กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 456.5 ตอบแทนที่อาจารย์กลับคืนมา
วันนั้น
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ดวงตาทั้งคู่ใกล้บอดสวมชุดสีเขียวเก่าคร่ำคร่าที่ถูกซักจนแทบจะกลายเป็นสีขาวนั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่ในห้องโถงใหญ่ ผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
เขามองเห็นทหารสวมเสื้อเกราะของต้าหลีได้ไม่ชัดเจนแล้ว ทว่าเสียงเกราะเหล็กที่ดังกระทบกัน และยังมีเสียงฝีเท้าเช่นนั้นล้วนเป็นการแสดงถึงอำนาจบารมีบนสนามรบอย่างหนึ่งที่มากพอจะทำให้เจ้าเมืองของแคว้นสือหาวอกสั่นขวัญผวา
ทว่าทหารผู้กล้าสิบกว่าคนซึ่งรวมถึงอวี๋ซานฝางด้วยกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ยังไม่ทันรอให้พวกเขาเปิดปาก บัณฑิตผู้เฒ่าคนนั้นจะแค่นเสียงหยันเอ่ยด้วยภาษาทางการของต้าหลีที่สำเนียงถูกต้องแม่นยำที่สุด “ชุยฉานสอนให้พวกเจ้าช่วงชิงใต้หล้ามาแบบนี้หรือ?! ฉีจิ้งชุนสอนหลักการเหตุผลให้พวกเจ้าเช่นนี้หรือ?! ช่างเป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่บารมีอำนาจแผ่ไพศาลซะจริง ช่างสมกับเป็นต้าหลีที่ได้ยินเสียงท่องตำราอยู่ในสำนักศึกษาซานหยานานนับร้อยปีซะจริง!”
แล้วผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อก็พลันตบโต๊ะดังลั่น พยายามเบิกตากว้างจ้องถลึงใส่เสี้ยวเหว่ยและทหารบู๊ต้าหลีเหล่านั้นอย่างแค้นเคือง “ข้าอยากจะรู้นักว่าต้าหลีที่เป็นดั่งผายลมสุนัขจะกระโดดโลดเต้นอยู่ได้อีกสักกี่ปี!”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน และยังชี้หน้าด่ากราดใส่ทหารกล้าต้าหลีที่สวมชุดเกราะเหล็กเหล่านั้นไปหนึ่งคำรบ
ด่าจนอวี๋ซานฝางอัดอั้นตันใจอย่างถึงที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วทหารทุกคนซึ่งรวมถึงตัวเขาเองด้วยต่างก็ไม่มีใครชักดาบออกจากฝัก ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะพูดจาอาฆาตอีกฝ่าย
แล้วพวกเขาก็ออกมาจากเรือนแห่งนั้นทั้งอย่างนี้ อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้ใครไปรบกวนจวนแห่งนั้นอีกด้วย
หลังจากที่กวนอี้หรานรู้ก็เขียนจดหมายส่งไปให้ซูเกาซานด้วยตัวเอง ถามว่าจะสามารถแหกกฎอนุญาตให้คนตระกูลนี้ไม่ต้องติดภาพเทพทวารบาลเฉาหยวนของต้าหลีได้หรือไม่
อันที่จริงกวนอี้หรานเองก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก เพราะถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีใครกล้าข้ามเส้นบรรทัดฐานของกฎเหล็กต้าหลี
ผลกลับกลายเป็นว่าจดหมายที่ซูเกาซานตอบกลับมาเขียนด่ากวนอี้หรานซะจนไม่เหลือชิ้นดี บอกว่าตอนนี้แคว้นสือหาวคือแคว้นใต้อาณัติของต้าหลีแล้ว ไม่เคารพยำเกรงบัณฑิตประเภทนี้ หรือจะให้ไปเคารพเจ้าลูกเต่าอย่างหันจิ้งหลิง แล้วก็พวกเศษสวะสกุลหวงกลุ่มนั้น? เรื่องนี้ตกลงตามนี้ อนุญาตให้ครอบครัวของอาจารย์ผู้เฒ่าไม่ต้องติดภาพเทพทวารบาลต้าหลี หากท่านราชครูจะเอาผิด เขาซูเกาซานจะแบกรับไว้เอง ต่อให้เรื่องนี้ดังเข้าหูท่านอ๋อง เขาซูเกาซานก็ยังจะทำเช่นนี้ หากเจ้ากวนอี้หรานมีปัญญา หากมีวันใดที่ท่านราชครูจดจำความแค้นที่มีต่อข้าจริงๆ ก็จำไว้ว่าต้องพูดจาดีๆ เกี่ยวกับข้าผู้อาวุโสต่อหน้าปู่ทวดของเจ้าด้วย แล้วก็รบกวนให้เขาไปพูดถึงข้าดีๆ ต่อหน้าท่านราชครูสักคำ ไม่แน่ว่าอาจจะพอทำให้ท่านราชครูคลายโทสะลงได้บ้าง
