กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 449.4 ควบม้าขึ้นเนินรกร้าง
เฉินผิงอันเอาศพไปฝังไว้ตรงจุดที่ห่างจากถนนไปค่อนข้างไกล ก่อนจะทำเช่นนั้น เขาก็ได้พยายามประกอบร่างของคนที่น่าสงสารเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบมากที่สุดเสียก่อน
เฉินผิงอันทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ และแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไร้ผู้คนก็หยิบหอแก้วจำลองชิ้นนั้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เชิญวัตถุหยินตนหนึ่งที่ตอนยังมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร แต่พอตายไปถูกอวี๋กุยจับทำเป็นทหารผีออกมา
จากนั้นทหารผีที่ยังเหลือสติปัญญาตนนี้ก็ใช้เวลาครึ่งวันกว่าๆ จึงจะพาม้าทั้งสามตัวไปเยือนเทือกเขาสูงชันที่ร้างผู้คนแห่งหนึ่งได้ เมื่อมาอยู่ในบริเวณแถบชายแดนของพื้นที่นี้ เฉินผิงอันได้เก็บหม่าตู่อี้เข้าไปไว้ในยันต์ แล้วให้ทหารผีเข้าสิงร่างเจิงเย่
แล้วพวกเขาก็เริ่มขึ้นเขา สุดท้ายหาถ้ำกลางภูเขาแห่งหนึ่งที่สลักสองคำว่า ‘จั๋วฉิน’ ไว้บนหน้าผาเจอ
เดิมทีสภาพของภูเขาลูกนี้ก็เรียกได้ว่าภูเขาเขียวน้ำใส ที่ตั้งของถ้ำก็ราวกับภาพวาดที่ถูกแต้มนัยน์ตามังกร (เปรียบเปรยถึงผลงานทางวรรณกรรม ภาพวาด ฯลฯ ที่หากถูกแต่งเสริมอย่างถูกจุดก็จะยิ่งงดงามสมบูรณ์แบบ) อย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนที่เป็นคนบุกเบิกถ้ำแห่งนี้ในช่วงแรกสุดกลับไม่อยู่แล้ว ภายหลังจึงถูกพวกภูตผีบนภูเขายึดครองไป
เฉินผิงอันและ ‘เจิงเย่’ ก้าวเข้าไปภายใน
หลังเดินมาได้ร้อยก้าวกว่า การมองเห็นก็พลันสว่างไสวเปิดกว้าง นี่คือถ้ำขนาดมโหฬารแห่งหนึ่งที่สว่างไสวไปด้วยแสงเทียน มีภูตภูเขาสิบกว่าตนที่ยังไม่อาจจำแลงร่างเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงปีศาจใหญ่แห่งภูเขาลึกที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอีกหนึ่งตน ซึ่งหากยืนขึ้น ความสูงก็น่าจะถึงสองจั้งกว่า เป็นเหตุให้เรือนกายใหญ่โตดุจภูเขาลูกย่อม เห็นเพียงว่าเขาสวมเสื้อเกราะสีทองทับชุดคลุมสีเหลือง กวานบนศีรษะค่อนข้างเอียง มีสาวงามที่สวมชุดเปิดเผยเนื้อหนังสองคนเอนตัวพิงบัลลังก์ตัวนั้น กำลังบีบนวดน่องขาให้ปีศาจใหญ่ ด้านข้างบัลลังก์ยังมีเก้าอี้กวานเม่า (เก้าอี้ทรงหมวกขุนนาง มีที่มาจากรูปทรงหมวกขุนนางในสมัยราชวงศ์ซ่งที่เป็นหมวกทรงครอบศีรษะและมีแขนยื่นยาวออกไปทั้งสองข้าง) ไม้จื่อถานอีกตัวหนึ่ง ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คือบุรุษชุดเขียวที่คลี่ยิ้มแฝงเลศนัย
คนก็ดี ปีศาจก็ช่าง ดูเหมือนว่าจะกำลังรอคอยเจ้าโง่สองคนที่พาตัวมาติดร่างแห
