กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 499.1 ฟ้าดินไร้พันธนาการ
ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักพีหมามีชื่อว่ามู่อี ตัวภูเขาสูงตระหง่าน เพียงแต่ว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่หรูหราใดๆ แค่ผู้ฝึกตนมาสร้างกระท่อมไว้เท่านั้น เนื่องจากสำนักพีหมามีผู้ฝึกตนอยู่น้อย จึงยิ่งดูเงียบสงบเปลี่ยวเหงา มีเพียงจวนกึ่งกลางภูเขาที่แขวนป้ายคำว่า ‘กายธรรม’ ซึ่งใช้รับรองแขกเท่านั้นที่พอจะถือว่าเป็นสถานที่มีชื่อเสียงของตระกูลเซียนได้
เมื่อสามวันก่อนภูเขามู่อีก็เริ่มปิดไม่ต้อนรับแขก
ไม่เพียงเท่านี้ ซุ้มประตูหินทางเข้าหุบเขาผีร้ายก็เริ่มมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ผู้ที่มาฝึกประสบการณ์ ออกได้ แต่เข้าไม่ได้
จากตลาดด่านไน่เหอมาจนถึงนครปี้ฮว่า แล้วก็มาถึงแถบลำคลองเหยาเย่ รวมไปถึงตลอดทั้งชายหาดโครงกระดูกต่างก็ไม่รู้สึกว่านี่มีอะไรไม่สมเหตุสมผล
เพราะเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลยิ่งกว่านี้พวกเขาก็เคยพบเจอกันมาแล้ว
ก่อนหน้านี้ภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์สามภาพในนครปี้ฮว่าล้วนกลายไปเป็นเพียงภาพเค้าโครงขาวดำในวันเดียวกัน
เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่เทียมฟ้าที่เกิดขึ้นต่อมาแล้ว นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ในขณะที่ผู้ฝึกตนหลายคนของชายหาดโครงกระดูกยังจมอยู่กับความผิดหวังที่โชควาสนาทั้งสามมีเจ้าของไปแล้ว ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่ละคนก็ได้เห็นภาพสะเทือนขวัญสั่นวิญญาณกับตาตัวเอง กลางดึกของคืนวันหนึ่ง เหนือผืนดินที่กว้างใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกมีโครงกระดูกขาวร่างหนึ่งปรากฎขึ้น สูงใหญ่ดุจขุนเขา มันเผยตัวด้วยท่วงท่าของผู้ที่ไร้ศัตรูทัดทาน น่าจะเป็นกายธรรมของเกาเฉิงเจ้านครจิงกวานในหุบเขาผีร้ายผู้นั้นที่ใช้พละกำลังอันป่าเถื่อนแหวกปราการฟ้าดินออกมา กายธรรมโครงกระดูกขาวที่เดิมทีควรหลบซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งความมืดอย่างว่าง่าย เมื่อปรากฏตัวเช่นนี้ก็เกิดความขัดแย้งบนมหามรรคากับโลกแห่งแสงสว่าง การเสียดสีระหว่างโครงกระดูกขาวกับชายหาดโครงกระดูกก่อให้เกิดประกายแสงสีที่ระเบิดพร่างพราวดุจดอกไม้ไฟ ขับดันให้กายธรรมโครงกระดูกขาวตนนั้นยิ่งคล้ายเทพแห่งอัคคียุคบรรพกาลที่เยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์
เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกขาวกำลังไล่ฆ่าแสงสีทองเส้นหนึ่งที่พุ่งไปยังศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อีที่อยู่ทางทิศใต้ด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าเกาเฉิงจะถูกหนึ่งดาบและหนึ่งกระบี่ในหุบเขาผีร้ายถ่วงเวลาเอาไว้ และคนออกดาบที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เมื่อเทียบกับโครงกระดูกพันจั้งที่คุมเชิงด้วยแล้วก็เล็กเท่าแค่เมล็ดข้าวสาร