เฉินผิงอันรับฟังเงียบๆ
สุดท้ายกวนอี้หรานเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองมาทางเฉินผิงอัน กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าบัณฑิตที่เป็นเช่นนี้ควรจะมีมากสักหน่อย เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีมากย่อมเป็นประโยชน์มาก”
กวนอี้หรานยิ้มตาหยี ชูถ้วยเหล้าขึ้นสูง “อยู่ที่นี่ก็มีแต่เจ้ากับข้าเท่านั้นที่พอจะถือว่าเป็นบัณฑิตได้ครึ่งตัว ผู้ฝึกยุทธหยาบกระด้างอย่างพวกอวี๋ซานฝางจะไปเข้าใจกะผีอะไร มาๆๆ พวกเราสองคนมาดื่มกันสักหน่อย”
เฉินผิงอันยิ้มพลางยกถ้วยเหล้าในมือขึ้นชนกับถ้วยเหล้าของกวนอี้หราน ไม่ได้แบ่งแยกระดับสูงต่ำระหว่างการชนถ้วยเหล้าทั้งสอง “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่ม”
อวี๋ซานฝางร้องเพ้ย จากนั้นก็พูดกับพวกสหายร่วมรบด้วยเสียงดังกังวานราวกับหาพวก “ชายชาตรีด่านชายแดนอย่างพวกเราก็มาดื่มกัน อย่าไปสนใจพวกซิ่วไฉยากจนแถวนี้เลย”
แล้วเสียงชนถ้วยเหล้าก้องกังวานก็ดังตามมา
สุดท้ายแต่ละคนก็ดื่มกันจนเมามาย หลังจากที่กวนอี้หรานมาส่งเฉินผิงอันที่หน้าประตูจวน ถูกลมเย็นของค่ำคืนในฤดูหนาวพัดใส่ ดวงตาจึงฉายสติแจ่มชัดขึ้นหลายส่วน เขาเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ในทะเลสาบซูเจี่ยน อย่างน้อยที่สุดก็ช่วงนี้ เจ้าไม่ต้องเข้ามามีเอี่ยวด้วย ในเมื่อแม้แต่ข้ายังไม่อาจนำเอกสารบางอย่างที่เกี่ยวกับเจ้ามาอ่านได้ บอกตามตรงว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ายังส่งกระบี่บินไปถามข่าวจากตระกูลที่เมืองหลวงมาโดยเฉพาะ และเนื้อความที่ตอบกลับมาในจดหมายก็ค่อนข้างจะคลุมเครือ แฝงเลศนัยไปเสียทุกส่วน นี่หมายความว่าอะไร ข้ารู้ชัดเจนดี ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า เพียงแต่ว่า…”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ดูท่ายังดื่มเหล้าได้ไม่เต็มที่ ถึงได้พูดเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นนอกจากประโยคแรกแล้ว ประโยคส่วนหลังที่เหลือ เจ้าก็ไม่ต้องบอกข้าเลย”
กวนอี้หรานตบไหล่เฉินผิงอัน “เจ้าตัวดี คำพูดนี้เจ้าพูดเองนะ เจ้าติดเหล้าข้าอีกมื้อแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอให้สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว ถึงเวลานั้นจะเลี้ยงเหล้าเจ้าอีกมื้อ คิดซะว่าเป็นการฉลองที่เจ้าได้เลื่อนขั้น”
กวนอี้หรานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
หากหลังจากนี้เฉินผิงอันจะมาเยี่ยมหาบ่อยๆ กวนอี้หรานก็ยินดีอย่างมาก เพียงแต่ว่านี่เกี่ยวพันกับข้อห้ามมากมายในวงการขุนนาง ย่อมต้องทิ้งโรคร้ายไว้เบื้องหลังให้แก่คนทั้งสอง
ทว่าประโยคนี้กวนอี้หรานได้แต่เก็บไว้ในท้องของตัวเองเท่านั้น เขาคิดว่าในเมื่อนับอีกฝ่ายเป็นสหายก็ควรจะต้องจ่ายค่าตอบแทนสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคิดว่าเขากวนอี้หรานแค่ตะกละกิน น้ำลายสออยากดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนที่เฉินผิงอันเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวจริงๆ หรือ? เขาที่เป็นถึงว่าที่เจ้าประมุขสกุลกวนซึ่งเป็นเสาคานค้ำยันราชสำนักต้าหลีจะขาดแคลนสิ่งนี้หรือไร? สิ่งที่เขาขาดก็มีแค่สหายที่ตัวเองยอมรับเท่านั้น
