กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 488.2 ในม้วนภาพ
ทางฝั่งของนครปี้ฮว่า โคมไฟแถบใหญ่บนภูเขาที่ทำขึ้นด้วยวิธีลับพลันดับวูบลง โคมไฟที่เดิมทีควรส่องแสงสว่างยาวนาน ร้อยปีถึงต้องเปลี่ยนสักครั้งหนึ่งพลันเกิดปัญหา แน่นอนว่าย่อมชักนำให้เกิดความหวาดผวาพรั่นพรึง หากมีผู้ฝึกตนใหญ่ประมือกันที่นี่ก็สามารถทำร้ายไปถึงรากฐานของค่ายกลภูเขาแม่น้ำของสำนักพีหมาได้ทันที หากนครปี้ฮว่าพังถล่มลงมา ผลลัพธ์ก็ร้ายแรงจนมิอาจจินตนาการได้ถึง เป็นเหตให้ผู้ฝึกตนผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาหลายท่านที่รับผิดชอบเฝ้าดูแลภาพวาดบนผนังทั้งสามพากันทะยานลมขึ้นกลางอากาศ มองไปยังความวุ่นวายแถบนั้น พยายามตามหาตัวการร้าย หากแน่ใจว่ามีผู้ฝึกตนพยายามทำลายนครปี้ฮว่าแล้วฉวยโอกาสนี้ขโมยภาพวาด พวกเขาก็มีอำนาจที่จะใช้กฎของที่แห่งนี้ด้วยการสังหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง
บริเวณใกล้เคียงกับภาพเทพหญิงบนผนังแถบหนึ่ง ในขณะที่ผู้ฝึกตนที่เฝ้าพิทักษ์ของสำนักพีหมาแบ่งสมาธิทอดสายตามองจุดที่ไกลออกไปก็มีควันเขียวกลุ่มหนึ่งไต่ลามขึ้นไปบนผนังเหมือนงูวิเศษที่เลื้อยขึ้น จากนั้นก็ผลุบเข้าไปในภาพวาดในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดถึงสามารถฝ่าพันธนาการวิชาเซียนของตัวภาพวาดบนผนังได้โดยตรง วูบเดียวก็หายวับเหมือนน้ำที่หยดลงในทะเลสาบ ความเคลื่อนไหวแผ่วเบายิ่ง แต่กระนั้นก็ยังทำให้ผู้ฝึกตนเซียนดินของสำนักพีหมาที่อยู่ใกล้ขมวดคิ้ว หันหน้าไปมอง แต่ก็มองไม่เห็นเบาะแสใดๆ ทว่าเขาก็ยังคงไม่วางใจ แจ้งบอกเทพหญิงในภาพวาดหนึ่งคำ จากนั้นก็ทะยานลมขยับเข้ามาใกล้โดยอยู่ห่างจากผนังประมาณหนึ่งจั้ง แล้วจึงร่ายใช้วิชาลับที่มีเฉพาะของสำนักพีหมา ดวงตาทั้งคู่มีแสงสีทองอ่อนจางผุดขึ้นมาชั้นหนึ่ง กวาดสายตาไล่มองไปทั่วภาพวาดบนฝาผนัง หลีกเลี่ยงไม่ให้พลาดเบาะแสใดๆ ไป ตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่สองรอบ สุดท้ายก็ยังมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
ภาพวาดฝาผนังที่อยู่ตรงหน้าภาพนี้คือหนึ่งในสามภาพโบราณที่มีโชควาสนาซึ่งยังหลงเหลืออยู่ คือภาพหนึ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุดในบรรดาภาพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ทั้งแปดภาพ ในเอกสารลับของสำนักพีหมา เทพหญิงที่ถูกวาดอยู่บนฝาผนังขี่กวางเจ็ดสี ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้เล่มหนึ่งที่ตัวกระบี่สลักคำว่า ‘สายลมแห่งความสุข’ สถานะสูงศักดิ์ อยู่ในอันดับที่สอง ทว่าภาพที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นภาพที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘เซียนไม้เท้า’ แต่แท้จริงแล้วกลับถูกสำนักพีหมาตั้งชื่อว่าเทพหญิง ‘จ่านคาน’ ดังนั้นสำนักพีหมาถึงได้ให้เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนมาเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าวางใจง่ายๆ เขาลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองร้านค้าที่ขายภาพเทพหญิง ‘ฟ้าแลบ’ แห่งนครปี้ฮว่า ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจบอกกับเด็กหนุ่มคนนั้น ให้เขากลับไปที่ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักพีหมาทันที เพื่อบอกกับศาลบรรพจารย์ว่าตรงภาพเทพหญิงฉีลู่ (ขี่กวาง) มีความผิดปกติบางอย่าง จำเป็นต้องเชิญบรรพบุรุษท่านหนึ่งมาตรวจสอบด้วยตัวเอง