แต่ทว่าทุกครั้งที่ออกดาบล้วนหอบเอาพายุและสายฟ้าที่ปั่นป่วนสะท้านสะเทือนมาด้วย ประกายแสงยิ่งเพิ่มพูน โจมตีอยู่ไกลๆ ก็เหมือนกำลังพาดสะพานยาวสายหนึ่งอยู่กลางอากาศ ดูจากภาพบรรยากาศที่ปรากฏนี้แล้วย่อมเป็นจู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่ายังคงมีหนึ่งกระบี่ที่พลังอำนาจไม่เป็นรองจู๋เฉวียนที่เป็นขอบเขตหยกดิบแม้แต่น้อย ปราณกระบี่ที่พร่างพราวแต่ละเส้นมีต้นกำเนิดมาจากพื้นดิน แสงกระบี่ดุจสายรุ้งที่พุ่งตรงอย่างว่องไว
ไหล่ของกายธรรมกระดูกขาวเอนเอียงคล้ายว่ายังถูกอะไรบางอย่างในหุบเขาผีร้ายดึงรั้งเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังชูฝ่ามือขึ้นสูงแล้วกดลงแรงๆ ทันใดนั้นทะเลเมฆหนาหนักที่มืดทะมึนก็ถูกหอบขึ้นมา เสียงผีโหยหวนคร่ำครวญ ทะเลเมฆก็คล้ายว่าจะมีผีอาฆาตและวิญญาณร้ายที่ตายไปแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหลายแสนตนกำลังดิ้นรนอยู่ในห้วงทะเลแห่งทุกข์อย่างทรมาน
ทะเลเมฆกดทับลงไปทางศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของสำนักพีหมาก็ถูกเปิดใช้งาน หุ่นเชิดสวมเกราะพันกว่าตนพุ่งตัวออกมาจากภูเขามู่อี แต่ละตนสูงหลายจั้ง สวมเสื้อเกราะที่ทำจากยันต์ บนร่างมีเส้นแสงสีเงินสีทองไหลวนเวียนไม่หยุด พวกมันพากันพุ่งเข้าหาทะเลเมฆ ทะเลเมฆจึงถูกตัดทอนให้บางเบาลงอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นก็ยังคงลดระดับลงมาอย่างว่องไว วิญญาณวีรบุรุษสวมเกราะหลายกลุ่มในภูเขามู่อีพากันกรูออกมา สุดท้ายทะเลเมฆก็เปิดฉากเข่นฆ่าสังหารกับหุ่นเชิดวิญญาณวีรบุรุษหลายพันตนที่สำนักพีหมาสร้างขึ้น แล้วก็พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย
เวลาเดียวกันนั้นก็มีแสงเส้นหนึ่งที่ไต่ลงจากศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีลงไปยังด้านล่างภูเขา ประหนึ่งสายฟ้าที่เลื้อยลงไป ไปตัดสลับถักทอกันจนกลายเป็นค่ายกลที่ส่องประกายแสงพร่าตาอยู่ตรงซุ้มประตูหิน จากนั้นทวยเทพร่างทองที่เรือนกายสูงห้าร้อยกว่าจั้งก็ผุดออกมาจากพื้นดิน ในมือถือกระบี่ยักษ์ ปาดกระบี่ฟันในแนวขวางผ่ากลางเอวของกายธรรมโครงกระดูกขาว
กายธรรมกระดูกขาวของเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานโจมตีครั้งเดียวไม่สำเร็จ จุดเชื่อมต่อระหว่างหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกก็มีองค์เทพร่างทองโผล่ออกมาปล่อยกระบี่เข้าใส่ มือข้างหนึ่งของกระดูกขาวร่างมหึมาคว้าจับที่คมกระบี่ สะเก็ดแสงสีทองระเบิดพร่างเหมือนเม็ดฝนที่พรมลงสู่พื้นดิน พลันนั้นตลอดทั้งชายหาดโครงกระดูกก็เกิดแผ่นดินไหวแผ่นฟ้าโยกคลอน กายธรรมกระดูกขาวเหวี่ยงแขนสะบัดกระบี่ยักษ์ทิ้ง ร่างลดระดับลงมาเบื้องล่าง เพียงชั่วพริบตาก็หายไปท่ามกลางเงามืดของพื้นดิน น่าจะถอยกลับไปยังฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้ายแล้ว
ส่วนองค์เทพร่างทองก็ถอยกลับเข้าไปในค่ายกลเช่นเดียวกัน แสงเส้นนั้นย้อนกลับทางเดิมสู่ศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อี แล้วจึงไปรวมตัวกันกลายเป็นไข่มุกวิเศษเม็ดหนึ่งที่ถูกคาบอยู่ในปากของรูปปั้นเจียวหลงทองสัมฤทธิ์ซึ่งตั้งวางไว้ในศาลบูชา