แต่ในเมื่อเฉินผิงอันมองขาดเรื่องนี้ตั้งแต่ได้ยินคำพูดประโยคแรกของเขา แล้วเอ่ยคำว่า ‘รอสถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว’ ออกมา กวนอี้หรานย่อมดึใจมากกว่าเดิม
สหายที่แท้จริง การดื่มเหล้าร่วมกันอย่างเต็มคราบเป็นเรื่องที่จำเป็นก็จริง ทว่าชีวิตคนไม่อาจสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่อง จะต้องมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจวางอยู่ตรงนั้น หากสหายมองเห็น เก็บไปใส่ใจ ยินดีคิดเพื่ออีกฝ่าย นั่นก็ย่อมดีที่สุดอย่างแท้จริง ในมือไร้ถ้วย ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกเหมือนได้ดื่มเหล้าหมักอย่างเปรมปรีดิ์
คนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวเดินอยู่บนถนนใหญ่ที่เงียบสงบช้าๆ
กวนอี้หรานมองแผ่นหลังผอมบางนั้นก็ให้นึกถึงใบหน้าที่ข้างแก้มซูบตอบเว้าลึกขึ้นมา
อยู่ดีๆ กวนอี้หรานก็รู้สึกเวทนาอีกฝ่าย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าแท้จริงแล้วสหายคนนั้นสง่างามอย่างมาก
คาดว่ามือกระบี่ที่แท้จริงก็คงจะเป็นเช่นนี้กระมัง ยามอยู่ในงานเลี้ยงก็ร่ำสุราอย่างเต็มที่ เมื่องานเลี้ยงเลิกราก็ยังคงเดินไปบนมหามรรคาเพียงลำพัง
กวนอี้หรานเคยดื่มเหล้ากับคนมามากมาย แล้วก็เคยเลี้ยงเหล้าคนหลายคน
แต่เคยมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของต้าหลีที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่คนหนึ่ง คนที่เป็นเทพเซียนสูงส่งเกินใครแล้ว ยามนั้นเขาออกจากชายแดนกลับคืนไปยังบ้านเกิด เทพเซียนผู้นั้นปรากฏตัว มาหาเขาที่ถนนฉือเอ๋อร์ด้วยตัวเอง บอกว่าจะเลี้ยงเหล้าเขาแล้วพูดคุยกันสักหน่อย
กวนอี้หรานยิ้มถาม ‘เจ้าคู่ควรหรือ?’
ตอนนั้นทุกคนที่อยู่ข้างกายล้วนรู้สึกว่ากวนอี้หรานเมาแล้วหรือเปล่า นี่จะต้องสร้างปัญหาที่ไม่เล็กให้แก่เขาอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นตระกูลกวนก็อาจจะยังต้องได้ดื่มสุราลงทัณฑ์กันหนึ่งจอก
หลังจบเรื่องเขากลับไปที่จวนในตรอกอี้ฉือ ท่านปู่ทวดของเขาหัวเราะร่าไม่หยุด ตบไหล่หลานทวดหนุ่มแน่นผู้นี้อย่างแรง
นั่นเป็นครั้งที่สองที่กวนอี้หรานเห็นท่านปู่ดีใจขนาดนี้ ครั้งแรกก็คือตอนที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพ ไปเป็นผู้ฝึกตนลาดตระเวนระดับขั้นต่ำที่สุดที่ชายแดน
มักจะต้องมีคนบางคนที่รู้สึกว่ามีเพียงตำแหน่งฐานะเท่านั้นที่จะสามารถตัดสินว่าคนคนหนึ่งจะนั่งร่วมโต๊ะสุราได้หรือไม่
คนเหล่านี้ต่อให้เหยียบโชคขี้หมา ได้นั่งอยู่บนโต๊ะสุราจริงๆ ก็มีแต่จะก้มหน้าค้อมเอว คอยเป็นฝ่ายดื่มคารวะคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาที่ชนจอกก็จะต้องลดระดับจอกให้อยู่ต่ำกว่า แทบอยากจะนอนหมอบคลานอยู่บนพื้นด้วยซ้ำ
ทั้งน่าสนุกที่สุดและน่าขำที่สุด