แม้ว่าก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มที่ลงจากภูเขามาช่วยเด็กสาวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็กจะไม่ฉลาดในเรื่องการขายของเท่าใดนัก แต่พอเจอเรื่องใหญ่เข้าจริงๆ สภาพจิตใจของเขากลับมั่นคงอย่างยิ่ง เขาบอกให้เด็กสาวรู้หนึ่งคำ พอเดินออกมาจากร้านแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ประกบสองนิ้วทำมุทรา กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งทีก็มีเทพแห่งผืนดินท่านหนึ่งที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักพีหมาแหวกดินออกมา ไม่นึกว่าจะเป็นเด็กสาวอายุสิบสามปีที่หน้าตางดงามคนหนึ่ง เห็นเพียงว่านางชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสูง ในมือประคองกระบี่โบราณไร้ฝักที่ปราณกระบี่เฉียบคมเล่มหนึ่ง ทว่านับตั้งแต่ออกจากวังใต้ดินรากภูเขาที่อยู่ในจุดลึกของใต้ดินสำนักพีหมา จนกระทั่งชูกระบี่ปรากฏกาย แล้วส่งมอบกระบี่โบราณที่จำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาอยู่ใต้ดินตลอดทั้งปีเล่มนั้นให้กับเด็กหนุ่มอย่างนอบน้อม ‘แม่ย่าแห่งผืนดิน’ ที่หน้าตางามพิสุทธิ์ผู้นี้ล้วนร่ายใช้เวทอำพรางตา คนที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไปจะไม่อาจมองเห็น
เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ แล้วประกบสองนิ้วเข้าหากัน ปาดเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่โบราณสั่นสะท้านแล้วพุ่งแหวกอากาศออกไป เด็กหนุ่มเหยียบอยู่บนกระบี่ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังยอดบนของนครปี้ฮว่า เขาพุ่งตัวออกไปแทบจะเป็นแนวดิ่ง ชั้นดินหลายชั้นที่ถูกค่ายกลภูเขาแม่น้ำเพิ่มความหนากลับไม่อาจสกัดกั้นการขี่กระบี่ของเด็กหนุ่มได้เลย หนึ่งคนหนึ่งกระบี่พุ่งทะยานเข้าสู่ชั้นเมฆ ระเบิดแหวกทะเลเมฆที่เป็นดั่ง ‘เข็มขัดหยกขาว’ เส้นหนึ่งซึ่งพันรอบภูเขาบรรพบุรุษสำนักพีหมามุ่งหน้าไปถึงศาลบรรพจารย์ด้วยความเร็วในรวดเดียว
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพลิ้วกายลงบนพื้น ลูบหนวดยิ้ม แม้ว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้จะอยู่คนละสายกับตนในศาลบรรพจารย์ แต่คนทั้งสำนัก มีใครบ้างที่ไม่ให้ความสำคัญและไม่ชื่นชอบเขา
สำนักพีหมามีกฎคร่ำครึอยู่เยอะมาก ยกตัวอย่างเช่นนอกจากคนไม่กี่หยิบมือแล้ว ผู้ฝึกตนคนอื่นจำเป็นต้องเริ่มลงเดินขึ้นเขาตั้งแต่ศาลาแขวนกระบี่ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา ต่อให้ฟ้าใกล้จะถล่มลงมาเต็มที เจ้าก็ยังต้องเดินขึ้นเขาไปแต่โดยดี ส่วนเด็กหนุ่มที่ถูกอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งยอมรับเป็นนายอย่างลับๆ มาตั้งแต่เด็กผู้นี้ก็คือหนึ่งในข้อยกเว้น ใช่ว่าผู้ฝึกตนวัยกลางคนจะใช้กระบี่บินส่งข่าวไปถึงศาลบรรพจารย์ไม่ได้ แต่การทำเช่นนั้นมีเรื่องวงในที่ซับซ้อน ต่อให้เป็นตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังไม่รู้ นี่ก็คือความลี้ลับของการฝึกตนอยู่บนภูเขา ‘ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้’ หากให้คนอื่นมาชี้บอก มองดูเหมือนว่าตนรู้แล้ว ทว่าโชควาสนาที่เดิมทีกำลังจะมาถึงมือกลับหนีหายไปเสียแล้ว
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือให้เด็กหนุ่มไปรายงานเรื่องนี้ ให้เขาแบกรับผลกรรมบางอย่างมากขึ้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำสำเร็จ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องร้าย
