กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 469.2 ขี่กระบี่ไปเยือนศาลบรรพจารย์
เฉินผิงอันไปเยือนเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อี ส่งมอบเอกสารผ่านด่านที่หน้าประตูเมือง เป็นเอกสารสำมะโนครัวใหม่เอี่ยมที่เว่ยป้อทำมาให้ แน่นอนว่าในสำมะโนครัวยังเป็นคนสกุลของเขตการปกครองหลงเฉวียน
สอบถามไปตลอดทาง จนกระทั่งรู้ที่พักของอวี๋เวิงเซียนเซิง
ที่นั่นคือตรอกเล็กเงียบสงบที่มีเพียงเสียงสายฝน
เฉินผิงอันเคาะประตู
เพียงไม่นานก็มีเด็กหนุ่มร่างผอมสูงท่าทางเงียบขรึมเดินออกมา พอเห็นเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มก็มีท่าทางลังเลใจ คล้ายไม่แน่ใจในตัวตนของเฉินผิงอันสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยทักทาย “จ้าวซู่เซี่ย”
เด็กหนุ่มร้องออกมาอย่างตกตะลึงระคนยินดี “ท่านเฉิน!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ มองประเมินเด็กหนุ่มร่างผอมสูงก็เห็นว่าปณิธานหมัดของอีกฝ่ายมีไม่มาก แต่กลับบริสุทธิ์ ตอนนี้น่าจะยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสาม แต่ยังอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุขอบเขตอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธที่ทำให้คนมองออกแค่เพียงปราดเดียวเหมือนอย่างเฉินยวนจี แต่เฉินผิงอันกลับชอบ ‘ความหมาย’ บนตัวของจ้าวซู่เซี่ยนี้มากกว่า ดูท่าหลายปีที่ผ่านมานี้ จ้าวซู่เซี่ย ‘แอบเรียน’ ท่าเดินนิ่งหกก้าวไปจากเขา จะหมั่นฝึกฝนอยู่ไม่ขาด
เด็กหนุ่มก็คือจ้าวซู่เซี่ยที่ปีนั้นถือมีดผ่าฟืนปกป้องเด็กหญิงไว้สุดชีวิต
จ้าวซู่เซี่ยปิดประตู พาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในเรือนด้านหลังด้วยกัน เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “ปีนั้นสอนท่าหมัดนั้นให้เจ้า ฝึกครบหนึ่งแสนรอบแล้วหรือยัง?”
จ้าวซูเซี่ยเกาหัว เอ่ยอย่างเขินอายเล็กน้อย “ตามคำบอกของท่านเฉินในปีนั้น หนึ่งรอบถือเป็นหนึ่งหมัด ตลอดหลายปีมานี้ข้าไม่กล้าแอบอู้ แต่ก็เดินได้ช้ามากจริงๆ เพิ่งจะฝึกไปได้หนึ่งแสนหกหมื่นสามพันกว่าหมัดเท่านั้น”
เฉินผิงอันถาม “เคยประมือกับศัตรูแล้วหรือยัง? หรือมียอดฝีมือคอยชี้แนะให้หรือไม่”
จ้าวซู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่เคย”
เฉินผิงอันโล่งอก หากจ้าวซู่เซี่ยเคยผ่านการขัดเกลาที่ตัดสินเป็นตายมาก่อน ปณิธานหมัดจะถูกขัดเกลาจนไม่มีเหลี่ยมคม ยามออกหมัดจะยิ่งคล่องแคล่วและยิ่งนานก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหลายปีมานี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะฝึกได้แค่หนึ่งแสนหกหมื่นหมัด แต่หากไม่เคย นั่นก็แสดงว่าเขาเพียงแต่ออกหมัดไปอย่างเชื่องช้า เหมือนน้ำที่หยดลงหินทุกวัน แน่นอนว่าย่อมยากที่จะฝึกเดินท่าหมัดนี้ได้รวดเร็ว แต่ความช้าเช่นนี้ เฉินผิงอันกลับไม่กังวลใจ มีปณิธานหมัดอยู่ติดตัว ก็เหมือนกับสุราถ้วยนั้นที่ท่านยายยื่นส่งมาให้ ขอแค่ถือไว้นิ่งๆ ไม่ว่าอย่างไรสุราที่อยู่ด้านในก็ไม่หนีไปไหนสักหยดเดียว ปณิธานหมัดก็เช่นเดียวกัน แต่หากความคิดจิตใจเกิดเกียจคร้าน ปณิธานหมัดก็จะเบาและล่องลอย ประดุจสุราที่สาดกระเซ็นไปสี่ทิศโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย วันหน้าก็ยากที่จะข้ามผ่านด่านใหญ่ของขอบเขตสามไปได้ การฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสามของผู้ฝึกยุทธ เปลี่ยนจากขอบเขตหลอมเรือนกายเป็นหลอมลมปราณนั้น ยากอย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันเคยเผชิญกับความยากลำบากอย่างสุดแสนมาก่อน ปีนั้นตัวจูลู่เองก็ข้ามผ่านมันไปไม่ได้ ต้องอาศัยยาของร้านยาตระกูลหยางถึงจะฝ่าทะลุขอบเขตมาอย่างถูไถ ส่วนลูกศิษย์หญิงคนใหม่ที่หยางเหล่าโถวรับไว้นั้น ล้วนผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ทว่าสตรีที่เป็นผู้ฝึกยุทธเช่นเดียวกันสองคนนี้ กลับมีเส้นทางอนาคตในการเรียนวรยุทธที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