ม่านราตรีของหุบเขาผีร้ายค่อยๆ กลับคืนสู่ความเงียบสงัด
ในจวนตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา
ผังหลันซีเด็กหนุ่มที่สำนักพีหมาฝากความหวังไว้มากกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินตัวหนึ่ง จ้องมองจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขม็ง ฝ่ายหลังกำลังพลิกเปิดตำราพิชัยยุทธสีเหลืองเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งที่ได้มาจากตำหนักหยางฉาง
แม้ว่าผังหลันซีจะอายุน้อย แต่ลำดับศักดิ์สูง คือผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของบรรพจารย์ท่านหนึ่งของสำนักพีหมา ผู้ฝึกตนโอสถทองหลายท่านก็ยังต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อาน้อย ส่วนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่มีจำนวนมากกว่านั้นก็ได้แต่เรียกเขาว่าบรรพจารย์อาจารย์อาน้อย สามวันมานี้ในจวนมีมือกระบี่ชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้เป็นแขกเพียงคนเดียว ก่อนหน้านี้ผังหลันซีก็เคยมาหาอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง เนื่องด้วยความสงสัยใคร่รู้ อะไรที่ควรคุยก็คุยไปหมดแล้ว อะไรที่ควรถามก็ถามไปหมดแล้วเช่นกัน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่ได้จงใจเล่นเอาเถิดเจ้าล่ออุบสิ่งที่เขาอยากรู้ไว้ไม่ยอมบอก แต่หลังจากจบเรื่องผังหลันซีลองคิดพิจารณาดูก็รู้สึกเหมือนว่าเรื่องที่คุยกันจะไม่เข้าประเด็นเลยสักเรื่อง
ยากที่จะจินตนาการได้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนซื้อภาพยากจนที่ตอนนั้นทำหน้าหนาหั่นราคาต่อรองกับตน
ตอนนั้นนางที่เติบโตกับเขามาตั้งแต่เยาว์วัยยังให้ตนวิ่งออกจากร้านมาเตือนคนผู้นี้ว่ายามที่ท่องอยู่ในยุทธภพต้องระวังอย่าโอ้อวดสิ่งของมีค่า ที่แท้พวกเขาต่างก็ถูกเจ้าหมอนี่หลอกเอา
บรรพจารย์ของสำนักที่ดูแลเรื่องกฎระเบียบของศาลบรรพจารย์ไม่ยินดีจะเปิดเผยความลับสวรรค์ เพียงแค่บอกว่ารอให้เจ้าสำนักกลับภูเขามู่อีมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน แต่ก็ได้พูดอย่างสะท้อนใจประโยคหนึ่งว่า ขอบเขตเพียงแค่นี้แต่กลับสามารถหนีรอดพ้นมาจากเงื้อมมือของเกาเฉิงแห่งหุบเขาผีร้ายได้ ความสามารถนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยจริงๆ
ผังหลันซีจึงยิ่งอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในหุบเขาผีร้ายกันแน่ แล้วคนผู้นี้ไปมีเรื่องกับเจ้านครจิงกวานได้อย่างไร
เฉินผิงอันวางตำราพิชัยยุทธที่แม่ทัพบู๊แคว้นเสินเช่อในอดีตเป็นผู้เขียนลง นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ยิ้มถามว่า “หลันซี ภาพวาดฝาผนังทั้งแปดในนครปี้ฮว่าต่างก็กลายเป็นเพียงภาพลายเส้นขาวดำแล้ว แล้วกิจการร้านค้าที่อยู่ใต้ภาพของเทพหญิงทั้งสามอย่างฉีลู่ กว้าเยี่ยนและสิงอวี่ล่ะ วันหน้าจะทำอย่างไร?”