แม้ว่าความใจกว้างของสำนักพีหมาจะมีมาก ไม่ถือสาหากคนนอกจะมาเอาโชควาสนาของภาพเทพหญิงทั้งแปดภาพไป แต่เด็กหนุ่มคือบุคคลที่มีความหวังมากที่สุดว่าจะอาศัยตัวเองช่วงชิงโชควาสนาบนมหามรรคาส่วนหนึ่งมาจากนครปี้ฮว่าได้นับตั้งแต่สำนักพีหมาเปิดภูเขาตั้งสำนักมา ปีนั้นขณะที่สำนักพีหมาสร้างค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำ ขุดดินทำการก่อสร้างได้ใช้มัลละหุ่นเชิดหลายร้อยตนในการเปิดขุนเขา และยังมีวานรย้ายภูเขา สุนัขตะลุยภูเขาอีกหลายสิบตัว แทบจะพลิกแผ่นดินขุดลึกลงไปในใต้ดินของนครปี้ฮว่าอีกสิบกว่าลี้ รวมไปถึงผู้ฝึกตนใหญ่หลายท่านที่ทิ้งชื่อไว้บนทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักพีหมา แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถหากระบี่โบราณที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาทิ้งไว้เจอ และอาวุธกึ่งเซียนเล่มนี้ก็เล่าลือกันว่ามีความเกี่ยวข้องกับเทพหญิงฉีลู่ผู้นั้นอย่างแนบแน่น ดังนั้นสำนักพีหมาจึงคิดจะช่วงชิงโชควาสนาจากภาพวาดนี้ดูสักหน่อย สวรรค์ประทานให้แต่ไม่รับ กลับจะถูกสวรรค์ลงโทษ
เด็กหนุ่มที่อยู่บนทะเลเมฆขี่กระบี่ตรงดิ่งไปยังศาลบรรพจารย์
บรรพจารย์สามท่านของสำนักพีหมา บรรพบุรุษท่านหนึ่งปิดด่าน ท่านหนึ่งปักหลักอยู่ที่หุบเขาผีร้ายเพื่อบุกเบิกที่ทางต่อ
มีเพียงบรรพบุรุษท่านเดียวที่อยู่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ภูเขา เวลานี้เขายืนอยู่หน้าศาลบรรพจารย์ ยิ้มถามว่า “หลันซี รีบร้อนขนาดนี้ เกิดเรื่องขึ้นที่นครปี้ฮว่าหรือ?”
เด็กหนุ่มถือกระบี่เอ่ยถ้อยคำของศิษย์พี่โอสถทองผู้นั้นซ้ำอีกหนึ่งรอบ
บรรพจารย์ขมวดคิ้ว “ภาพเทพหญิงฉีลู่ภาพนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
บรรพจารย์คว้าไหล่ของเด็กหนุ่ม ย่อพื้นที่พาเขามาถึงนครปี้ฮว่าในเสี้ยววินาที ส่งเด็กหนุ่มไปที่ร้านก่อน จากนั้นจึงมาที่ใต้ภาพฝาผนังแถบนั้นเพียงลำพัง สีหน้าของผู้เฒ่าเคร่งเครียด
ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนถึงตระหนักได้ว่าความร้ายแรงของสถานการณ์เหนือเกินกว่าที่ตนคาดการณ์เอาไว้
บรรพจารย์แค่นเสียงหยัน “เจ้าตัวดี สามารถฝ่าพันธนาการแน่นหนาสองชั้นของสองสำนักบุกเข้ามาในพื้นที่ลับได้อย่างเงียบเชียบถึงเพียงนี้”
สีหน้าของผู้ฝึกตนวัยกลางคนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ผู้เฒ่าโบกมือ “ระวังว่าจะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ เจ้าไปปกป้องหลันซี ไม่ต้องตื่นเต้นเกินไปนัก ถึงอย่างไรก็เป็นถิ่นของพวกเราเอง ข้าจะกลับศาลบรรพจารย์อีกครั้ง จะไปจุดธูปเคาะประตูตามกฎ”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพยักหน้ารับ แล้วจึงไปที่ร้านแห่งนั้น
ทางฝั่งของร้านนั้น
เด็กสาวถามเบาๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “ไปที่ศาลบรรพจารย์มารอบหนึ่ง”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนเดินเข้ามาในร้าน เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสงสัย “ศิษย์พี่หยาง ท่านมาได้อย่างไร?”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “มาเดินดูของในร้านเล่นๆ”