ส่วนศีรษะของปีศาจใหญ่ชุดเหลืองสวมเกาะยังคงเป็นหัวเสือดาวซึ่งเป็นร่างที่แท้จริง มันนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แกว่งจอกเหล้าใบใหญ่ในมือไปมา พอมีสุราสีแดงสดหล่นกระเซ็นลงบนพื้น มันก็จะยกเท้าขึ้นเหยียบเบาๆ บนศีรษะของสตรีหน้าตางามพิลาสนางหนึ่ง ฝ่ายหลังจะรีบนอนหมอบลงกับพื้น แลบลิ้นเลียสุราเหล่านั้นให้แห้ง พอเงยหน้าขึ้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้มหลงใหล
บุรุษชุดเขียวหันตัวมายกนิ้วโป้งให้ แล้วเอ่ยชื่นชมว่า “ต้าหวัง (คำเรียกที่หมายถึงท่านอ๋องใหญ่ ท่านราชาผู้ยิ่งใหญ่) ช่างมีมาดของ ‘จอมทัพถือจอกเหล้ามองหิมะโปรยปราย’ จริงๆ!”
ปีศาจใหญ่แสยะปากหัวเราะ “มองหิมะกับมารดาเจ้าสิ จะไปเอาหิมะโปรยปรายมาจากไหน? อย่าว่าแต่ในถ้ำแห่งนี้ของข้าเลย หิมะข้างนอกก็หยุดตกไปนานแล้วด้วย”
บุรุษหัวเราะพลางชี้ไปยังหน้าอกที่อวบอิ่มของสตรีงดงามผู้หนึ่ง “แค่ต้าหวังก้มหน้าลงก็มองเห็นแล้ว”
ปีศาจใหญ่หัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบใจ
ในถ้ำพลันมีเสียงไชโยโห่ร้องขานรับดังสนั่น
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “คุยกันจบแล้ว?”
ปีศาจใหญ่ที่พลังอำนาจท่วมท้นน่าเกรงขามตนนั้นหรี่ตาลง “รีบร้อนอยากลงกระทะน้ำมันขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยังต้องเดินทางต่ออีก จึงค่อนข้างรีบ”
บุรุษชุดเขียวยิ้มกล่าว “โลกวุ่นวายขนาดนี้ ก็เลยอยากรีบตายรีบไปเกิดใหม่งั้นรึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอีกครั้ง “มีเหตุผล”
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เฉินผิงอันและเจิงเย่ตัวจริงก็ออกมาจากถ้ำแห่งนี้
แม่ทัพผีที่เลือกจะอยู่ต่อในจวน ‘จั๋วฉิน’ เดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าประตู
ส่วนในถ้ำที่อยู่ด้านหลังเขานั้น
‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตชมมหาสมุทรที่สวมชุดเหลืองเสื้อเกราะสีทองตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ส่วนบุรุษชุดเขียวที่เป็นกุนซือของปีศาจใหญ่ผู้นั้น เขาไม่ใช่ภูตผีปีศาจอะไร เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง เขาจึงตายก่อนปีศาจใหญ่ อีกทั้งจิตวิญญาณยังถูกแม่ทัพผีกลืนกินเสียจนสิ้น
ส่วนสตรีสองคนที่เป็นมนุษย์เหมือนกันนั้น เมื่อไม่มีเวทลับพันธนาการ คนหนึ่งก็เลือกจะพักพิงพึ่งพาแม่ทัพผีที่เป็นเจ้านายคนใหม่ ส่วนอีกคนหนึ่งเอาหัวพุ่งชนผนังถ้ำตายไปแล้ว แต่ตามข้อตกลงที่มีกับนางก่อนหน้านี้ ดวงวิญญาณของนางจึงถูกเฉินผิงอันรับไปไว้ในที่พักเดิมของแม่ทัพผีในเรือนแก้วจำลอง
ภูตภูเขาตนอื่นๆ บ้างก็ถูกฆ่า แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ตาย คาดว่าแม้แต่พวกมันก็คงไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรอดชีวิตมาได้
เพราะอันที่จริงแล้วเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปนับจากที่เฉินผิงอันซึ่งเป็นนักบัญชีสมชื่อของเกาะชิงเสียลงมือไปจนถึงออกหมัดเสร็จสิ้น เขาก็ล้วนกำลังคิดคำนวณอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันพูดกับแม่ทัพผีตนนั้นว่า “ก่อนที่ข้าจะไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนจะแวะมาดูใหม่ หลังจากนั้นก็จะเป็นเจิงเย่ที่มา”