กวนอี้หรานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกบ้านล้วนมีตำราที่อ่านยาก คนเหล่านี้ก็ต้องทำความเข้าใจสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรบางคนก็ถูกชีวิตบีบบังคับให้จำต้องทำเช่นนั้น ทว่าคนที่มากกว่านั้นกลับเป็นพวกหัวแหลม ใช้สิ่งจอมปลอมอย่างการอบรมสั่งสอน ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลและความหยิ่งในศักดิ์ศรีทั้งหลายมาแลกด้วยเงินที่เป็นของจับต้องได้จริง ในบรรดาพวกเขาก็จะต้องมีคนที่ป่ายปีนไปได้สูงมากๆ อยู่จริง แต่ว่าอย่างน้อยพวกเขาก็อย่าได้หวังว่าจะนั่งบนโต๊ะสุราตัวนี้ของข้ากวนอี้หราน เพื่อที่ในอนาคตจะได้เจอกับคนจำพวกนี้น้อยลง ข้าเองก็ควรขยันมานะให้มากๆ ไม่อย่างนั้นวันใดอาจถึงคราวที่ข้าต้องดื่มสุราคารวะพวกเขา แบบนั้นจะไม่จบเห่หรอกหรือ ถึงเวลาคนที่ถูกเหยียบย่ำ นอกจากตัวเองแล้วยังมีคนทั้งสกุลกวน และสหายทั้งหลายที่เคยดื่มเหล้ามาร่วมกันด้วย”
เฉินผิงอันที่ออกจากนครน้ำบ่อมาแล้วย่อมเดาไม่ออกว่ากวนอี้หรานจะคิดอะไรไปมากมาย และคิดไปไกลขนาดนั้น
หลังกลับมาถึงท่าเรือ เขาก็พบว่าเรือข้ามฟากของเกาะชิงเสียยังคงจอดรออยู่
นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
กวนอี้หรานที่ตัวตนถูกบดบังด้วยไอเมฆหมอก แต่กลับสร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คนได้ย่อมมากพอจะทำให้พวกเถียนหูจวินพิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อีกครั้ง
ไม่แน่ว่าหลังจากหวงเฮ้อได้ยินเรื่องนี้ก็อาจจะล้มเลิกความคิดที่จะเลี้ยงเหล้าตน เพราะไม่สามารถวางท่าโอ้อวดกับตนได้อีกแล้ว
หลังขึ้นเรือมา เถียนหูจวินก็กล่าวด้วยสีหน้าละอายใจ “ได้แต่ทนมองศิษย์น้องเล็กและท่านอาหญิงไปจากจวนชุนถิงโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กำลังของคนมีจำกัด แค่พยายามเต็มที่ก็พอแล้ว”
เถียนหูจวินมองใบหน้านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของนักบัญชีท่านนี้ แต่ก็ไม่พบแววเสียดสีเหน็บแนมใดๆ กระนั้นในใจนางก็ยังหวาดหวั่น เพราะถึงอย่างไรหลังจากที่อาจารย์อย่างหลิวจื้อเม่าแทบจะไม่มีโอกาสลุกผงาดขึ้นมาอีกครั้ง การกระทำของนางทุกอย่างก็ล้วนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อวางแผนให้กับตัวเองและเกาะซู่หลินอย่างแท้จริง ทว่าความพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออาจารย์และศิษย์น้องเล็กนั้นกลับ…ไม่มีเลย
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “จะจัดการกับจวนชุนถิงอย่างไร?”
เถียนหูจวินยิ้มกล่าว “ขอแค่ท่านเฉินยินดีก็สามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ทุกเมื่อ”
เฉินผิงอันโบกมือ “ช่างเถิด ข้าพักอยู่ในห้องเดิมมาจนชินแล้ว”
เถียนหูจวินจึงไม่พูดอะไรมากอีก
จวนชุนถิงคือสถานที่ที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเป็นรองแค่จวนเหิงโปเท่านั้น เมื่อสตรีแต่งงานแล้วย้ายออกไป พวกผู้ถวายงานลำดับต้นแทบทุกคนซึ่งรวมถึงอวี๋กุ้ยเองด้วยต่างก็เริ่มจับจ้องตาเป็นมัน ส่วนจวนเหิงโปแห่งนั้น ไม่ว่าใครก็อยากจะเก็บเข้ามาเป็นของในกระเป๋าของตัวเอง เพียงแต่ว่าไม่มีใครมีความสามารถนั้นก็เท่านั้น ต่อให้เป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนเกาะชิงเสียอย่างเถียนหูจวินก็ยังไม่คิดว่าตัวเองสามารถสร้างจวนเหิงโปขึ้นมาใหม่แล้วไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นได้
รนหาที่ตายงั้นหรือ?