จ้าวซู่เซี่ยพาเฉินผิงอันมาถึงเรือนด้านหลังที่เงียบสงบ ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อและเด็กสาวหน้าตางามพิสุทธิ์คนหนึ่งยืนเคียงไหล่กันอยู่ใต้ชายคา
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มกล่าว “ท่านเฉินมาแล้ว!”
เฉินผิงอันปลดงอบลง กุมหมัดยิ้มเอ่ยว่า “คารวะอวี๋เวิงเซียนเซิง”
จากนั้นก็หันไปมองจ้าวหลวนที่อายุเพิ่งจะถือได้ว่าเป็นเด็กสาว “หลวนหลวน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ชายชราลัทธิขงจื๊อที่เส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะแทบจำเฉินผิงอันไม่ได้
อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน
แม้จะบอกว่าจากลากันมานานหลายปี แต่ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อก็ยังยากที่จะนำบุรุษเรือนกายสูงเพรียว หน้าตาสุภาพอ่อนเยาว์ตรงหน้าผู้นี้ไปทับซ้อนรวมกับภาพของเด็กหนุ่มสะพายหีบไม้ไผ่ในความทรงจำคนนั้นได้
กลับเป็น ‘หลวนหลวน’ ของในปีนั้นที่น้ำตาอาบหน้า ทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ เรียกเสียงสั่นๆ ว่าท่านเฉินหนึ่งคำ
สำหรับเฉินผิงอัน
ไม่ว่านางจะซาบซึ้งหรือคิดถึงเขามากเท่าไหร่ก็ล้วนไม่เกินไป
ตลอดหลายปีมานี้นางจึงคิดถึงเขาคนนั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าบนเส้นทางของการฝึกตนจะเจอกับความน่าเบื่อหน่าย ความทุกข์ ความลำบาก ความอยุติธรรมหรือดีใจ นางก็จะต้องคิดถึงคนผู้นั้นของปีนั้นอยู่เสมอ
พี่ชายจ้าวซู่เซี่ยมักจะชอบเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อนาง เมื่อนางอายุมากขึ้นก็ยิ่งเก็บงำความคิดไว้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้การล้อเลียนของพี่ชายเกินขอบเขต
จ้าวซู่เซี่ยมีนิสัยสุขุม ก็มีเพียงเวลาอยู่กับหลวนหลวนที่ไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ ผู้นี้เท่านั้นที่ถึงจะไม่เคยปิดบังอารมณ์ใดๆ
คนทั้งสี่นั่งลงพร้อมกัน การกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่เรือนโบราณหลังนั้น ทุกคนดื่มเหล้า แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ทุกคนดื่มชา
ปราณวิญญาณเป็นเส้นๆ ที่ถูกฟูมฟักอยู่ในน้ำชาก็เพื่อการฝึกตนของจ้าวหลวน สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ยิ่งพรสวรรค์ดีเท่าไหร่ การก้าวเดินราบรื่นเท่าไหร่ การกินอยู่ก็ยิ่งต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากเท่านั้น
อวี๋เวิงเซียนเซิงที่ปีนั้นร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารในเมืองแยนจือมีแซ่อู๋ นามว่าซั่วเหวิน คือผู้ฝึกตนเฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง เฉินผิงอันรู้สึกเคารพเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางกล้าฝากฝังจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวนไว้กับเขา
ดูจากการที่ชายชราลัทธิขงจื๊อปฏิบัติต่อหลวนหลวนและจ้าวซู่เซี่ยแล้วก็มองออกว่า เขาไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ
อีกทั้งตลอดหลายปีมานี้เฉินผิงอันก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง ยิ่งประสบการณ์ในการท่องยุทธภพเพิ่มพูนขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจความชั่วร้ายของจิตใจคนได้ดีขึ้น นั่นยิ่งทำให้เขารู้ว่าการกระทำความดีในปีนั้น อันที่จริงแล้วไม่แน่ว่าอาจสร้างเป็นการปัญหาที่ไม่เล็กให้แก่ชายชราลัทธิขงจื๊อ
