กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 449.1 ควบม้าขึ้นเนินรกร้าง
ลมหิมะเป็นอุปสรรคและอันตราย ม้าทั้งสามตัววิ่งห้อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ใจกลางของแคว้นสือหาว
นครที่มีกำแพงสูงใหญ่จำนวนไม่น้อยซึ่งเป็นสถานที่ที่กองทัพต้องยึดครองมาล้วนเต็มไปด้วยหลุมบ่อผุพัง กลับกลายเป็นแถบชนบทชานเมืองเสียอีกที่ส่วนใหญ่โชคดีรอดพ้นจากภัยสงครามมาได้ ทว่าชาวบ้านต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ระเหเร่ร่อนหนีภัยพิบัติไปสี่ทิศ และยิ่งมาเจอกับหิมะใหญ่ที่ตกหนักถึงสามครั้งติดนับตั้งแต่เข้าหน้าหนาวมา ข้างถนนทางหลวงของหลายๆ สถานที่จึงมีแต่ศพผอมแห้งที่หนาวตาย มีทั้งคนหนุ่ม สตรี เด็กและคนชรา
หม่าตู่อี๋มีจิตใจเมตตา เจิงเย่ซื่อบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะคนหรือผีล้วนไม่เหมือนผู้ฝึกตนที่แท้จริงของทะเลสาบซูเจี่ยน ดังนั้นเมื่อเฉินผิงอันเดินทางผ่านเมืองแห่งหนึ่งแล้วบอกว่าจะควักเงินหาคนในท้องที่มาช่วยตั้งโรงทานและร้านยา เมื่อทำเรื่องนี้เสร็จแล้ว พวกเขาค่อยเดินทางกันต่อ นี่จึงทำให้หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ดีใจกันเป็นอย่างมาก
เฉินผิงอันจึงควักแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียออกมาแขวนไว้ตรงเอวฝั่งตรงข้ามกับดาบและกระบี่ แล้วไปเยือนที่ว่าการในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง หม่าตู่อี๋สวมหมวกคลุมหน้าปิดบังรูปโฉม อีกทั้งยังสวมชุดผ้าฝ้ายหนาใหญ่ที่เหลือเกินมา แม้แต่หุ่นอรชรอ้อนแอ้นของสาวงามหนังจิ้งจอกก็ถูกบดบังไปด้วย
ก่อนหน้านี้พวกเขาเดินทางผ่านเมืองและอำเภอกันมาไม่น้อย ยิ่งขยับเข้าใกล้พื้นที่ใจกลางแคว้นสือหาว ยิ่งขยับขึ้นไปทางเหนือ คนตายก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และยังได้เห็นทหารม้าเพิ่มขึ้น บ้างก็เป็นทหารม้าอิสระผู้กล้าหาญที่แพ้สงครามจึงหนีมาทางใต้ของแคว้นสือหาว บ้างก็เป็นทหารบู๊ที่สวมเสื้อเกราะใหม่เอี่ยม มองไปแล้วเข้าท่าเข้าที เจิงเย่จึงรู้สึกว่าทหารแคว้นสือหาวที่เดินทางไปสนามรบทางเหนือเหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะได้ไปสู้รบกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี
แต่เฉินผิงอันกลับรู้ดีว่า หากเกิดสงครามกันขึ้นมา ทหารบู๊ที่สวมเสื้อเกราะใหม่เอี่ยมซึ่งเพิ่งเอาออกมาจากคลังยุทโธปกรณ์ของแต่ละสถานที่ อีกทั้งในมือยังถืออาวุธที่ฝุ่นเกาะมานานหลายปีแต่ก็ยังดูใหม่เหล่านี้จะต้องตายเร็วมาก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะโชคดีมีโอกาสเปลี่ยนจากทหารใหม่ที่ ‘ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะตายอย่างไร’ ค่อยๆ เดินทีละก้าวกลายไปเป็นทหารเก่าที่ ‘รู้ว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร’
ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันได้เห็นภาพสงครามอันโหดร้ายที่ตัดสินโชคชะตาของสี่แคว้นกับตาตัวเองมาหลายครั้ง
ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ เฉินผิงอันก็เคยเห็นทหารลาดตระเวนชายแดนทางใต้ของต้าหลีมากับตาตัวเองเช่นกัน เห็นเพียงต้นตอก็อนุมานทิศทางการดำเนินไปได้ เขาจึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดกองทัพชายแดนต้าหลีถึงมีฉายาว่า ‘หนุ่มฉกรรจ์บนเนิน’ นั่นเป็นเพราะพวกเขาล้วนยืนอยู่บนเนินที่เกิดจากการกองทับถมกันของกระดูก กลายเป็นทหารเก่าร้อยศึกที่รอดชีวิตมาได้ในท้ายที่สุด บางทีในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้ของต้าหลี ทหารชายแดนอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ คนหนึ่งอาจเคยทำสงคราม เคยเห็นคนตายมามากกว่าแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจแท้จริงอายุสี่สิบห้าสิบปีที่อยู่ในแคว้นสือหาวนี่เสียอีก
อันที่จริงเฉินผิงอันคิดไปไกลยิ่งกว่านั้น ในฐานะที่แคว้นสือหาวเป็นหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋ง ไม่พูดถึงพวกคนอย่างหวงเฮ้อ หันจิ้งหลิง พูดถึงแค่แคว้นใต้อาณัติส่วนใหญ่เหล่านี้ พวกเขาก็เหมือนองค์ชายหันจิ้งซิ่นที่กล้าลงมือสังหารทหารลาดตระเวนของต้าหลีที่มีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพมาสองคนด้วยตัวเอง กองทัพชายแดนเหนือของแม่ทัพเว่ยวัตถุหยินก็ยิ่งถูกสังหารจนสิ้น กระนั้นฮ่องเต้แคว้นสือหาวก็ยังต้องพยายามระดมเอากำลังทหารมาจากชายแดนแถบต่างๆ เพื่อขัดขวางการกรีฑาทัพลงใต้ของต้าหลี ตอนนั้นเมืองหลวงถูกโอบล้อม แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังวางท่าว่าจะปกป้องเมืองให้ได้ถึงที่สุด
เหตุใดแคว้นสือหาวถึงยินดีทำเช่นนี้? ยอมสละชีวิตของคนมากมายขนาดนั้นไปเป็นหินปูทางโดยไม่เสียดาย แต่ก็ต้องพยายามขัดขวางกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีที่มีผู้นำคือซูเกาซานให้จงได้?
นักประพันธ์เขียนไว้ในตำราว่า ฤดูหนาวเหมาะกับหิมะตก ประหนึ่งเสียงตีหยกแก้วใส
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล บนเส้นทางคือหิมะ บนภูเขาก็คือหิมะ ราวกับภาระหนักอึ้งที่สวรรค์กดลงมาบนบ่าของมนุษย์
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที เพียงแค่คิดถึงเสียงเกราะเหล็กดังกังวานในอารามหลิงกวานคืนนั้น เขาก็พอจะโล่งใจได้บ้าง
ตลอดทางที่ขึ้นเหนือกันมานี้ หม่าตู่อี๋ยังดีหน่อย นางเคยเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล แล้วก็เคยเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่แท้จริงของทะเลสาบซูเจี่ยนมาก่อน ความทุกข์ความเศร้าย่อมเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นตกอกตกใจมากเกินไป แต่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เป็นดั่งนรกบนดินวันแล้ววันเล่า แม้แต่เจิงเย่ที่ตอนแรกยังหลั่งน้ำตาเงียบๆ ก็ยังเริ่มชาชินแล้ว
ระหว่างนี้เจิงเย่เคยให้วัตถุหยินเพศชายสิงร่างอยู่หลายครั้ง บางตนก็ทำตามความปรารถนาก่อนตายได้สำเร็จ บางตนก็ยังรู้สึกเสียดาย เพราะเมื่อไปเยือนมาตุภูมิบ้านเกิด วัตถุยังคงเดิมแต่คนเปลี่ยนไปนานแล้ว
ส่วนวัตถุหยินเพศหญิงที่พักพิงอยู่ในสาวงามกระดาษยันต์หนังจิ้งจอกนั้น แต่ละตนก็พากันไปจากโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นซูซินไจ แล้วก็มีสตรีวัตถุหยินตนใหม่ที่พากันมาพักอาศัยในกระดาษยันต์ เดินท่องอยู่ในโลกมนุษย์ กระดาษยันต์แต่ละแผ่นก็เหมือนโรงเตี๊ยมและท่าเรือแต่ละแห่งที่ผู้คนสัญจรไปมา บ้างก็เป็นการพบกันใหม่ที่มีทั้งสุขและทุกข์ บ้างก็เป็นการจากลาไปอยู่กันคนละภพ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลือกของพวกนาง ถ้อยคำที่ใช้มีทั้งความจริงและการปิดบังอำพราง
