ไม่ใช่หรือ? หรือรู้สึกว่าให้ข้าควบคุมคลังเก็บสมบัติลับไว้ในมือแล้วจะไม่วางใจ กลัวว่าข้าที่เห็นว่าเกาะชิงเสียกำลังจะกลายเป็นต้นไม้ล้มฝูงลิงแตกกระเจิง แล้วจะม้วนเสื่อหอบผ้าเผ่นหนีไปพร้อมกับสมบัติกองโตด้วย? พูดมาเถอะ คิดจะมอบคลังลับให้แก่คนสนิทคนใด ท่านเจ้าเกาะวางใจได้ ข้าไม่มีทางหวงตำแหน่ง แต่หากคนที่ท่านเลือกมาไม่เหมาะสม ข้าก็คงต้องสาดน้ำเย็นใส่หน้าท่านเจ้าเกาะอีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย”
—–