เพียงแต่เมื่อก้าวขึ้นเขาเริ่มฝึกตน
ทุกคนมักไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่เสมอ
ไม่อยู่ในยุทธภพก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องมากมายที่อาจเกี่ยวพันไปถึงการช่วงชิงและการงัดข้อกันในเรื่องใหญ่อย่างความเป็นความตาย ไม่อยู่บนภูเขา ต่อให้ไม่ถือว่าโชคดี เพราะชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางได้เห็นภาพอันงดงามตระการตาบนเส้นทางของการพิสูจน์ความเป็นอมตะ ไม่มีทางได้รับอิสระเสรีของการมีชีวิตยืนยาว แต่เหตุใดนั่นจะไม่ใช่ความโชคดีที่มั่นคงอีกอย่างหนึ่ง
อีกทั้งยิ่งพรสวรรค์ของจ้าวหลวนดีเท่าไหร่ นี่ก็หมายความว่าภาระที่ชายชราลัทธิขงจื๊อต้องแบกอยู่บนบ่าและในหัวใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทำอย่างไรถึงจะไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนของจ้าวหลวน? ทำอย่างไรถึงจะสามารถหาวิชาลับตระกูลเซียนที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกันมาให้จ้าวหลวนได้? ทำอย่างถึงจะรับประกันได้ว่าจ้าวหลวนจะสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้มกังวลกับเงินเทพเซียนที่ต้องเสียไป?
เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย
มีเพียงได้เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้ ได้เห็นคนสารพัดรูปแบบ ได้พบเจอเรื่องราวหลากหลายแล้วเท่านั้น ถึงจะรู้อย่างแท้จริงว่าการเป็น ‘คนดี’ คนหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย และนั่นถึงจะทำให้เข้าใจความยากลำบากนานัปการบนโลกใบนี้เหมือนเผชิญมากับตัวเองได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นก่อนจะเข้ามาในแคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันจึงไปที่แคว้นกู่อวี๋มาก่อนรอบหนึ่ง ไปหาภูตต้นอวี๋ที่ผูกปมแค้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่ในอดีตอย่างใต้เท้าราชครูแคว้นกู่อวี๋ผู้นั้น
เพราะกังวลว่าภูตที่อยู่ในตำแหน่งสูงผู้นี้จะยังไปหาเรื่องจวนโบราณ นักฆ่าที่มาลอบฆ่าในแคว้นซูสุ่ยปีนั้น เฉินผิงอันยังคงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อไปถึงสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงซึ่งเป็นถิ่นของอีกฝ่าย ก็ง่ายดายมาก เฉินผิงอันไปหาเขาถึงบ้าน พบหน้ากันก็ต่อยให้อีกฝ่ายล้มคว่ำด้วยสามหมัด
ต่อยจนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บไม่เบา อย่างน้อยตบะที่มุมานะฝึกฝนมาสามสิบปีก็ไหลหายไปกับสายน้ำ
จากนั้นก็ถามเขาว่าจะยังตามตอแยไม่เลิกราอีกหรือไม่ หากแน่จริงก็ส่งนักฆ่ามาลอบฆ่าตนได้เลย
ราชครูแคว้นกู่อวี๋ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของบัณฑิต ตอนนั้นเลือดสดท่วมหน้า ล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก เขาตอบว่าไม่กล้า
ถึงอย่างไรตอนนั้นกระบี่บินสองเล่ม เล่มหนึ่งก็จ่ออยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา ส่วนอีกเล่มปลายกระบี่ก็ทิ่มตรงกับหัวใจ
เฉินผิงอันถึงได้จากมา
อีกทั้งยังจงใจไปนั่งรออยู่ในร้านน้ำชานอกประตูเมืองหลวงแคว้นกู่อวี๋ รอแผนเล่นงานตลบหลังของราชครูผู้นั้น
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เฉินผิงอันถึงได้มาที่แคว้นไฉ่อี
เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งอึกแล้วก็พูดเข้าประเด็นทันที “ท่านอู๋ ได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกตนของแคว้นไฉ่อีอยากจะรับหลวนหลวนเป็นลูกศิษย์หรือ?”