แม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะมีตบะแค่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่กลับเป็นศิษย์น้องเล็กของเขา มีชื่อว่าผังหลันซี ท่านปู่ของเด็กหนุ่มคือเค่อชิงของสำนักพีหมาซึ่งก็คือเจ้าของผลงานสมุดคัดลอกภาพวาดเทพหญิงทั้งหมดในร้าน ผังหลันซีที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมคือตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในสำนักพีหมา และยิ่งเป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาของหนึ่งในบรรพบุรุษสามท่านของสำนักพีหมา ขณะเดียวกันก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายด้วย เพราะบรรพบุรุษขอบเขตหยกดิบที่ถูกขนานนามว่าพลังการสังหารติดสิบอันดับแรกของทิศใต้อุตรกุรุทวีปผู้นี้เคยสาบานในศาลบรรพจารย์ว่าชีวิตนี้จะรับลูกศิษย์เพียงแค่คนเดียว ดังนั้นปีนั้นบรรพบุรุษที่รับผังหลันซีซึ่งยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เดิมทีควรเป็นเรื่องน่าปิติยินดีที่สมควรเฉลิมฉลอง ทว่าบรรพจารย์ผู้มีนิสัยประหลาดกลับบอกคนทั้งสำนักพีหมาว่าอย่าได้เอะอะไป เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียวที่สอดคล้องกับนิสัยตัวเองที่สุดว่า ‘ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ลูกศิษย์ของข้าเลื่อนเป็นโอสถทองเสียก่อนค่อยเชิญคนทั่วทั้งแปดทิศมาเฉลิมฉลอง ถึงอย่างไรก็ต้องรออีกแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น’
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนมองผังหลันซีที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล ในใจก็ได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญบนมหามรรคาของเจ้าเชียวนะ
……
ในพื้นที่ลับลักษณะคล้ายตำหนักเซียนแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพลันเผยกาย เขาเซสะดุดหนึ่งที แล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “ในที่สุดก็สมปรารถนาเสียที ได้มาเห็นท่วงท่างดงามเป็นเอกของเหล่าพี่สาวเทพธิดาทั้งหลายที่นี่แล้ว”
เขาตะโกนเรียกเบาๆ “นี่ มีคนอยู่ไหม?”
เขาสาวเท้าเดินเนิบช้า กวาดตามองไปรอบด้าน ชื่นชมทัศนียภาพแห่งดินแดนเซียน แล้วก็พลันยกมือขึ้นปิดดวงตา บ่นพึมพำว่า “ที่นี่คือห้องหับสตรีของพี่สาวเทพธิดาทั้งหลาย ข้าต้องห้ามมองอะไรที่ไม่ควรมอง”
……
ทางเหนือของชายหาดโครงกระดูก มีนักพรตหญิงคนหนึ่งออกจากสำนักบนภูเขาที่มีขนาดใหญ่ในระดับหนึ่ง ในฐานะเจ้าสำนักตระกูลเซียนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป นางจึงขี่เรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่ศิษย์พี่เทียนจวินมอบให้มุ่งหน้าลงใต้ไปอย่างรวดเร็ว เรือหลิวเสียที่เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งของตระกูลเซียนมีความเร็วเหนือกว่าเรือข้ามฟาก ถึงขนาดสามารถเดินทางข้ามผ่านระหว่างเมฆหลากสีสองแห่งที่อยู่ห่างไกลกันเป็นพันลี้ เหมือนผู้ฝึกตนที่ร่ายวิชาย่อพื้นที่ วูบเดียวก็หายวับไปอย่างเงียบเชียบ
ส่วนทางชายแดนของหุบเขาผีร้ายแห่งชายหาดโครงกระดูก มือกระบี่หนุ่มสวมงอบบนศีรษะคนหนึ่งก็กำลังซื้อตำราเล่มหนึ่งซึ่งอธิบายถึงสิ่งที่ต้องระวังในหุบเขาผีร้ายไว้โดยเฉพาะมาจากร้านที่มีผู้ฝึกตนในท้องที่เฝ้าพิทักษ์ ในหนังสือบันทึกข้อห้ามต่างๆ มากมายและสถานที่อันตรายแต่ละแห่ง เขานั่งอาบแดดอยู่ข้างทางพลางพลิกเปิดตำราช้าๆ ไม่รีบร้อนจ่ายค่าผ่านทางแล้วเข้าไปหาประสบการณ์ในหุบเขาผีร้าย ด้วยถือคติที่ว่ามีดคมย่อมผ่าฟืนได้เร็วขึ้น
แสงแดดอบอุ่นในวันฤดูหนาว คนหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ที่ไร้เมฆ อากาศไม่เลวเลยจริงๆ
—–