แม่ทัพผีพยักหน้ารับ “ข้าจะตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นี่ ไม่มีทางไปรบกวนคนธรรมดา ตอนนี้แคว้นสือหาววุ่นวายขนาดนี้ ผีร้ายวิญญาณพยาบาทที่ค่อนข้างหาตัวได้ยากในเวลาปกติย่อมมีไม่น้อย”
เฉินผิงอันถาม “สิบปีร้อยปีให้หลังล่ะ?”
แม่ทัพผีตกตะลึง
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “พยายามช่วงชิงสถานะเทพภูเขามาให้ได้ ต่อให้ตอนแรกจะเป็นแค่ศาลเถื่อนที่ทางราชสำนักไม่ให้การยอมรับก็ตาม”
แม่ทัพผีกุมหมัดคารวะอย่างนับถือ “พระคุณยิ่งใหญ่ของท่านเฉิน ข้าจะจดจำไว้ขึ้นใจ!”
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้พูดอะไร เพียงพาเจิงเย่ลงภูเขาจากไปไกล
เดินมาได้ครึ่งทาง เฉินผิงอันก็หยิบยันต์ออกมา หม่าตู่อี๋จึงได้มาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
แล้วนางก็เริ่มชวนเจิงเย่คุยอย่างคนคุ้นเคยกันทันที
เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างระอาใจ
หลังจากนั้นก็ยังคงควบม้าเดินทางไม่หยุด มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับตอนอยู่ทางใต้ของแคว้นสือหาวที่สามารถเลือกถนนทางหลวงสายใหญ่ได้แล้ว ตอนนี้เฉินผิงอันสามคนกลับพยายามเลือกถนนสายเล็กเป็นหลัก
ยามพลบค่ำของวันหนึ่ง ม้าทั้งสามตัวก็พากันมาถึงเมืองแห่งหนึ่งก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลงได้อย่างหวุดหวิด หลังจากทหารที่เฝ้าประตูตรวจเอกสารผ่านทางของพวกเขาอย่างเข้มงวดแล้ว พวกเขาก็รีบร้อนพากันเข้าเมือง
ตอนนี้เมืองสำคัญทางทิศเหนือที่ ‘เต็มไปด้วยบาดแผล’ แห่งนี้ได้เป็นของในกระเป๋าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีแล้ว แต่ต้าหลีไม่ได้ทิ้งทหารม้าไว้เฝ้าเมืองมากนัก มีแค่ร้อยกว่านายเท่านั้น อย่าว่าแต่พิทักษ์เมืองเลย แค่เฝ้าประตูเมืองแห่งหนึ่งยังไม่พอด้วยซ้ำ นอกจากนี้แล้วก็มีขุนนางบุ๋นติดตามกองทัพที่มีตำแหน่งขุนนางเป็นเลขาธิการฝ่ายบุ๋นอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง รวมไปถึงเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่ทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ติดตาม หลังจากเข้าเมืองมา ต้องเดินหากันเกือบครึ่งเมืองกว่าจะเจอกับโรงเตี๊ยมเล็กๆ ให้พักแรม
สาเหตุนั้นเรียบง่ายมาก เพราะหลังจากที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง คนบาดเจ็บล้มตายมีจำนวนมาก หลังจากนั้นยังเกิดคลื่นมรสุมที่นักฆ่าลอบสังหารขุนนางบุ๋นต้าหลี และอีกอย่างวันมะรืนก็จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว ตอนนี้ชาวบ้านใช้ชีวิตกันอย่างอดอยาก เดิมทีกิจการก็ซบเซาอยู่แล้ว พอบวกเข้ากับเป็นช่วงปีใหม่ พวกเฉินผิงอันสามารถหาโรงเตี๊ยมแห่งนี้เจอได้ก็ถือว่าโชคไม่เลวแล้ว