อู๋ซั่วเหวินพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเป็นกังวล “หากเซียนซือใหญ่ท่านนั้นตั้งใจจะถ่ายทอดวิชาเซียนให้แก่หลวนหลวนจริง ต่อให้ข้าจะตัดใจไม่ได้แค่ไหนก็ไม่มีทางทำให้หลวนหลวนพลาดโอกาสอันดีไป เพียงแต่ว่าการที่เซียนซือใหญ่ท่านนี้ยืนกรานจะให้หลวนหลวนขึ้นเขาไปฝึกตน ความเป็นไปได้ครึ่งหนึ่งนั้นน่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์ของหลวนหลวน ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง…เฮ้อ บุตรชายของเซียนซือใหญ่ท่านนี้คือคนเสเพลที่นิสัยแย่มาก เขาพบหลวนหลวนในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นไฉ่อี ช่างเถิด เรื่องสกปรกพวกนี้ ไม่พูดถึงดีกว่า หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะพาหลวนหลวนและซู่เซี่ยไปจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ไม่อยู่ในแคว้นหลายสิบแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีนี่ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันถาม “ภูเขาของตระกูลเซียนและพ่อลูกคู่นั้นมีชื่อว่าอะไรกันบ้าง? ห่างจากเมืองแยนจือไปไกลหรือไม่? ทิศทางคร่าวๆ อยู่ตรงที่ใด?”
แม้อู๋ซั่วเหวินจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังตอบคำถามทีละข้ออย่างชัดเจน บอกว่าภูเขาเหมิงหลงแห่งนั้นห่างจากเมืองแยนจือไปหนึ่งพันสองร้อยกว่าลี้ แน่นอนว่านี่คือระยะทางที่ต้องเดินเท้าข้ามเขาลงห้วยไป
เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งถ้วยแล้วก็ลุกขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงสักหน่อย กลับมาแล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ ไม่น่าจะนานเท่าไหร่”
อู๋ซั่วเหวินลุกขึ้นยืน ส่ายหน้ากล่าวว่า “คุณชายเฉิน อย่าได้วู่วาม เรื่องนี้ควรต้องวางแผนระยะยาว ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาเหมิงหลงเชี่ยวชาญในด้านการโจมตี อีกทั้งยังมีเทพเซียนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์…”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “วางใจเถอะ ข้าไปคุยด้วยเหตุผล หากคุยไม่รู้เรื่อง…ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
มีคำพูดบางอย่างที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกมา
ในเมื่อเป็นเหตุผลที่สามารถนำมาใช้ได้ในตอนนี้ ก็ไม่ควรเก็บกดเอาไว้ พูดไปแล้วค่อยว่ากัน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาเหมิงหลง ส่วนกับบางคนที่ยังพูดด้วยไม่ได้ ก็เหลือค้างไว้ก่อน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาตะวันเที่ยง สกุลสวี่นครลมเย็น วันใดวันหนึ่งก็จะต้องเหมือนเหล้าหมักเก่าแก่ที่ถูกดึงออกมาจากใต้ดิน
ส่วนจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลอย่างไร เขาเฉินผิงอันมีทั้งหมัด แล้วก็มีทั้งกระบี่
ไปที่ศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนแห่งนั้น สิ่งเดียวที่จะไม่ใช้คือฝีปาก
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วได้เห็นทัศนียภาพของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ชุยเฉิงกล่าวถึงมาแล้ว แล้วก็ได้ฟังหลักการเหตุผลข้อหนึ่งของผู้เฒ่า มีแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
ร่ำสุรากับคนที่มีเหตุผล ออกหมัดรวดเร็วใส่คนที่ไร้เหตุผล นี่ก็คือยุทธภพที่เจ้าเฉินผิงอันสมควรมี ฝึกหมัดไม่ใช่แค่เพื่อนำมาใช้ต่อสู้บนเตียงเท่านั้น ต้องนำมางัดข้อกับวิถีของโลกใบนี้ ต้องสอนให้ทั้งบนและล่างภูเขาเจอหมัดเจ้าก็ต้องโขกหัวคำนับให้เจ้า!