วันนี้เฉินผิงอันพาหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ไปเยือนที่ว่าการของเจ้าเมือง ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น
เจ้าเมืองของที่นี่คือผู้เฒ่าร่างอ้วนฉุจนแทบมองไม่เห็นดวงตา ยามอยู่ในวงการขุนนาง เวลาเห็นใครเป็นต้องยิ้ม และพอยิ้มก็ยิ่งมองไม่เห็นดวงตาเข้าไปใหญ่
หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ชีวิตของผู้เฒ่าไม่สงบสุขเลยแม้แต่น้อย กองทัพทหารม้าทำสงครามกันวุ่นวาย นอกจากจะทุ่มเงินก้อนใหญ่เชิญเซียนซือของจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเมืองมากที่สุดมาเป็นผู้คุ้มกันด้านล่างภูเขาแล้ว ด้วยความที่เหตุการณ์ฉุกเฉินจึงหาทางแก้ไขส่งเดช เขาจึงยังซื้อตัวผู้ฝึกตนอีกสองคนที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาไว้ด้วย พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือเป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเข้าตาเขาสักเท่าไหร่ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เป็นห้าขอบเขตล่างเหมือนกัน ด้วยความโมโหก็เกือบจะกลับบนภูเขาไปทันที เจ้าเมืองพยายามพูดจาดีๆ เพื่อโน้มน้าว อีกทั้งยังเพิ่มเงินเดือนให้เขาอีกสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ นี่ถึงได้รั้งตัวเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่ค่อยอยากอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนอิสระสองคนนั้นเอาไว้ได้ เจ้าเมืองทั้งต้องเจ็บเนื้อและเจ็บใจ ยังดีที่พอเฉินผิงอันมาเยือนก็ทำให้เขารู้สึกว่าเงินสามเหรียญเกล็ดหิมะที่เกินมานั้น นำไปใช้อย่างคุ้มค่า เพราะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนนั้นไม่เสียแรงที่เป็นเทพเซียนแท้จริงซึ่งผู้ฝึกตนอิสระเทียบไม่ได้ แค่ได้จับแผ่นหยกก็มองออกว่าเป็นสมบัติที่ ‘เป็นหน้าเป็นตา’ สมกับคำว่ามีสายตาเฉียบแหลมของผู้เชี่ยวชาญ สรุปก็คือมองออกว่านั่นคือแผ่นหยกผู้ถวายงานระดับต้นของเกาะชิงเสียที่ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เขาจึงตัวสั่นเทิ้ม ขาดอีกแค่นิดเดียวก็คือลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้เซียนซือหนุ่มจากทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นั้น
เรื่องราวในลำดับถัดมาก็จัดการได้ง่ายแล้ว ผู้ถวายงานที่บอกว่าตัวเองแซ่เฉินคนนั้นบอกว่าต้องการตั้งโรงทานแจกโจ๊กและร้านยาในเมืองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน เขาจะเป็นคนควักเงินเอง แต่รบกวนให้ทางที่ว่าการช่วยจัดหากำลังคนมาให้ เงินไม่ต้องช่วยออกแล้ว ตอนนั้นในที่สุดหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็มองเห็นว่าดวงตาคู่นั้นของผู้เฒ่าเจ้าเมืองเบิกกว้าง ถือว่าตาของเขาไม่เล็กเลยจริงๆ น่าจะเพราะรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่อยู่ข้างกายเจ้าเมืองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ คนดีมีเมตตาที่มาจากทะเลสาบซูเจี่ยน นั่นก็ไม่ต่างจากปีศาจใหญ่ที่ก่อตั้งจวนแล้วเรียกตัวเองว่าเทพเซียนหรอกหรือ?
