กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 444.2 กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม
หลิวจื้อเม่าด่าขันๆ “เลิกพูดจาเหลวไหลสักที!”
จางเย่เอ่ยเนิบช้า “ถ้าอย่างนั้นเพราะอะไรกันแน่? ไม่ใช่ว่าข้าจางเย่ดูถูกตัวเอง ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าช่วยอะไรได้ไม่มากจริงๆ หากจะให้ข้าไปทำหน้าที่เป็นนักรบเดนตาย ข้าไม่มีทางตอบรับเด็ดขาด ต่อให้ข้าจะรู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีเวลาถึงหกสิบปี นั่นถือเป็นชั่วชีวิตหนึ่งของคนธรรมดาแล้ว เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ สุข ข้าเสพมาแล้ว ทุกข์ ข้าก็ยิ่งเผชิญมาไม่น้อย ข้าไม่ติดค้างอะไรเจ้าและเกาะชิงเสียสักนิดเดียว”
หลิวจื้อเม่าไม่ได้ตอบคำถามของจางเย่ แต่ทอดถอนใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เจ้าว่าหากในทะเลสาบซูเจี่ยนล้วนมีแต่คนอย่างเฉินผิงอัน คนแก่หนังเหนียว คนชั่วช้าที่ด้านหนึ่งก็ถูกคนด่าว่ามีโทษมหันต์สมควรตาย แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนเคารพยกย่องอย่างพวกเรา จะยังมีชีวิตกันอยู่ได้อีกอย่างไร? จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ตัวเองได้อย่างไร?”
จางเย่ยิ้มกล่าว “ท่านเจ้าเกาะ คนแบบนี้ มีไม่มากหรอก”
หลิวจื้อเม่าหันหน้ามามองผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรที่จิตวิญญาณเสื่อมโทรมท่านนี้ มองอยู่นานมาก
จางเย่ก็ไม่พูดอะไร
หลิวจื้อเม่าจึงพูดขึ้นว่า “จางเย่ เจ้าหาวันฤกษ์ดีสักวัน แล้วปลายปีของปีนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันเริ่มฤดูใบไม้ผลิก็แอบออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนเงียบๆ เถอะ ไปให้ไกลสักหน่อย หาสถานที่ที่น้ำใสภูเขาเขียว ใช้เวลาหกสิบปีสุดท้ายในชีวิตตัวเองอย่างสงบสุขเถอะ”
จางเย่ขมวดคิ้วแน่น กล่าวอย่างกังขาว่า “สถานการณ์เลวร้ายถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลิวจื้อเม่าลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากดูจากตอนนี้ อันที่จริงไม่ถือว่าเลวร้ายที่สุด ทว่าเรื่องราวทางโลกยากจะคาดการณ์ สกุลซ่งต้าหลีเข้ามาปักหลักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ แต่หากวันใดในสมองของต้าหลีขาดเส้นประสาทไปเส้นหนึ่ง หรือไม่ก็รู้สึกว่าแบ่งส่วนแบ่งให้หลิวเหล่าเฉิงมากเกินไป คิดจะหาทางชดเชยเอาจากตัวข้า เกาะชิงเสียจะต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลัง ถึงเวลานั้นต้าหลีหาข้ออ้างง่ายๆ สักข้อมาสังหารข้า ก็ทั้งทำให้คนในทะเลสาบซูเจี่ยนสาแก่ใจ แล้วยังจะได้สมบัติเป็นเกาะใหญ่อีกสิบกว่าเกาะไปด้วย หากข้าเป็นคนที่จัดการธุระให้กับต้าหลีก็ต้องทำอย่างนี้แน่นอน ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะเริ่มลับมีดแล้วด้วย”