ส่วนจวนชุนถิง เถียนหูจวินต้องเอากลับคืนมาแน่นอน และการที่บอกให้เฉินผิงอันย้ายเข้าไปอยู่ก็เป็นแค่คำพูดตามมารยาทที่นางพูดไปแต่ปากเท่านั้น เพราะนางก็รู้ดีว่าเฉินผิงอันไม่มีทางตอบรับ
คบค้าสมาคมกับคนฉลาด โดยเฉพาะคนฉลาดที่ยึดหลักกฎเกณฑ์ นับว่าค่อนข้างจะผ่อนคลาย
หากไม่เป็นเพราะอยู่ดีไม่ว่าดีเฉินผิงอันก็มีสหายที่ชื่อว่ากวนอี้หรานโผล่มา เถียนหูจวินอาจจะยังจอดเรือไว้ที่ท่าเรืออยู่ก็จริง แต่จะไม่มีทางออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเด็ดขาด อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนนักบัญชีที่ไม่มีอำนาจในสถานการณ์ใหญ่คนหนึ่งมีแต่จะเปลืองน้ำลายเปล่าๆ
เถียนหูจวินยืนเป็นเพื่อนเฉินผิงอันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก็บอกลาจากไป
เฉินผิงอันที่ถือเตาอุ่นมือใบนั้นยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ
เถียนหูจวินมองรอยยิ้มของบุรุษท่าทางอิดโรยผู้นั้น ในใจก็เกิดคลื่นกระเพื่อมไหวเล็กน้อย เพียงแต่นางไม่ได้เก็บมาคิดอย่างลึกซึ้ง
เฉินผิงอันหันหลังให้เถียนหูจวิน ทอดสายตามองทัศนียภาพของทะเลสาบ ใจลอยไปไกลเป็นหมื่นลี้
สำนักกุยหยก
เงาดำใต้โคมไฟ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงจริงๆ
หากเป็นสำนักกุยหยก ถ้าเช่นนั้นเมื่อเกี่ยวพันกับการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก การกะกำลังไฟ (อุปมาถึงความชำนาญหรือช่วงเวลาที่คับขัน) ก็พอดิบพอดีจริงๆ
แต่เรื่องวงในที่คดเคี้ยวหักงอยังคงหลบซ่อนอยู่หลังม่านหนาหนัก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเห็นด้วยกับคำเตือนจากคนนอกสถานการณ์อย่างกวนอี้หรานเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการทั้งหลายที่วางไว้ก็ได้แต่ต้องรอดูสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ และไม่แน่ว่าการรอคอยนี้ สิ่งที่ได้มาอาจเป็นการที่แผนการแต่ละอย่างต้องสลายหายไปด้วยตัวเองก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่นกฎเกณฑ์อย่างใหม่ที่กำหนดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน ยกตัวอย่างเช่นแผนการครอบครองเกาะแห่งหนึ่งบนทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อสร้างสำนักแห่งหนึ่งที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอก แต่ก็มีกำลังพอให้ปกป้องตัวเองให้กับพวกภูตผีวัตถุหยินโดยเฉพาะ
อันที่จริงเฉินผิงอันคิดไว้เยอะมาก ทว่าเรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ เขาจึงได้แต่เปลี่ยนแปลงแผนการไปตามสถานการณ์
ข้อดีข้อเสีย ความขึ้นๆ ลงๆ ทางเลือกทั้งหลายที่อยู่ในเรื่องราวครั้งนี้ ล้วนไม่อาจบอกกล่าวแก่คนนอกได้
หลายเรื่องๆ ทำได้เพียงแค่เงียบงันเท่านั้น
กลับมาถึงเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันกลับเข้าห้อง จุดไฟใส่กระถาง เพิ่มความอบอุ่นให้กับในห้อง ถ่านไม้ที่อยู่ในถุงเหลืออีกไม่มากแล้ว เฉินผิงอันหัวเราะเยาะตัวเองหนึ่งที หากไม่เป็นเพราะการปรากฏตัวของกวนอี้หราน คาดว่าคิดจะขอถ่านไม้ก็คงต้องไปขอเอาจากเกาะชิงเสีย แน่นอนว่าพวกเขายังต้องมอบให้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็น่าจะมีคนวิ่งมาสอบถามด้วยตัวเองว่า ในห้องของท่านเฉินต้องการเติมถ่านไม้หรือไม่? อีกอย่างก็คือนับจากพรุ่งนี้ไป ที่เรือนของตนก็น่าจะมีแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง
เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวนั้น เริ่มคิดบัญชีต่ออีกครั้ง
ไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน
พอฟ้าสาง เฉินผิงอันก็ผลักประตูเปิด เดินเล่นไปถึงจวนจูเสียน ตอนนี้หงซูคนเฝ้าประตูยังทำงานอยู่ที่จวนชุนถิง ไม่รู้ว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่ตนสูญเสียอำนาจ คำพูดระคายหูจากเหล่าผู้ดูแลและสาวใช้ในจวนจะย้อนกลับคืนมาหรือไม่ หรือยิ่งนานวันก็ยิ่งรุนแรงกว่าช่วงแรกเริ่มสุดเสียอีก? แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว คิดดูแล้วเมื่อผ่านเรื่องราวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทางฝั่งของจวนชุนถิงก็น่าจะมีความจำกันขึ้นมาบ้างแล้ว และชีวิตของหงซูก็ไม่น่าจะลำบากเกินไปนัก
หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีแห่งจวนจูเสียนเห็นสภาพของเฉินผิงอันที่ยิ่งนานก็ยิ่งจะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง ก็ให้ดีใจเป็นพิเศษ ช่วยไม่ได้ สำหรับในเรื่องนี้ผู้ฝึกตนผีมีคุณธรรมไม่ไหวจริงๆ เมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานระหว่างเขากับองค์หญิงใหญ่หลิวจ้งรุ่นแล้ว เขาก็จำเป็นต้องป้องกันคนหนุ่มอย่างเฉินผิงอันไว้ให้มาก หลีกเลี่ยงไม่ให้วันใดวันหนึ่งเฉินผิงอันยังไม่ทันได้ดื่มสุรามงคลของตน ตนกลับต้องได้รับเทียบเชิญงานแต่งของเฉินผิงอันกับหลิวจ้งรุ่นแทน
เฉินผิงอันคุยเล่นกับหม่าหยวนจื้ออยู่สองสามประโยคก็ไปจากจวนจูเสียน
หม่าหยวนจื้อยิ้มกว้างแทบหุบปากไม่ลง ไม่ว่าจะมองเฉินผิงอันอย่างไรก็ให้รู้สึกสบายหูสบายตา คำก็ท่านเฉิน สองคำก็ท่านเฉิน ไม่เคยจริงใจขนาดนี้มาก่อนเลย
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เขาก็คร้านจะเสียเวลาคัดง้างกับหม่าหย่วนจื้อต่อ
คนเฝ้าประตูคนใหม่ของจวนจูเสียนคือสาวใช้คนหนึ่งที่มาจากจวนชุนถิง พอเห็นเฉินผิงอันก็กระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ ต้องรู้ว่าที่นี่คือ ‘สถานที่นำโชค’ ของหงซูผู้นั้น แล้วก็เพราะนางตีสนิทกับท่านเฉินได้ ถึงได้มีวันเวลาที่สุขสบายได้เป็นหัวหน้าน้อยอยู่ในจวนชุนถิง เฉินผิงอันเองก็พูดจากับนางอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น พูดมากไปแล้วอย่างไร เกาะชิงเสียอันกว้างใหญ่มีหงซูได้สักกี่คน? แค่คนเดียวเท่านั้น
แล้วก็เป็นอย่างที่เฉินผิงอันคาดการณ์เอาไว้ วันนี้มีคนคุ้นเคยหลายคนมาเยือนเกาะชิงเสียเพื่อพูดคุยถึงเรื่องในวันวานกับเขาจริงๆ
ตอนนี้เฉินผิงอันรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้คล่องขึ้นแล้ว เขาจึงไม่รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ หรือพูดจาไม่เป็นธรรมชาติอย่างในอดีตอีก
ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ค่อยๆ สั่งสมมาทีละเล็กทีละน้อย