วันต่อมาเจิงเย่ถูกบุรุษวัตถุหยินตนหนึ่งสิงร่าง เขาพาเฉินผิงอันไปเยือนสำนักแห่งหนึ่งในยุทธภพที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองแห่งนี้ ตลอดทั้งยุทธภพของแคว้นสือหาว สำนักนี้ถือว่าเป็นแค่กลุ่มอิทธิพลระดับสามเท่านั้น แต่สำหรับชาวบ้านที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในเมืองแห่งนี้กลับยังคงเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ วัตถุหยินตนนั้น ในอดีตก็คือหนึ่งในชาวบ้านของที่นี่ พี่สาวที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับเขาถูกเจ้าสำนักที่เป็นดั่งงูเจ้าถิ่นของมณฑลหมายตา แม้แต่ว่าที่สามีของนาง อาจารย์สอนหนังสือยากจนที่ไม่มีตำแหน่งติดตัวคนหนึ่งก็ยังต้องจมน้ำตายอยู่ในลำคลองกับนาง เสื้อผ้าของสตรีขาดวิ่นไม่เป็นระเบียบ เพียงแต่ว่าศพลอยแช่อยู่ในน้ำ ใครยังจะกล้ามองมากอีก? สภาพการตายของบุรุษอนาถยิ่งกว่า ดูเหมือนว่าก่อนจะ ‘ตกน้ำ’ ยังถูกตัดเท้าทิ้งด้วย
เด็กหนุ่มคนหนึ่งใช้เงินสะสมทั้งหมดในบ้านจัดงานศพให้พี่สาวและบุรุษที่เขามองเป็นพี่เขยมานานแล้วเรียบร้อยก็แอบออกจากเมืองไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เดินทางผ่านสถานที่หลายแห่งจนไปถึงอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน กลายไปเป็นนักการในจวนเทพเซียน ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน แม้แต่ฝึกวรยุทธก็ยังไม่ได้ หลังจากนั้นก็ต้องมาตายเหมือนกับพี่สาวและพี่เขยในปีนั้น
‘เจิงเย่’ ยืนอยู่นอกประตูใหญ่ของจวนแห่งหนึ่งที่เปลี่ยนป้ายจวนไปแล้ว
ระหว่างที่เดินทางมานี้ วัตถุหยินตนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เวลานี้สีหน้าก็ยิ่งซึมเศร้า
ความอาฆาตแค้นของปีนั้นผ่านมาสามสิบปีแล้ว
นี่ยังไม่นับเป็นอะไร ตอนที่ออกจากโรงเตี๊ยมได้สอบถามทางกับเถ้าแก่ ผู้เฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด บอกว่าบุรุษของครอบครัวนั้น รวมไปถึงพวกคนเป็นวรยุทธทุกคนในสำนักล้วนเป็นชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้าค้ำดิน แต่คนดีกลับไม่มีชะตาชีวิตที่ดี ล้วนตายกันไปหมดแล้ว สำนักหนึ่งในยุทธภพ บุรุษร้อยกว่าคนเอ่ยคำมั่นสาบานว่าจะปกป้องเมืองแห่งนี้จนตัวตาย และพอตายกันไปหมดแล้ว ในจวนนอกจากเด็กๆ ก็แทบจะไม่มีบุรุษอยู่อีก
ใบหน้าของ ‘เจิงเย่’ เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขากุมศีรษะพูดพึมพำไม่หยุดว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้…”
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกาย ต่อให้สีหน้าของ ‘เจิงเย่’ จะยิ่งบิดเบี้ยวดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาก็ยิ่งมืดดำ แต่เฉินผิงอันกลับยังคงนิ่งเฉย เพียงแค่ดื่มเหล้าจิบเล็กๆ ไปเงียบๆ