สำหรับประโยคครึ่งแรก เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างยิ่ง ส่วนประโยคหลังนั้น เขารู้สึกว่าคงต้องรอปรึกษากันอีกหน่อย
เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ เขาไม่กล้าพูดเช่นนี้ ด้วยกลัวว่าจะโดนต่อยอีก พลังอำนาจของขอบเขตสิบขั้นสูงสุดของผู้เฒ่าในตอนนั้น เกรงว่าหากผู้เฒ่ากักเก็บหมัดของตัวเองไม่อยู่ อาจจะต่อยให้เขาตายได้จริงๆ
เห็นได้ชัดว่าอู๋ซั่วเหวินยังคงรู้สึกว่าไม่เหมาะ ต่อให้ศึกในเมืองแยนจือปีนั้น เฉินผิงอันที่เป็นเด็กหนุ่ม…ที่เป็นคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ จะแสดงออกได้อย่างโดดเด่นและรอบคอบสุขุมอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเจ้าประมุขของสำนักแห่งหนึ่ง ตอนนี้ก็ยิ่งไปผูกสัมพันธ์กับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีได้ ว่ากันว่าการที่เขาจะได้เป็นราชครูคนต่อไปก็ถือว่าเป็นของในกระเป๋าแล้ว เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีหน้ามีตาสุดขีด เฉินผิงอันตัวคนเดียวจะสามารถอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวบุกเข้าไปบนภูเขาของพวกเขาได้อย่างไร?
สำหรับคนในยุทธภพส่วนใหญ่ มีแต่หมัดที่ต้องกลัวคนหนุ่มมีกำลังวังชา แต่บนเส้นทางของการฝึกตนกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่กลายมาเป็นขอบเขตประตูมังกรได้นั้น นอกจากจะต้องมีตบะแล้ว มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์? ไม่มีที่พึ่งอยู่เบื้องหลัง?
จ้าวซู่เซี่ยกลับไม่ได้เป็นกังวลมากนัก คงเพราะรู้สึกว่าท่านเฉินที่สอนวิชาหมัดให้แก่เขา ไม่ว่าจะมีความสามารถแค่ไหนก็ล้วนไม่มากเกินไป
ส่วนจ้าวหลวนนั้นร้อนใจยิ่งกว่าอู๋ซั่วเหวินผู้เป็นอาจารย์เสียอีก นางไม่ทันได้สนใจสถานะหรือมารยาทใดๆ รีบเดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ พูดด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ท่านเฉิน อย่าไปนะ!”