หลิวจื้อเม่าตบไหล่จางเย่ “ไม่ใช่ว่าจงใจจะซื้อใจผู้อื่น หากเจ้าไม่ใช่จางเย่ ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ฝีมือธรรมดาคนหนึ่งจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ไหนเลยต้องให้ข้าหลิวจื้อเม่ามาพร่ำพูดด้วยความหวังดีนานเป็นครึ่งๆ วันเช่นนี้ หากมีเวลาว่างแบบนี้จริงๆ ข้าเอาไปปิดด่านฝึกตนไม่ดีกว่าหรือ? หากไม่ทันระวังฝึกได้ขอบเขตหยกดิบ ก็คอยดูกับมารดามันเถอะว่าต้าหลีจะยังกล้าลับมีด ยังตัดใจใช้วิธีเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลกับข้าได้อีกไหม เป็นขอบเขตหยกดิบเหมือนกัน หร่วนฉงผู้นั้นแทบจะถูกสกุลซ่งต้าหลียกบูชาขึ้นหิ้งอยู่แล้ว ก่อกำเนิดที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวอย่างข้า เมื่อเทียบกับหร่วนฉงแล้วก็ต่างกันแค่ครึ่งขอบเขตเท่านั้น มันน่าโมโหจริงๆ”
“แต่จะว่าไปแล้ว ควรจะซื้อใจคนอย่างไร ปีนั้นก็เป็นเจ้าที่สอนข้ามาเองกับมือ”
หลิวจื้อเม่าดึงมือออกมาจากไหล่ของจางเย่ แล้วช่วยจัดสาบเสื้อของเขาให้ดูเรียบร้อยพลางยิ้มกล่าวว่า “ข้าหวังว่าบรรดาเพื่อนเก่าที่อยู่ข้างกาย ควรจะมีสักคนหนึ่งที่มีจุดจบที่ดี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการกระทำที่ไม่เปลืองแรงอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณข้า ไม่อย่างนั้นจะดูห่างเหินกันเกินไป”
จางเย่พลันสบถด่าดังลั่น “หากมีวันที่ตะพาบเฒ่าอย่างเจ้าถูกต้าหลีหรือหลิวเหล่าเฉิงฆ่าตายจริงๆ แล้วข้าไปหลบซ่อนตัว เวลาหกสิบปีผ่านไป ข้าจะไล่ตามเจ้าไปทันคุยกับเจ้าบนเส้นทางไปปรโลกได้อย่างไร?”
จางเย่ส่ายหน้า เอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ไป”
หลิวจื้อเม่ามองเจ้าคนที่โรคดื้อดึงกำเริบอีกแล้วผู้นี้ แล้วพูดนอกเรื่องว่า “เจ้าน่าจะเป็นสหายกับนักบัญชีของเราผู้นั้นได้ เวลาที่ฉลาดก็ฉลาดจนไม่เหมือนคนดี แต่เวลาที่รั้นขึ้นมาก็คล้ายคนโง่ที่น้ำเข้าสมอง”
จางเย่กล่าว “ตอนนี้สภาพจิตใจของเจ้าไม่ค่อยปกติ ไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตน ต้องเดินหนึ่งร้อยลี้ แต่เดินไปได้เก้าสิบลี้กลับเท่ากับครึ่งทางเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าเรื่องราวยิ่งใกล้ประสบความสำเร็จก็ยิ่งยากลำบาก ส่วนใหญ่จะนำมาโน้มน้าวคนว่าเมื่อทำดีแล้วก็ทำดีให้ถึงที่สุด) หากเวลานี้กำลังใจร่วงดิ่งลงเหว ชั่วชีวิตนี้ก็ยากที่จะดึงกลับขึ้นมาได้อีก แล้วจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้อย่างไร? คลื่นลมและมรสุมลูกใหญ่กว่านี้ก็ยังผ่านมาแล้ว เจ้าจะไม่รู้เลยหรือว่าคู่ต่อสู้ที่ตายไปด้วยน้ำมือของพวกเรา ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนขาดกำลังใจเฮือกหนึ่งกันทั้งนั้น?”
หลิวจื้อเม่าร้องโอ้โหหนึ่งที “จางเย่ ใช้ได้เลยนี่นา เริ่มสั่งสอนข้าอีกแล้ว แถมยังกล้าพูดถึงเรื่องฝึกตนกับข้าด้วย นึกจริงๆ หรือว่าพวกเราสองคนยังคงเป็นคนหนุ่มใจร้อนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างในปีนั้นอีก?”
จางเย่ยิ้ม “ตอนที่ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตยังพอจะถือว่าเป็นคนหนุ่มใจร้อนได้อยู่ แต่เจ้าหลิวจื้อเม่าเวลานั้นกลับอายุไม่น้อยแล้ว ช่วยไม่ได้ ผู้ฝึกตนอิสระที่ขุดดินหาอาหารอย่างสุนัขเช่นพวกเจ้ามีชีวิตแย่กว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเราเยอะเลย”
หลิวจื้อเม่าเอ่ยเย้ยหยัน “เป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมานานหลายปี ถึงเวลากลับยังเรียกตัวเองว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างภาภคภูมิใจอีกหรือไง?”