ครู่หนึ่งต่อมา สายตาของ ‘เจิงเย่’ ก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความมีสติ เขาเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ สุดท้ายใช้สองมือยันไว้กับพื้น ก้มศีรษะลงหอบหายใจหนักหน่วง แม้แต่จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแล้ว
เฉินผิงอันถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าตอนที่ตัวเองมีสภาพอเนจอนาถมากที่สุดก็ไม่ต่างจากเจ้าสักเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนหมาตัวหนึ่ง หรือแม้แต่หมาก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็ยังเป็นคน”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างขมขื่น “แน่นอนว่าข้าผ่านมันมาได้ แม้ว่าจะไม่กินขี้ แต่ก็เดินเหยียบโชคขี้หมามาไม่น้อย เก่งกว่าเจ้าเยอะเลย”
หลังจาก ‘เจิงเย่’ สูดหายใจเฮือกใหญ่ๆ อยู่หลายครั้งก็นั่งแปะลงบนพื้น ยื่นมือออกมา “ท่านเฉิน ขอข้าดื่มเหล้าสักสองสามอึกได้ไหม? ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อนเลย”
เฉินผิงอันยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งไปให้ “เหล้ามีมากพอให้ดื่ม กลัวก็แต่ว่าเจ้าจะคออ่อนเท่านั้น”
‘เจิงเย่’ แหงนหน้าขึ้นกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ แล้วก็ต้องกระอักกระไอไม่หยุด สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ยื่นเหล้าส่งคืนให้นักบัญชี
ทว่าคนผู้นั้นกลับสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งอยู่ตรงนั้นคล้ายชาวบ้านที่ธรรมดาที่สุดในหมู่บ้านร้านตลาดซึ่งกำลังนั่งอาบแดดตากแสดงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาว
เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ลองดื่มดูอีกหน่อย ไม่แน่ว่าดื่มมากเข้าอาจจะชิน แล้วก็จะรู้ถึงข้อดีของการดื่มเหล้าแล้ว”
‘เจิงเย่’ ดื่มอีกหลายอึกจริงๆ เพียงแต่ว่าหัวคิ้วของเขาขมวดแน่น หลังจากเช็ดปากแล้วก็กล่าวว่า “ยังรู้สึกว่าดื่มยากอยู่ดี”
เฉินผิงอันถึงได้รับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าเองอีกอึก แล้วจึงผูกไว้ตรงเอว
‘เจิงเย่’ นั่งลงบนพื้น มองจวนแห่งนั้น ใบหน้าก็มีความเจ็บปวดปรากฎขึ้นอีกครั้ง ทำท่าจะพูดอยู่หลายครั้ง แต่ก็กลืนคำพูดกลับลงท้องไป ยื่นมือมาปิดหน้า
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “ทำไม อยากให้ข้าช่วยจดชื่อของคนครอบครัวนั้น ในอนาคตหากจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาก็ให้เขียนชื่อพวกเขาลงไปด้วย?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่มีทางตอบรับ ชื่อที่ข้าจะเขียนคือชื่อของเจ้า พี่สาวและพี่เขยของเจ้า ส่วนชื่อของคนเหล่านั้น ข้าจะไม่เขียนแม้แต่ชื่อเดียว เพราะข้าไม่รู้จักพวกเขา แต่ข้ารู้จักพวกเจ้า”
‘เจิงเย่’ พูดสะอึกสะอื้น “ข้าโง่มากเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “โง่มากเลยล่ะ”
