กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 501.2 การพบเจอในบางครั้ง
จากนั้นเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ก็ออกเดินทางต่อช้าๆ และได้ลอยผ่านภูเขาแสงจันทร์ยามค่ำคืนพอดี ไม่กล้าขยับเข้าใกล้ตัวภูเขามากนัก แต่ลอยวนรอบภูเขาแสงจันทร์หนึ่งรอบโดยทิ้งระยะห่างประมาณเจ็ดแปดลี้ เนื่องจากไม่ใช่วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน กบยักษ์ตัวนั้นจึงไม่ได้เผยกาย ซ่งหลันเฉียวรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะบางครั้งกบยักษ์ก็จะเผยตัวในเวลาปกติอยู่บ้าง มันจะนั่งดูดซับแสงจันทร์อยู่บนยอดเขา ดังนั้นคราวนี้ซ่งหลันเฉียวจึงไม่ปรากฏตัวเสียเลย
เห็นว่าผู้ฝึกตนหนุ่มที่สวมงอบไว้บนศีรษะผู้นั้นยืนอยู่จนกระทั่งเรือข้ามฟากขับออกจากภูเขาแสงจันทร์ถึงได้กลับห้องตัวเองไป
ซ่งหลันเฉียวได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน โชคของคนผู้นี้ช่างธรรมดายิ่งนัก
เรือข้ามฟากทั่วไปเวลาที่บินผ่านภูเขาคู่รักนี้ ห่านหลังทองนั้นไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้เห็น ซ่งหลันเฉียวดูแลเรือลำนี้มาสองร้อยปีแล้ว จำนวนครั้งที่ได้เห็นมันก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่กบยักษ์ของภูเขาแสงจันทร์ ผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากจะได้เห็นหรือไม่ก็มีโอกาสห้าต่อห้าส่วน
ผ่านไปอีกสองวัน เรือข้ามฟากก็ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นสูง
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นเป็นฝ่ายมาหาซ่งหลันเฉียวด้วยตัวเองเพื่อถามถึงสาเหตุ ซ่งหลันเฉียวก็ไม่ได้ปิดบัง เดิมทีนี่ก็เป็นความลับที่กึ่งเปิดเผยของเรือข้ามฟากอยู่แล้ว ไม่ถือว่าเป็นข้อห้ามบนภูเขาอะไร ทุกเส้นทางการเดินเรือที่มั่นคงซึ่งบุกเบิกมานานหลายปีล้วนต้องมีเคล็ดวิชากันอยู่ไม่น้อย หากผ่านสถานที่ที่มีภูเขาสวยน้ำใส เรือข้ามฟากที่ลอยตัวอยู่สูงมักจะลดระดับลงต่ำ นี่ก็เพื่อรับเอาปราณวิญญาณของฟ้าดินมา ลดทอนการเผาผลาญเงินเทพเซียนของเรือข้ามฟากให้น้อยลง แต่เวลาผ่าน ‘สถานที่ไร้อาคม’ ที่ปราณวิญญาณเบาบางแร้นแค้น ยิ่งแนบติดพื้นเท่าไหร่ การเผาผลาญเงินเทพเซียนก็ยิ่งมากเท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลอยตัวขึ้นสูงสักนิด ส่วนเวลาอยู่ในอาณาเขตของตระกูลเซียน จะดึงเอาปราณวิญญาณมาอย่างไรโดยที่ทั้งไม่ละเมิดกฎที่มีเฉพาะในถ้ำสถิตของสำนัก อีกทั้งยังสามารถได้ ‘กำไร’ เล็กๆ น้อยๆ นี่ก็ต้องดูที่ความสามารถของผู้ดูแลเรือ และยิ่งต้องพิถีพิถันในด้านการกะน้ำหนักความสัมพันธ์ของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ
ซ่งหลันเฉียวเล่าเรื่องลับที่ไม่ละเมิดกฎข้อต้องห้ามเหล่านี้ให้ผู้ฝึกตนหนุ่มฟังทั้งหมดอย่างไม่มีหมกเม็ด
ก็ถือว่าเป็นการผูกความสัมพันธ์ควันธูปเล็กๆ กันครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ต้องใช้เงิน
ด้วยเหตุนี้ซ่งหลันเฉียวจึงพอจะเดาออกว่า คนต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวผู้นี้ น่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์สำนักใหญ่ที่มีใจในการฝึกตน แต่ก็ไม่ละเลยกิจธุระในสำนัก อีกทั้งยังเดินทางท่องเที่ยวมาไม่มาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นไม่รู้เรื่องวงในที่ค่อนข้างตื้นเขินเหล่านี้เลย เพราะถึงอย่างไรการที่เรือข้ามฟากสามารถไปได้ไกลเท่าไหร่ จะเป็นระยะทางสั้นๆ แค่ไม่กี่หมื่นลี้ หรือสามารถล่องผ่านสถานที่ครึ่งหนึ่งของทวีป หรืออาจจะข้ามทวีปไปได้เลยนั้น ก็เป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้สามารถสังเกตได้โดยตรงว่ารากฐานในการฝึกตนของสำนักหนึ่งเป็นอย่างไร