ผังหลันซีเองก็หงุดหงิดกับเรื่องนี้ไม่น้อย ทว่าก็ได้แต่กล่าวอย่างจนใจว่า “ยังจะทำอย่างไรได้อีก ซิ่งจื่อนางใกล้จะกลุ้มใจตายอยู่แล้ว บอกว่าวันหน้าต้องไม่มีการค้ามาเยือนอีกแน่ ตอนนี้นครปี้ฮว่าไม่มีโชควาสนาสามส่วนนั่นแล้ว จำนวนของนักท่องเที่ยวต้องลดฮวบลงอย่างแน่นอน ข้าจะทำอะไรได้ ก็ได้แต่ปลอบใจนางด้วยหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่ข้าเคยได้ยินมาจากพวกศิษย์พี่ศิษย์หลานทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่าซิ่งจื่อไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจ ซ้ำยังโกรธข้าด้วย แล้วก็ไม่สนใจข้าอีกเลย เฉินผิงอัน ทำไมซิ่งจื่อถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่ข้าหวังดี ทำไมนางถึงยังอารมณ์เสียอีก”
เฉินผิงอันยิ้มบางเอ่ยว่า “อยากรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่?”
ผังหลันซีพยักหน้ารับ “แน่นอนสิ”
รอยยิ้มของเฉินผิงอันยิ่งกดลึก “หลันซีเอ๋ย ข้าได้ยินมาว่าในมือของท่านปู่ทวดเจ้ายังมีภาพแบบเติมเต็มต้นฉบับของเทพหญิงแบบครบชุดอยู่อีกหลายกล่อง อีกทั้งยังเป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจที่ท่านปู่ทวดของเจ้าใช้เวลามากที่สุด ตั้งใจมากที่สุดอีกด้วย”
ผังหลันซีอึ้งตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ขอแค่เจ้าช่วยไขข้อข้องใจให้แก่ข้า ข้าจะแอบไปขโมยมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้!”
เฉินผิงอันรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง ยื่นมือออกมาบอกเป็นนัยให้ผังหลันซีที่ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้วรีบนั่งลง “วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น ข้าเองก็ไม่ได้ละโมบอยากได้ในภาพวาดฉบับเติมเต็มเหล่านั้นของท่านปู่ทวดเจ้า แค่หวังว่าเจ้าจะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมให้ท่านปู่ทวดของเจ้าลงมือวาดภาพเติมเต็มลงบนกระดาษไขที่ไม่ด้อยกว่าสักชุดสองชุด ข้าจะจ่ายเงินซื้อ ไม่ใช่ให้เจ้าไปขโมยมา หนึ่งชุดก็ได้ สองชุดยิ่งดี สามชุดคือดีที่สุด”
ผังหลันซียังคงสงสัย “แค่นี้เองหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
แต่กระนั้นผังหลันซีก็ยังลังเล “การขโมยก็มีข้อดีและข้อเสียของการขโมย ข้อเสียก็คือต้องโดนด่าอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะโดนซ้อมหนึ่งรอบด้วย แต่ข้อดีก็คือเหมือนการซื้อขายที่เสร็จสิ้นในคราวเดียว รวดเร็วฉับไว แต่หากจะให้ทำหน้าหนาไปตามตอแยให้ท่านปู่ทวดของข้าจับพู่กันวาดอย่างตั้งใจ กลับไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านปู่ทวดมีนิสัยประหลาด คนทั้งสำนักพีหมาของพวกเราต่างก็เคยสัมผัสกันมาแล้ว เขามักจะพูดว่ายิ่งตั้งใจวาดรูปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งวาดออกมาได้เหมือนทางจิตวิญญาณมากเท่านั้น หากปล่อยให้บุรุษหยาบกระด้างในโลกมนุษย์ซื้อไป ก็จะยิ่งเป็นการล่วงเกินเทพหญิงทั้งแปดท่าน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เมื่อจริงใจก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีความซื่อสัตย์นี้เป็นพื้นฐาน ท่านปู่ทวดของเจ้าก็อาจจะวาดท่วงทำนองเช่นนั้นออกมาไม่ได้ก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นแค่เป็นจิตรกรฝีมือล้ำเลิศ วาดภาพคัดลอกลายให้สมจริงสมจัง จะไปยากตรงไหน? แต่เหตุใดท่านปู่ทวดของเจ้าถึงได้มีฝีมือที่ยอดเยี่ยมอยู่คนเดียว? นี่ก็เพราะว่าจิตใจของท่านปู่ทวดเจ้าไร้มลทินสิ่งสกปรก ไม่แน่ว่าเทพหญิงทั้งแปดท่านนั้นอาจจะกำลังมองดูอยู่ก็เป็นได้ เมื่อจิตใจเชื่อมโยงถึงกัน แน่นอนว่าย่อมสามารถสร้างผลงานอันสุดวิเศษดุจเทพนิรมิตขึ้นมาได้”
ผังหลันซีกะพริบตาปริบๆ
นี่คือคำพูดจากใจจริงหรือคำประจบสอพลอกันแน่?