กลับเป็นผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่มองดูเหมือนนอบน้อมขลาดกลัวที่หันมามองหน้ากันเอง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
จากนั้นก็เกิดเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ผู้ถวายงานหนุ่มแซ่เฉินบอกให้เจ้าเมืองเชิญตัวเสมียนที่เชี่ยวชาญเรื่องภาษีครัวเรือนและวิชาคำนวณด้านการค้ามากลุ่มหนึ่ง พอทุกคนมาถึงก็นั่งลงแล้วเริ่มปรึกษารายละเอียดกันว่าตอนนี้ราคาข้าวสาร ราคายาในตลาดเป็นอย่างไร คลังเสบียงในที่ว่าการมีจำนวนเสบียงเก็บไว้เท่าไหร่ จำนวนคร่าวๆ ของชาวบ้านในพื้นที่ที่ตกระกำลำบากและชาวบ้านที่อพยพหนีภัยมา สถานที่ที่จะตั้งโรงทานและร้านยา ทางที่ว่าการของเมืองสามารถส่งคนที่ว่างง่านให้ไปช่วยโดยไม่ส่งผลกระทบต่องานหลวงได้มากน้อยแค่ไหน เป็นต้น แต่ละขั้นตอนรายละเอียดค่อยๆ ไล่เลียงกันไป ทำเอาพวกขุนนางในที่ว่าการที่มีประสบการณ์โชกโชนรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ปรึกษากันเรียบร้อย ทางฝั่งของจวนเจ้าเมืองก็เริ่มลงมือทำงานกันตั้งแต่ตอนนั้น พวกเสมียนก็พากันแยกย้ายไป
เฉินผิงอันสามคนพักอยู่ในเรือนหลังของที่ว่าการ ผลกลับกลายเป็นว่ากลางดึกคืนนั้นผู้ฝึกตนอิสระสองคนแอบมาหา โดยไม่เกรงกลัว ‘ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย’ แซ่เฉินผู้นั้นแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับความนอบน้อมเชื่อฟังเมื่อตอนกลางวันแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นคนละคน ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งถูนิ้วมือเข้าด้วยกัน ยิ้มถามว่าเฉินผิงอันไม่ควรจะจ่ายเงินปิดปากสักหน่อยหรือ ส่วนเรื่องที่ว่า ‘ผู้ถวายงานเฉิน’คิดจะทำอะไรในเมืองแห่งนี้ ต้องการเงิน คน หรือสมบัติอาคม พวกเขาสองคนไม่คิดจะสนใจ
ตอนนั้นเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ยังอยู่พูดคุยกันในห้องของเฉินผิงอันอย่างที่หาได้ยาก
เพราะต่อให้เป็นเจิงเย่ที่ทึ่มทื่อก็ยังเริ่มไม่เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านเฉินได้ค่อยๆ ทำเรื่องที่ตัวเองต้องการทำสำเร็จไปทีละก้าวแล้ว แม้จะมีอุปสรรคและความไม่เพียบพร้อมไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ แล้วก็มีหลายครั้งที่ต้องกลับมามือเปล่า หรือแม้แต่ความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ ก่อนตายที่ไม่อาจสำเร็จได้ดังใจหวัง แต่ถึงอย่างไรก็มีภูตผีและวัตถุหยินที่ปรากฎตัวในแคว้นสือหาวไม่น้อยที่ไปจากโลกใบนี้ได้อย่างไร้ความเสียดายเช่นแม่นางซู
ตามหลักแล้วสภาพจิตใจของท่านเฉินควรจะผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะถูก
แต่เขากลับไม่เป็นเช่นนี้
ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขที่ไม่รบกวนการใช้ความคิดของเฉินผิงอัน หม่าตู่อี๋และเจิงเย่จึงนั่งอยู่เป็นเพื่อนเขา ส่วนใหญ่เป็นนางและเจิงเย่ที่พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ท่านเฉินก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไร แค่ไม่ค่อยชอบพูดคุยเท่านั้น แต่บางครั้งเวลาได้ยินพวกเขาสองคนเถียงกันเรื่องหยุมหยิม หรือไม่ก็พูดกันไปส่งเดชเพื่อฆ่าเวลา ท่านเฉินก็จะคลี่ยิ้ม หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่มักจะต้องรู้สึกแปลกใจบ่อยๆ เวลาเป็นเรื่องตลกที่พวกเขารู้สึกว่าน่าขำ ท่านเฉินกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ แต่พอพูดเรื่องที่ไม่น่าขำแม้แต่น้อย ท่านเฉินกลับหัวเราะเสียได้?
เวลานี้หนึ่งผีหนึ่งคนที่เท้าเหยียบอยู่บนกระถางไฟใบเล็กใต้โต๊ะกำลังมองผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่ทำตัวอวดฉลาดแล้วก็รู้สึกว่าน่าขำมากเป็นพิเศษ
หม่าตู่อี๋ใช้สายตาเจ้าเล่ห์และอยากรู้อยากเห็นรอมองดูว่าท่านเฉินจะจัดการอย่างไร
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าค่าปิดปากเป็นเงินกี่เหรียญเกล็ดหิมะถึงจะค่อนข้างยุติธรรม?”
ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่คิดคำพูดคร่าวๆ ไว้นานแล้วเอ่ยว่า “น้องชายสามารถเลียนแบบแผ่นหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียได้แผ่นหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถหลอกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งได้ เห็นได้ชัดว่าต้องใช้เงินก้อนใหญ่ คืนนี้ลำพังเพียงแค่เรื่องตั้งโรงทานและร้านยาก็ทุ่มเงินขาวไปอีกไม่น้อย ดังนั้นเงินค่าปิดปากนี้ ถึงอย่างไรก็ควรต้องมีสัก…สี่สิบห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะกระมัง? ไม่ทราบว่าน้องชายคิดเช่นไร? ยินดีสละเงินเล็กน้อยแค่นี้เพื่อแลกมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่มั่นคงกว่าหรือไม่?”
เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมากดลงบนบ่าของผู้ฝึกตนอิสระสองคน “ในเมื่อผู้อาวุโสทั้งสองท่านจับได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องฆ่าคนปิดปาก เหตุใดต้องควักเงินจ่ายค่าปิดปากด้วย หากพวกเจ้าได้เงินไปแล้วกลับไปสุมหัวกัน กลายเป็นว่าได้คืบแล้วจะยิ่งเอาศอก ไปๆ มาๆ ไม่เพียงแต่เป็นปัญหา ไม่แน่อาจจะยังทำให้เสียงานใหญ่ของข้าด้วย ไม่สู้ทำอะไรให้รวดเร็วฉับไวไปเลยดีกว่า ไม่ทราบว่าพวกเจ้าสองคนคิดเช่นไร?”
ในใจผู้ฝึกตนอิสระทั้งสองคนเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมไม่หยุด พอถูกกดบ่าไว้อย่างนี้ ช่องโพรงลมปราณของพวกเขาก็ถึงกับสั่นสะเทือน ปราณวิญญาณชะงักค้าง
ไม่รอให้คนทั้งสองเปิดปากขอร้อง เฉินผิงอันก็ตีหน้าเคร่งกล่าวว่า “ข้าวางแผนไว้ใหญ่นักล่ะ ไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองคนอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง แต่หากคิดจะมีชีวิตออกไปจากเมืองแห่งนี้ก็ต้องจ่ายเงินซื้อชีวิตมาก่อนก้อนหนึ่ง แม้พวกเจ้าจะบอกว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง แต่ถึงอย่างไรก็ควรต้องมีเงิน…เงินเกล็ดหิมะสักสี่สิบห้าสิบเหรียญกระมัง?”
เดิมทีผู้ฝึกตนอิสระทั้งสองก็ไม่ได้ร่ำรวย หลังจากรวบรวมเงินเกล็ดหิมะได้สามสิบสองเหรียญด้วยท่าทางเหมือนบิดาเสียก็พูดว่าไม่มีแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันรับเงินเทพเซียนมาแล้วโบกมือ “กลับไปแล้วก็เพลาๆ ลงเสียบ้าง คอยรอฟังข่าวจากข้า ขอแค่รู้อะไรควรไม่ควร ถึงเวลานั้นเมื่องานสำเร็จจะแบ่งเศษน้ำแกงให้พวกเจ้าส่วนหนึ่ง แต่หากกล้ามีใจคิดร้าย วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีค่าอย่างแท้จริงบนร่างของพวกเจ้าจะถูกดึงออกมาจากช่องโพรงลมปราณโดยตรง ถึงเวลานั้นพวกเจ้าเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบแล้วจะเสียใจที่มาเยือนจวนเจ้าเมืองครั้งนี้”
ผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่ไม่ได้ถูกเพื่อนร่วมอาชีพ ‘ปล้นสะดมจนสิ้นเนื้อประดาตัว’ นอกจากจะรู้สึกโชคดีที่รอดชีวิตมาได้แล้ว ยังปิติยินดีเป็นที่สุด หรือว่าจะได้รับโชคดีหลังจากหายนะ? ผู้ฝึกตนอิสระสองคนกลับไปปรึกษากันแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้ยาก แต่กระนั้นก็ไม่กล้าแอบหนีไป แล้วก็เสียดายเงินจากหยาดเหงื่อแรงกายที่สะสมมาอย่างยากลำบากสามสิบกว่าเหรียญนั่นด้วย ชั่วขณะนั้นก็ได้แต่ใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสียพลางทอดถอนใจเฮือกๆ
หม่าตู่อี๋และเจิงเย่หัวเราะร่าอย่างถูกใจ