จางเย่พึมพำ “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เก็บไว้ในใจไม่เคยบอกใคร นับตั้งแต่วันแรกที่ข้ากับเจ้าคนที่ชื่อว่าหลิวจื้อเม่าผู้นั้นมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยนก็คาดหวังอย่างถึงที่สุดว่า สักวันหนึ่งจะได้เห็นหลิวจื้อเม่าใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระมาก่อตั้งสำนักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจึงมักจะไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งบ่อยๆ ที่นั่นคือสถานที่แรกที่ข้ากับหลิวจื้อเม่าหยัดยืนขึ้นมาได้ในทะเลสาบซูเจี่ยน มันคือเกาะเล็กๆ ที่มีชื่อเดียวกับจวนเหิงโป เกาะเหิงโป สถานที่เล็กเพียงแค่ฝ่ามือแห่งนั้น สุดท้ายแล้วกลับถูกศัตรูคู่อาฆาตที่เป็นโอสถทองซึ่งตอนนั้นมองดูเหมือนเก่งกาจไร้เทียมทานใช้สมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตทำลายทิ้งไปเสีย ข้าโมโหแทบตายจริงๆ ตอนนั้นจึงแอบหลิวจื้อเม่าที่ไม่มีความทดท้อแม้แต่น้อยพายเรือไปหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง”
……
เฉินผิงอันและถานหยวนอี้มาถึงจวนเหิงโปแทบจะเวลาเดียวกัน
เพียงแต่ว่าคนหนึ่งมาอย่างเปิดเผย อีกคนมาอย่างลับๆ
หลิวจื้อเม่าเดินออกจากห้องมานำทางนักบัญชีที่ในมือถือเตาอุ่นมือไปยังห้องลับแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง ในห้องลับแห่งนั้น ผนังทั้งสี่ด้านและพื้นล้วนเป็นเงินเกล็ดหิมะทั้งหมด แล้วก็วางเบาะไว้แค่สี่ใบเท่านั้น
ถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว เขากำลังหลับตาทำสมาธิ หลังจากที่หลิวจื้อเม่าเดินเคียงไหล่เข้ามาพร้อมเฉินผิงอัน จึงลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “ชื่อเสียงของท่านเฉินดังก้องดุจสายฟ้าผ่า”
เฉินผิงอันถามคำถามหนึ่งอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “สถานการณ์ล่าสุดของทะเลสาบซูเจี่ยน เพื่อนร่วมงานในศาลาคลื่นมรกตของเจ้าเกาะลี่ซู่อย่างหลี่เป่าเจินที่ตอนนี้อยู่ในแคว้นชิงหลวน จะรับรู้ด้วยหรือไม่?”
ถานหยวนอี้กล่าว “ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนรายงานลับที่สำคัญต่อกัน หากท่านเฉินไม่ยินดีถูกกล่าวถึงในรายงานลับมากเกินไป ข้าสามารถเขียนเรื่องอื่นไปแทนได้”
แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องกุมหมัดขอบคุณ
ถานหยวนอี้พูดจาตามมารยาทอยู่พักหนึ่ง อย่างเช่นว่าท่านเฉินคือราชาใหญ่แห่งขุนเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียน อีกทั้งยังเป็นสหายของเว่ยป้อองค์เทพขุนเขาเหนือ ทุกคนในศาลาคลื่นมรกตต่างก็ชื่นชมเฉินผิงอันมานานแล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกตกตะลึงหรือซาบซึ้งใจ กลับกันยังเริ่มเป็นกังวลกับการพูดคุยกันอย่างลับๆ ในคืนนี้อีกด้วย
ในวงการขุนนางของต้าหลี โดยเฉพาะสายลับที่ถูกจัดตัวให้มาอยู่นอกราชวงศ์ต้าหลี จะต้องให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมากที่สุด คำว่า ‘เขียนเรื่องอื่นไปแทน’ ของถานหยวนอี้ก็คือการแหกกฎ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนก็คงเข้าใจว่าเป็นการปูพื้นฐานและความจริงใจในการทำการค้าของทั้งสองฝ่าย แต่เฉินผิงอันกลับเป็นคนที่เข้าใจการใช้กฎเกณฑ์บางอย่างของต้าหลีพอดี ช่วยไม่ได้ อดีตศัตรูคู่อาฆาตของเขาเคยเป็นเจ้าของคนเดิมของศาลาคลื่นมรกตพอดี