……
ด้านนอกจวน ผู้เฒ่าผมขาวร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ตรงเอวห้อยพู่กันและแท่นฝนหมึกหันหน้าไปมองบรรพจารย์สำนักพีหมาที่เป็นเพื่อนสนิทของเขา ฝ่ายหลังกำลังเก็บฝ่ามือ
ผู้เฒ่าผมขาวเอ่ยถาม “ด้วยขอบเขตของเจ้าเด็กนี่ คงไม่ถึงขั้นรู้ว่าพวกเรากำลังแอบฟังอยู่หรอกกระมัง”
บรรพจารย์ยิ้มกล่าว “ช่วยอำพรางลมปราณให้เจ้าแล้ว เขาน่าจะไม่รู้ แต่วิชาคาถาบนโลกนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ดูแค่จากการที่เขาหนีออกมาจากหุบเขาผีร้ายได้ ก็ไม่ควรใช้หลักการทั่วไปมาประเมินเขาแล้ว”
ผู้เฒ่าผมขาวลูบหนวดยิ้ม “ไม่ว่าจะอย่างไร คำพูดประโยคนี้ก็ถูกใจข้ายิ่งนัก”
บรรพจารย์สำนักพีหมาก็คือคนที่ก่อนหน้านี้ไล่ตามเจียงซ่างเจินเข้าไปในพื้นที่ลับของภาพวาดฝาผนัง “จะตัดใจขายได้จริงๆ หรือ?”
ผังซานหลิ่งท่านปู่ทวดของผังหลันซีผู้นี้ ตอนเป็นหนุ่มเคยมีปณิธานยิ่งใหญ่ เขาสาบานว่าจะต้องวาดภาพขุนเขาตระหง่านทุกแห่งใต้หล้านี้ เพียงแต่ภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาลงหลักปักฐานอยู่ที่สำนักพีหมาแห่งนี้ ผังซานหลิ่งถามเสียงเบา “พวกเรามาลองดูกันอีกหน่อยดีไหม? ข้าอยากฟังว่าเจ้าเด็กต่างถิ่นผู้นี้จะช่วยชี้แนะไขปริศนาให้แก่ผังหลันซีอย่างไร”
บรรพจารย์ขมวดคิ้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คนเขาคือแขก เพราะก่อนหน้านี้ข้าห้ามเจ้าไม่ได้ถึงได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารบางส่วน หากยังแอบฟังอีกย่อมไม่สอดคล้องกับหลักการการรับรองแขกของสำนักพีหมาพวกเรา”
ผังซานหลิ่งถลึงตาใส่ “หลันซีสูญเสียโชควาสนาจากเทพหญิงฉีลู่ไปแล้ว หากต้องมาติดขัดในด่านความรักอีก ข้าก็อยากจะรู้นักว่าอาจารย์ของหลันซีจะด่าเจ้าจนไม่เหลือชิ้นดีหรือไม่!”
บรรพจารย์หลุดหัวเราะพรืด “ความสามารถในการด่าคนของเขาร้ายกาจก็จริง แต่ความสามารถในการตีคนของข้ากลับร้ายกาจกว่าเขา มีครั้งไหนบ้างที่เขาไม่ได้ด่าคนอย่างสาแก่ใจแล้วต้องนอนแบ๊บอยู่บนเตียงหนึ่งเดือน”
จู่ๆ ผังซานหลิ่งก็หัวเราะ “วันหน้าจะมอบภาพเทพหญิงบนกระดาษไขให้เจ้าหนึ่งชุด เป็นภาพที่คู่ควรกับคำว่ายอดเยี่ยมดุจเทพนิรมิตจริงๆ”
บรรพจารย์ยกฝ่ามือขึ้นมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามืออีกครั้งพลางยิ้มบางเอ่ยว่า “รอประโยคนี้ของเจ้าอยู่นี่แหละ มัวอืดอาดอยู่ได้ ไม่ทันใจเอาซะเลย”
เพียงแต่ว่าไม่นานบรรพจารย์ท่านนี้ก็เก็บวิชาอภินิหารลงไปอย่างรวดเร็ว ผังซานหลิ่งถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ?”