เฉินผิงอันมองชายชราลัทธิขงจื๊อ แล้วจึงหันมามองจ้าวหลวน ก่อนจะยิ้มอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ได้จะพาตัวไปตายสักหน่อย หากสู้ไม่ไหวก็แค่เผ่นหนีกลับมา”
จ้าวหลวนน้ำตาร่วงเป็นสายทันที “เมื่อครู่นี้ท่านเฉินยังบอกว่าจะไปพูดคุยด้วยเหตุผล”
เฉินผิงอันบื้อใบ้ทันใด รีบหันไปขยิบตาให้จ้าวซู่เซี่ย หมายจะให้เขาช่วยปลอบใจจ้าวหลวน นึกถึงไม่ถึงว่าเจ้าเด็กบื้อนี่จะสมองทึ่มทื่อ เอาแต่หัวเราะหึหึ ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่อย่างนั้น
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลงดื่มชากันใหม่”
น้ำตาของจ้าวหลวนในเวลานี้กลบดวงตาจนตาพร่าเลือนเสียยิ่งกว่าภูเขาเหมิงหลง (ขมุกขมัว/สลัวราง/พร่าเลือน) ที่มีไอหมอกปกคลุมตลอดทั้งปีเสียอีก “จริงหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ นางถึงได้ปล่อยชายเสื้อของเฉินผิงอัน แล้วกลับไปนั่งที่เดิมอย่างขลาดๆ
อู๋ซั่วเหวินเองก็นั่งลง เอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “คุณชายเฉิน ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะพาเด็กสองคนออกไปท่องภูเขาแม่น้ำเอง”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นตระกูลของท่านอู๋จะทำอย่างไร?”
อู๋ซั่วเหวินกล่าว “คิดดูแล้วผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งคงไม่หน้าหนาไร้ยางอายถึงเพียงนี้”
เฉินผิงอันมองอู๋ซั่วเหวิน
อู๋ซั่วเหวินก้มหน้าดื่มชา
ในใจของชายชราลัทธิขงจื๊อมีเพียงเสียงถอนหายใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร คำว่าออกเดินทางไกลก็แค่เอ่ยไปเพื่อไม่ให้หลวนหลวนกับซู่เซี่ยต้องเป็นกังวลและรู้สึกผิดเท่านั้น
เฉินผิงอันวางถ้วยชาในมือลงเบาๆ
เพียงชั่วพริบตา
ในห้องก็ไม่มีเงาร่างของเฉินผิงอันอยู่อีก
อู๋ซั่วเหวินที่ถือถ้วยชาไว้ในมือปากอ้าตาค้าง
จ้าวหลวนและจ้าวซู่เซี่ยก็ยิ่งหันมามองหน้ากันตาปริบๆ
เห็นเพียงว่าเงาร่างชุดเขียวนั้นไปยืนอยู่กลางลางบ้าน กระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกจากฝักมาแล้ว กลายเป็นเส้นแสงสีทองเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศสูง คนผู้นั้นดีดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่ยาว ขี่กระบี่แหวกม่านฝนมุ่งไปทางทิศเหนือ
หลังจากสติกลับเข้าร่างชายชราลัทธิขงจื๊อ เขาก็รีบดื่มชาระงับความตกใจ ในเมื่อห้ามปรามไม่อยู่ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้แล้ว
สีหน้าของหลวนหลวนเลื่อนลอย ความงามผุดพรายฉายชัด นางรีบเช็ดน้ำตา ประหนึ่งดอกสาลี่พร่างพิรุณ งดงามจนทำให้ใจคนหวั่นไหว ก็ไม่แปลกที่เจ้าขุนเขาน้อยของภูเขาเหมิงหลงจะหลงรักนางที่ยังอ่อนเยาว์อยู่มากตั้งแต่แรกพบ
จ้าวซู่เซี่ยเกาหัว หัวเราะหึหึ “ท่านเฉินก็จริงๆ เลย จะไปศาลบรรพจารย์ของคนอื่น ทำไมต้องทำท่ารีบร้อนเหมือนจะออกไปซื้อเหล้าด้วย”
บนภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีฝนตกหนัก แม้จะเป็นช่วงเที่ยงวัน แต่ฝนที่เทกระหน่ำลงมาก็ทำให้ฟ้าดินมืดมิดราวกับถูกปกคลุมด้วยม่านราตรีหนาหนัก
เป็นเหตุให้การปรากฏตัวของเส้นสีทองเส้นหนึ่งที่สุดขอบฟ้าแจ่มชัดสะดุดตาอย่างถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีเสียงครืนครั่นเหมือนเสียงฟ้าร้องแหวกอากาศพุ่งมาถึงด้วย
สำหรับผู้ฝึกตนภูเขาเหมิงหลงแล้ว คนตาบอดก็ดี คนหูหนวกก็ช่าง ล้วนรู้ชัดเจนดีว่ามีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งมาเยี่ยมเยือนถึงภูเขาแล้ว
—–