ซึ่งก็คือเหนียงเนียงในวัง สตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ต้าหลีผู้นั้น ในเมื่อถานหยวนอี้กล้าแหกกฎ ต่อให้จะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่นี่ก็หมายความว่าเขาต้องแอบหาทางชดเชยจากตัวของเฉินผิงอันเอาไว้แล้ว และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำการค้า การทำธุรกิจ สหายหลายคนแตกคอกันด้วยเรื่องของเงิน จากมิตรกลับกลายมาเป็นศัตรู นี่ไม่แน่เสมอไปว่าเป็นเพราะสหายไม่มีคุณธรรมมากพอ เพราะตัวเองก็อาจจะผิดในเรื่องที่ ‘ไม่ชัดเจน’ ด้วย ส่วนลำดับขั้นตอนก่อนหลัง ผิดถูกหรือเล็กใหญ่ที่ยังต้องพูดถึงในเรื่องนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนทำอะไรไปตามอารมณ์ ผิดต่อทั้งคนอื่นและผิดต่อทั้งตัวเอง เสียหายบาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย
คนทั้งสามนั่งลงพร้อมกัน
คนหนึ่งคือหัวหน้าสายลับต้าหลี คือมังกรข้ามแม่น้ำ
คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของทะเลสาบซูเจี่ยน งูเจ้าถิ่น
อีกคนหนึ่งคือนักบัญชีที่มีสำมะโนครัวอยู่ในเขตการปกครองต้าหลี อีกทั้งยังเป็นผู้ถวายงานของเกาะชิงเสีย แขกที่ผ่านทางมา
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ มือสองข้างวางทาบไว้บนเตาอุ่นมือ เขาถามเข้าประเด็นทันที “เพราะเหตุการณ์ในนครมังกรเฒ่า สกุลซ่งต้าหลีจึงติดเงินเหรียญทองแดงแก่นทองข้า เจ้าเกาะถานรู้เรื่องนี้หรือไม่?”
ถานหยวนอี้พยักหน้ารับ “นี่คือความลับอันดับหนึ่งของศาลาคลื่นมรกต ในบรรดานักรบเดนตายและสายลับทั้งหมดของศาลาคลื่นมรกตที่แฝงตัวอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป มีเพียงข้าที่พอจะรับรู้เรื่องบางอย่างได้คร่าวๆ ส่วนรายงานในเอกสารของต้าหลีที่จงใจไม่อธิบายรายละเอียด ข้าก็ยังคงไม่มีคุณสมบัติจะได้รับรู้เนื้อหาที่เป็นรูปธรรม”
เฉินผิงอันถามอีก “กองทัพของต้าหลี ยกตัวอย่างเช่นกองทัพม้าเหล็กสองกองที่ตอนนี้ทยอยกันมาถึงชายแดนราชวงศ์จูอิ๋ง ล้วนไม่พอใจเจ้าเกาะถานอย่างมากเลยใช่ไหม?”
สีหน้าของถานหยวนอี้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ต้าหลีถนัดเรื่องวรยุทธ นับตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงยุทธภพ และไปจนถึงหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ล้วนเป็นเช่นนี้ คำกล่าวที่ว่าชาวบ้านในพื้นที่แข็งแกร่งห้าวหาญล้วนไม่ใช่คำลวง ดังนั้นจึงถูกคนในแจกันสมบัติทวีปเอ่ยเหน็บแนมมาตลอดเวลาว่าเป็น ‘คนเถื่อนทางเหนือ’
แซ่สกุลที่เป็นเสาหลักของต้าหลี ส่วนใหญ่ล้วนมีรากฐานอยู่ในกองทัพ กระจายอำนาจกันควบคุมกองทัพม้าเหล็กชายแดนที่คุ้นเคยกับการ ‘ทำสงคราม’ เป็นอย่างดี ไม่มีใครที่ได้ควบคุมกองทัพกองหนึ่งอย่างเต็มที่ ส่วนใหญ่มักจะเป็นสองสามสกุลใหญ่ที่คานอำนาจ ถ่วงดุลเป็นพันธมิตรกัน แน่นอนว่าก็มีบุคคลที่มองกันเป็นศัตรูคู่อาฆาตอย่างสองสกุลใหญ่เฉาหยวน
หากไม่เป็นเพราะราชครูต้าหลีชุยฉาน ขุนนางบุ๋นของต้าหลีก็คงไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก ต่อให้เป็นราชสำนักที่ซิ่วหู่ดำเนินการมานานถึงร้อยปี ปีก่อนก็ยังมีเรื่องตลกขบขันเกิดขึ้น ตัวแทนในเมืองหลวงของกองทัพม้าที่กรีฑาทัพลงใต้บุกไปทวงเงินที่กรมการคลังอย่างดุดัน รองเจ้ากรมการคลังที่ระดับขั้นสูงกว่าคนผู้นี้อยู่มากออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ผลกลับกลายเป็นว่ากรมการคลังก็ยังคงทำตามขั้นตอน อันดับแรกคือพร่ำพูดถึงความลำบากของตัวเอง จากนั้นค่อยบอกว่าตัวเองยากจน สุดท้ายแบสองมือบอกว่าไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว หากมีความสัมพันธ์ควันธูปในวงการขุนนางให้เอามาใช้ได้ อย่างมากสุดก็แค่พูดจาอย่างจริงใจว่าจะพยายามหาเงินมาหมุนเวียนให้ได้ หากไม่มีความสัมพันธ์ที่ว่านั้นก็คือเจ้าอยากทำอะไรก็ทำ แน่จริงพวกเจ้าก็มาอาละวาดที่กรมการคลังเอาเองสิ