บรรพจารย์ยิ้มเอ่ย “อีกฝ่ายไม่ค่อยจะสบอารมณ์แล้ว พวกเราหยุดเมื่อพอสมควรเถอะ ไม่อย่างนั้นหากเขาเอาข้าไปฟ้องกับเจ้าสำนัก จะกลายเป็นว่าหาเรื่องใส่ตัว เกิดเรื่องครึกโครมขนาดนี้ขึ้นในหุบเขาผีร้าย กว่าจะทำให้เกาเฉิงผู้นั้นเป็นฝ่ายเผยร่างกายธรรมของตัวเอง ออกจากรังมาปรากฎกายที่ชายหาดโครงกระดูกได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าสำนักไม่เพียงแต่เป็นฝ่ายลงมือด้วยตัวเอง พวกเรายังใช้ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา แต่นั่นก็เพิ่งจะลดทอนตบะของมันไปได้แค่ร้อยปี เจ้าสำนักกลับมาที่ภูเขาครั้งนี้ต้องอารมณ์ย่ำแย่สุดขีดอย่างแน่นอน”
ผังซานหลิ่งรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย สองวันนี้มาหุบเขาผีร้ายได้ขาดการติดต่อกับโลกภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะบอกว่าตะเกียงแห่งชะตาชีวิตในศาลบรรพจารย์ยังส่องแสงสว่างไสว นี่หมายความผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่ปกปักษ์พิทักษ์เมืองชิงหลูและเมืองหลันเซ่อสองแห่งต่างก็ไม่มีใครที่บาดเจ็บล้มตาย แต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเกาเฉิงผู้นั้นจะบันดาลโทสะ ถือโอกาสทำให้ทั้งตัวเองและสำนักพีหมาเป็นดั่งปลาตายตาข่ายขาด สถานการณ์ที่ชายหาดโครงกระดูกคุมเชิงอยู่กับหุบเขาผีร้ายมานานนับพันปีจะถูกทำลายลงในเสี้ยววินาทีหรือไม่ ผังซานหลิ่งกลัวก็แต่ว่าจู่ๆ นาทีใดนาทีหนึ่ง ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตแต่ละดวงที่อยู่ในศาลบรรพจารย์จะทยอยกันดับอย่างน่าสังเวช อีกทั้งความเร็วในการมอดดับยังเร็วมากอีกด้วย
ถึงเวลานั้นสุดท้ายแล้วจะเหลือตะเกียงกี่ดวง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกัน เจ้าสำนักจู๋เฉวียนก็ดี โอสถทองตู้เหวินซือก็ช่าง ล้วนไม่มีข้อยกเว้น หากศึกใหญ่เปิดฉากขึ้นมาจริงๆ ด้วยนิสัยของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาแล้ว ไม่แน่ว่าตะเกียงแห่งชะตาชีวิตที่จะมอดดับลงก่อนอาจกลับกลายมาเป็นของพวกผู้ฝึกตนใหญ่เหล่านี้ก็เป็นได้
บรรพจารย์ท่านนั้นคาดเดาความคิดในใจของผังซานหลิ่งได้จึงยิ้มปลอบว่า “ครั้งนี้เกาเฉิงพลังต้นกำเนิดเสียหาย แน่นอนว่าต้องเดือดดาลอย่างหนัก นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ในหุบเขาผีร้ายยังมีข่าวดีอยู่หลายข่าว คนที่ออกกระบี่ก่อนก็คือผูหรางแห่งนครกรงขาว จากนั้นก็ตามมาด้วยวิญญาณวีรบุรุษก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพบู๊แคว้นเสินเช่อผู้นั้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ถูกกับนครจิงกวานอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ม่านฟ้าแหวกอ้า ข้าเห็นว่าดูเหมือนมันเองก็จะยื่นเท้าเข้าแทรก อย่าลืมล่ะว่า หุบเขาผีร้ายยังมีป่าท้อแห่งนั้น ยอดฝีมือนอกโลกทั้งสองคนที่อยู่ในหนึ่งวัดหนึ่งอารามนั่นไม่มีทางปล่อยให้เกาเฉิงเปิดฉากสังหารอย่างกำเริบเสิบสานแน่นอน”
ผังซานหลิ่งผงกศีรษะรับเบาๆ “ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”
ทางฝั่งของจวน