‘เจิงเย่’ เช็ดหน้า พูดขึ้นด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “คนไร้ค่าอย่างข้า ไหนเลยจะยังมีหน้าไปจุดธูปไหว้หน้าหลุมศพพี่สาวและพี่เขย ท่านเฉิน หลังจากนี้ท่านช่วยไปจุดธูปและดื่มเหล้าคารวะพวกเขาแทนข้าหน่อยได้หรือไม่? ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ข้าก็บอกตำแหน่งที่ตั้งของหลุมศพแก่ท่านเฉินอย่างละเอียดแล้ว…ข้าคงไม่ไปแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันถามเบาๆ “คิดดีแล้วจริงๆ หรือ? ต้องรู้ว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสให้เสียใจภายหลังอีกแล้วนะ”
‘เจิงเย่’ พยักหน้ารับ “คิดดีแล้ว”
เฉินผิงอันจึงอืมรับหนึ่งที
‘เจิงเย่’ พลันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเฉิน ตอนที่ท่านไปที่หลุมศพ ช่วยบอกพี่สาวและพี่เขยข้าสักคำได้ไหมว่า ท่านคือเพื่อนของข้า?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
สุดท้าย ‘เจิงเย่’ บอกว่าเขาจะโขกหัวให้ท่านเฉิน
เฉินผิงอันไม่อนุญาต
แต่ ‘เจิงเย่’ ยืนกรานว่าจะทำเช่นนี้ บอกว่าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ
เฉินผิงอันมองเขาที่มีชื่อเดิมว่า ‘โจวกั้วเหนียน’ (กั้วเหนียนหมายถึงการฉลองเทศกาลปีใหม่หรือเทศกาลตรุษจีนของจีน) อย่างเหม่อลอย ไร้คำพูด
……
วันนี้คือวันสิ้นปี
บนเนินเล็กแห่งหนึ่งห่างจากเมืองไปสิบกว่าลี้
หน้าหลุมศพเล็กๆ หลุมหนึ่ง มีคนกำลังจุดธูปไหว้หลุมศพและดื่มเหล้าคารวะ
นั่นคือคนหนุ่มต่างถิ่นที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียว เขาเล่าความจริงที่เกิดขึ้นไปรอบหนึ่ง ต่อให้เป็นเรื่องที่ ‘เจิงเย่’ ต้องการให้ตนแสร้งเป็นสหายก็ยังเล่าด้วย
สุดท้ายเฉินผิงอันมองเนินขนาดเล็กแห่งนั้นแล้วพูดเบาๆ ว่า “มีน้องชายแบบนี้ มีน้องภรรยาแบบนี้ และยังมีข้าเฉินผิงอันที่สามารถมีสหายอย่างโจวกั้วเหนียนผู้นี้ ล้วนเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง”
……
ในโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ในเมือง ม่านราตรีมืดดำหนาหนัก
คืนวันสิ้นปี
คนทั้งสามไม่ได้จ่ายเงินจ้างให้คนทำอาหารฉลองวันสิ้นปีมื้อใหญ่ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงค่อนข้างจะผิดหวังอยู่บ้าง
เฉินผิงอันแค่ขอเตาไฟและถ่านไม้ถุงหนึ่งมาจากเถ้าแก่ หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ที่อารมณ์ดำดิ่งนั่งอยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอันจนถึงยามจื่อ (ประมาณ 23.00-01.00 น.)
แล้วก็ไม่มีการพูดคุยกันล้อมกองไฟ ไม่มีใครเอ่ยอะไรสักคำ
จากนั้นหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
เฉินผิงอันที่อยู่ต่างที่ต่างถิ่นเฝ้าคืนเพียงลำพังจนถึงเช้าวันใหม่
และหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไปอย่างนี้
—–