คนที่มาทวงเงินที่กรมการคลังผู้นั้นมีความสัมพันธ์ธรรมดากับทางกรม เขาฟังอยู่นาน อดทนฟังจนถึงท้ายที่สุด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์ ตบโต๊ะถลึงตา ชี้หน้ารองเจ้ากรมการคลังผู้นั้น ด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ร่ายเอาคุณความชอบล่มแคว้นตลอดทางที่กองทัพม้าเหล็กของตนย่ำไปทางทิศใต้ขึ้นมาพูดอย่างชัดเจน จากนั้นก็ไล่รายชื่อของทหารแต่ละคนว่าบาดเจ็บและล้มตายไปในศึกครั้งใดในแคว้นใดบ้าง ตามคำบอกของราชครูชุยฉาน นี่ก็คือ ‘ชาวบู๊ก็ควรต้องพูดภาษาสุภาพที่ชาวบุ๋นฟังรู้เรื่อง’ สุดท้ายถามรองเจ้ากรมการคลังผู้นั้นว่ามโนธรรมในใจของเขาถูกสุนัขคาบไปกินแล้วหรือไง ถึงได้กล้าแสร้งพูดจาลดเลี้ยวราวกับตัวเองเป็นนายท่านใหญ่ในเรื่องของเสบียงกองทัพ จากนั้นก็แฉว่ากรมการคลังมีเงินเก็บไว้มากน้อยเท่าไหร่กันแน่ พูดจนรองเจ้ากรมการคลังผู้นั้นถึงกับทอดถอนใจว่าเจ้าควรจะมาทำงานในกรมการคลังของพวกเราซะจริง
ผลลัพธ์สุดท้ายแน่นอนว่าคนผู้นั้นกลับไปพร้อมผลประโยชน์เต็มมือ และยังมีเรื่องน่าตะลึงอีกอย่างคือ รองเจ้ากรมการคลังดึงเอาเงินสำรองก้อนหนึ่งที่ไม่ถือว่าต้องใช้เร่งด่วนออกมามอบให้กับกองทัพม้าเหล็กกองที่มีอำนาจเส้นสายอยู่ในเมืองหลวงเป็นพิเศษ
เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นยังไม่ทันนำข่าวดีออกไปจากเมืองหลวงก็ถูกลากตัวกลับไป ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่รองเจ้ากรมการคลังและผู้บังคับบัญชาเบื้องบนอย่างใต้เท้าเจ้ากรมที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเงินทองของต้าหลีต่างก็ต้องไปรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงแห่งหนึ่ง
ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานคือซิ่วหู่ตนหนึ่งอย่าง ราชครูชุยฉาน
ตอนนั้นชุยฉานดื่มชา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอบเงินเล็กน้อยแค่นั้นให้ศิษย์ลัทธิขงจื๊อยากจนที่เป็นครูสอนหนังสือคนนั้นของต้าหลี กรมการคลังของพวกเจ้ายังกล้าถ่วงเวลามานานขนาดนี้? พวกเจ้าก็มีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิตเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ซ่งเหยียนรองเจ้ากรมฝ่ายขวาของกรมการคลังอย่างเจ้า หากข้าจำไม่ผิด ช่วงแรกเริ่มสุดก็เรียนหนังสือชั้นประถมมาจากโรงเรียนในหมู่บ้านเช่นกัน จะใจดำตวัดพู่กันเขียนลงไปได้จริงๆ หรือ? ต้าหลีของพวกเรายากจนข้นแค้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ไม่สนใจรองเจ้ากรมการคลังที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวคนนั้น ชุยฉานหันหน้าไปมองเจ้ากรมการคลังที่เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ทว่ากลับยังดูแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า “ใต้เท้าหันท่านเทพเจ้าแห่งทรัพย์สิน ต้าหลียากจนขนาดนี้ จะโทษใคร? โทษข้า? หรือว่าโทษเจ้า?”