ผังหลันซีไม่มีเวลามามัวสนใจเรื่องอื่นใดอีก ยังคงเป็นซิ่งจื่อที่เติบโตมาด้วยกันกับเขาตั้งแต่เด็กที่สำคัญมากที่สุด จึงเอ่ยว่า “ก็ได้ เจ้าว่ามา แต่ก็ต้องให้ข้าฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผลด้วยนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ไปให้ท่านปู่ทวดด่าเด็ดขาด”
เฉินผิงอันยกสองมือขึ้นมากุมหมัดคารวะก่อน เป็นการบอกให้ยอดฝีมือเซียนซือที่อยู่ด้านนอกอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก จากนั้นจึงเอามือข้างหนึ่งวางลงบนตำราพิชัยยุทธเล่มนั้นเบาๆ ใช้ฝ่ามือปาดผ่าน หลังจากที่เขาออกมาจากหุบเขาผีร้ายถึงได้ค้นพบว่าตำราที่เซียนใหญ่จัวเยาแห่งตำหนักหยางฉางผู้นั้นเก็บสะสมไว้อย่างตั้งใจล้วนถูกรักษาไว้อย่างเหมาะสม ระดับขั้นไม่ธรรมดา นี่คือตำราฉบับสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังมีอยู่เพียงเล่มเดียวที่ดำรงอยู่บนโลกมานานนับพันปี นี่ทำให้เขาอารณ์ดีอย่างมาก จึงเริ่มไขข้อข้องใจให้กับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยการพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หลันซี เจ้ารู้สึกว่าการที่ตัวเองเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทอง กลายเป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ธรรมดา ยากหรือไม่?”
ผังหลันซีตอบตามสัตย์จริง “เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้ชมตัวเองหรอกนะ แต่โอสถทองนั้นง่าย ก่อกำเนิดก็ไม่ยาก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เดิมทีคำพูดของผังหลันซีก็เป็นความจริงอยู่แล้ว หลายวันมานี้ที่อยู่ในจวนของสำนักพีหมาอาศัยการคุยเล่นกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า รวมไปถึงการได้พูดคุยกับผู้สืบทอดของสำนักพีหมาหลายคนซึ่งรวมถึงหยางหลินผู้ฝึกตนโอสถทองของนครปี้ฮว่า ทำให้เขาพอจะรู้ถึงน้ำหนักของผังหลันซีที่อยู่ในสำนักพีหมาได้คร่าวๆ ว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกอบรมปลูกฝังให้กลายเป็นเจ้าสำนักในอนาคต อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเป็นคนที่กุมอำนาจใหญ่ของสำนักพีหมา
อีกทั้งผังหลันซียังมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ความคิดจิตใจก็บริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดีมีเมตตา ไม่ว่าจะเป็นฐานกระดูกก่อนกำเนิดหรือนิสัยหลังกำเนิดก็ล้วนสอดคล้องกับสำนักพีหมาอย่างถึงที่สุด นี่ก็คือความมหัศจรรย์ของมหามรรคา หากผังหลันซีถือกำเนิดขึ้นในทะเลสาบซูเจี่ยน คนคนเดียวกัน แต่ความสำเร็จบนมหามรรคาอาจจะไม่สูง เพราะทะเลสาบซูเจี่ยนมีแต่จะกัดกินจิตใจดั้งเดิมของผังหลันซีอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุใดถ่วงรั้งตบะและโชควาสนาของเขา แต่เมื่ออยู่ที่ภูเขามู่อีของสำนักพีหมากลับเหมือนปลาได้น้ำ ราวกับเป็นคู่สร้างคู่สม นี่ก็คงจะเป็นดั่งคำกล่าวที่บอกว่าน้ำและดินของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนประเภทหนึ่ง บางครั้งที่คนเราโทษฟ้าตำหนิคนอื่น ก็ใช่จะไม่ตระหนักรู้เสียเลยว่า บางคราโชคชะตาก็ไม่เป็นใจจริงๆ
—–