คิดไม่ถึงว่าเจ้ากรมผู้เฒ่ากลับชี้ไปยังซ่งเหยียนอย่างไร้ความเกรงกลัว “ไหนเลยจะกล้าโทษใต้เท้าราชครู ข้าอายุมากแล้ว แต่ความหลงใหลในตำแหน่งขุนนางกลับมีมากกว่า อีกอย่างกรมการคลังของพวกเราก็ไม่จน มีเงินอยู่กองโต ก็แค่ตัดใจเอามาใช้สิ้นเปลืองอย่างส่งเดชไม่ลง ดังนั้นจะโทษข้าไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษซ่งเหยียน เงินก้อนนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบกรมการคลังของพวกเราล้วนทำตามความต้องการของท่านราชครูอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่ขาดไม่น้อยไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว เพียงแต่ซ่งเหยียนทำเสียเรื่อง ลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับ ซ่งเหยียน เร็วเข้า รีบเอาความกล้าหาญของขุนนางกรมการคลังพวกเราออกมาสักหน่อย”
คนจากกองทัพชายแดนที่มาเรียกร้องขอเงินผู้นั้นเบิกตากว้าง มารดามันเถอะ ขุนนางระดับสูงในที่ว่าการหกกรมเขาทำงานกันอย่างนี้น่ะหรือ? ไม่ดีไปกว่าบุรุษหยาบกระด้างที่อยู่ในกองทัพชายแดนอย่างพวกเขาเลย
ดูท่าการพูดคุยของคนหน้าไม่อายในใต้หล้านี้คงจะเป็นเหมือนกันทั้งหมดกระมัง?
ชุยฉานดื่มชาหนึ่งอึก แล้วยิ้มพูดกับเจ้ากรมผู้เฒ่าว่า “เอาล่ะ เลิกใช้วิธีเลื้อยลดคดเคี้ยวหาทางรอดให้ลูกน้องตัวเองเสียที ความผิดของซ่งเหยียนมีไม่น้อย แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องออกจากตำแหน่ง ผลการประเมินในเมืองหลวงหลายครั้งก็ถือว่าไม่เลว ถ้าอย่างนั้นก็เอาเงินเดือนของสามปีออกมาเติมเงินก้อนนั้นให้เต็มก็แล้วกัน”
ซ่งเหยียนที่เข่าอ่อนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ “ข้าน้อยยินดีเอาเงินเดือนสิบปีออกมา…”
เจ้ากรมผู้เฒ่าตบหัวเขาดังป้าบ “เจ้าโง่ขี้ขลาด รนหาที่ตายหรือไง”
ชุยฉานยังคงไม่มีโทสะ มือหนึ่งถือถ้วยชา อีกมือหนึ่งที่ถือฝาถ้วยโบกมือให้ซ่งเหยียน “นี่ไม่ใช่วิถีที่คนเป็นขุนนางสมควรมี หลังกลับไป สติกลับคืนเข้าร่าง อารมณ์สงบลงแล้วก็จงขอความรู้ในด้านการเป็นขุนนางจากเจ้ากรมผู้เฒ่าให้ดี อย่าเอาแต่คิดว่าผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือหัวของตัวเองอาศัยแค่ความสามารถในการหาเงินถึงได้หยัดยืนอยู่ในศูนย์กลางของราชสำนักได้”
เจ้ากรมผู้เฒ่าจึงพารองเจ้ากรมที่รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดออกไปจากห้องโถงใหญ่
คนทั้งสองปาดเหงื่อพร้อมกัน เจ้ากรมผู้เฒ่าโมโหจึงถีบเข้าที่ขาของรองเจ้ากรม สบถด่าเบาๆ “หากข้าหนุ่มกว่านี้อีกสักสามสิบสี่สิบปีจะเตะให้เจ้าขี้ราดเลยเชียว”
ฝ่ายหลังได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน นี่ยังใช่เจ้ากรมผู้เฒ่าที่วันๆ ชอบพูดจาสุภาพเป็นทางการอยู่อีกหรือ?
—–