เมื่อมาขอความรู้จากผู้อื่น เฉินผิงอันจึงหยิบเอาเหล้าหมักเซียนกาหนึ่งที่ซื้อมาจากชายหาดโครงกระดูกออกมา ชื่อเสียงของมันเทียบกับชาอินเฉินไม่ได้ มีชื่อว่าเหล้าเฟิงเป๋า รสสุราร้อนแรง
วันนี้จู่ๆ ซ่งหลันเฉียวก็ออกมาจากห้อง ออกคำสั่งให้ลดระดับเรือลงต่ำ ครึ่งก้านธูปต่อมา ซ่งหลันเฉียวก็มาที่หัวเรือ ยืนพิงราวรั้ว หรี่ตามองภูเขาแม่น้ำที่อยู่เบื้องล่าง จึงพอจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดอย่างหนึ่งได้ นี่ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าอดไม่ไหวจุ๊ปากชื่นชม
เรือข้ามฟากลอยพ้นจากพื้นดินมาไม่สูงเท่าไหร่นัก บวกกับที่อากาศปลอดโปร่ง การมองเห็นจึงโปร่งโล่ง นี่ถือเป็นการเบียดบังของส่วนร่วมมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว แต่เวลาครึ่งก้านธูปนี้ก็เผาผลาญเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่สิบเหรียญเท่านั้น ต่อให้บรรพจารย์ผู้ที่มีอำนาจดูแลเงินทองของสวนน้ำค้างวสันต์รู้เข้าก็มีแต่จะถามซ่งหลันเฉียวว่ามองเห็นเรื่องอะไรแปลกใหม่ ไหนเลยจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญ ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่ง สามารถใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์บนเรือข้ามฟากได้ นี่แสดงว่าต้องเป็นคนน่าสงสารที่เส้นทางอนาคตบนมหามรรคาขาดสะบั้นลงแล้ว คนทั่วไปจึงไม่ค่อยกล้าหาเรื่องผู้ดูแลเรือข้ามฟาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ดูแลคนนั้นยังเป็นเซียนดินท่านหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่าโอสถทอง มองไปยังนครที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีดำ ถามว่า “ผู้อาวุโสซ่ง หมอกดำปกคลุมเมือง นี่เป็นเพราะสาเหตุใด?”
“คุณชายเฉินสายตาดียิ่ง ต่อให้เป็นข้าก็ยังมองเห็นได้ค่อนข้างลำบาก”
ซ่งหลันเฉียวลูบหนวดยิ้ม “นั่นคือนครแห่งหนึ่งของแคว้นอิ๋นผิง คงกำลังจะเจอกับหายนะ ภาพปรากฎการณ์ที่แสดงออกภายนอกถึงได้ชัดเจนขนาดนี้ น่าจะหนีไม่พ้นสถานการณ์สองอย่าง อย่างหนึ่งคือมีปีศาจออกอาละวาด ส่วนอย่างที่สองก็คือร่างทองของพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาหรือพวกเทพอภิบาลเมืองในพื้นที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากทางราชสำนักกำลังเดินไปสู่สภาวะเสื่อมโทรมใกล้ดับสูญ แคว้นอิ๋นผิงแห่งนี้มองดูเหมือนมีอาณาบริเวณกว้างขวาง แต่เมื่ออยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปเรากลับถือว่าเป็นแคว้นเล็กอย่างสมชื่อ นี่ก็เพราะว่าปราณวิญญาณในอาณาเขตของแคว้นอิ๋นผิงไม่โชติช่วง ไม่มีผู้ฝึกลมปราณปรากฏตัว ต่อให้มีก็ได้แต่ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น ดังนั้นแคว้นที่ห่างไกลแร้นแค้นอย่างแคว้นอิ๋นผิงนี้จึงมีแต่เค้าโครงที่ว่างเปล่า ผู้ฝึกลมปราณต่างก็ไม่ชอบไปเดินเที่ยวที่นั่น”
นี่เห็นได้ชัดว่ามองผู้ฝึกตนหนุ่มคนนี้เป็นเพียงลูกนกหัดบินที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้าง เพียงไม่นานซ่งหลันเฉียวก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของตัวเองไม่เหมาะสม เพียงแต่เมื่อเขามองประเมินสีหน้าของคนผู้นั้นอย่างละเอียด เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงี่ยหูตั้งใจฟังเป็นพิเศษ ซ่งหลันเฉียวถึงได้ถอนหายใจโล่งอก เป็นผู้สูงศักดิ์ในศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อของทวีปอื่นจริงๆ ด้วย ก็ถือว่าโชคดีที่ตนมีชาติกำเนิดมาจากภูเขาที่เชี่ยวชาญการผูกมิตรกับผู้อื่นอย่างสวนน้ำค้างวสันต์ หากเปลี่ยนไปเป็นเรือข้ามฟากของภูเขาใหญ่แห่งอื่นที่อยู่ในภาคกลางและภาคเหนือของอุตรกุรุทวีป แล้วมองตัวตนของอีกฝ่ายออก ไม่แน่ว่าอาจจะคิดปั่นหัวเล่น และถ้าสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ต่างคนต่างเกิดโทสะ เวลานี้ย่อมไม่มีทางลงมือเอาให้ถึงตาย แต่ก็ต้องหาโอกาสปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระแล้วทำลายศพและร่องรอยของอีกฝ่าย นี่ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยมาก
ซ่งหลันเฉียวลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังกลืนคำเตือนที่มารออยู่ตรงปากแล้วลงไป
ลูกศิษย์สำนักใหญ่ล้วนรักในศักดิ์ศรีหน้าตา ตนอย่าวาดงูเติมขาจะดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายไม่เห็นความหวังดีแล้วยังอาฆาตแค้นอีกต่างหาก
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้านแล้วก็ประคองงอบ ยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสซ่ง ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ว่างๆ รู้สึกอุดอู้ไม่น้อย จะลงไปหาอะไรทำข้างล่างสักหน่อย อาจจะกลับมาถึงสวนน้ำค้างวสันต์ดึกหน่อย ถึงเวลานั้นจะมาขอดื่มเหล้ากับผู้อาวุโสซ่ง อีกเดี๋ยวพอข้าออกไปจากเรืออาจจะส่งผลกระทบต่อค่ายกลของเรือข้ามฟากเล็กน้อย”
ซ่งหลันเฉียวอึ้งตะลึงไป รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่การกระทำของผู้ฝึกตน แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะทำตามอำเภอใจอยู่แล้ว ผู้เฒ่าโอสถทองจึงไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพียงแค่เอ่ยประโยคอวยพรที่เป็นมงคลสองสามคำ
จากนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าก็เห็นว่าดูเหมือนผู้ฝึกตนต่างถิ่นแซ่เฉินจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เหตุใดถึงไม่ขี่กระบี่? ต่อให้รู้สึกว่าจะสะดุดตาเกินไป แต่บังคับลมบินทะยานจะไปยากตรงไหน?
เฉินผิงอันได้แต่ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที เอามือข้างหนึ่งค้ำยันบนราวรั้ว พลิกกายลงไปเบื้องล่าง จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบค่ายกลของเรือข้ามฟากให้แยกออกเบาๆ แล้วลอดตัวผ่านออกไป เรือนกายเหมือนลูกธนูที่แล่นฉิวออกจากแล่ง จากนั้นสองเท้าก็คล้ายเหยียบอยู่บนยอดของแสงสีเขียวเส้นหนึ่ง งอเข่าน้อยๆ พลันเพิ่มพละกำลังกะทันหัน ร่างจึงโน้มเอียงพุ่งดิ่งลงไป อากาศรอบด้านเกิดริ้วกระเพื่อมรุนแรงพร้อมกับเสียงสะเทือนเลือนลั่น ทำเอาผู้ฝึกตนโอสถทองที่มองดูอยู่หนังตากระตุก เจ้าตัวดี เป็นเซียนกระบี่อายุน้อยก็แล้วไปเถิด เรือนกายที่แข็งแกร่งปานนี้เหมือนจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแล้วกระมัง?
ผู้ฝึกกระบี่ชาติสุนัข!
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง แล้วจึงหันมาโบกมืออำลา
ต่อให้ซ่งหลันเฉียวจะคิดเช่นนี้ แต่ก็ยังโบกมือตอบกลับอย่างมีมารยาท รังเกียจอีกฝ่ายไม่ลง
ผู้ฝึกตนบนภูเขา พบเจอกันด้วยดีและจากลากันด้วยดี จะมีอะไรยาก
เฉินผิงอันหยิบเอาหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งมาสะพายไว้ด้านหลัง
เจี้ยนเซียนไม่เต็มใจจะออกจากฝัก เห็นได้ชัดว่าเกิดอาการแง่งอนเพราะศึกที่หุบเขาผีร้ายครั้งนั้นยังไม่สาแก่ใจมากพอ
ส่วนกระบี่บินชูอีที่ชื่อเดิมคือ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ นั้น เฉินผิงอันไม่กล้าให้มันออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ง่ายๆ อีกแล้ว
เฉินผิงอันหยิบเอาประคำแกนท้อมาสวมไว้บนข้อมือ จากนั้นก็หยิบยันต์สามแผ่นของตำหนักนภากาศมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อข้างซ้าย
ไม่ได้เจอกับห่านหลังทองบนยอดเขาแสงทองและกบยักษ์บนภูเขาแสงจันทร์ ถือเป็นเรื่องดี
การที่เขาเลือกเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ลำนี้มีเหตุผลหนึ่งที่แอบซ่อนไว้ ก็คือเรื่องนี้
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ไม่ได้รีบร้อนออกเดินทาง แต่หาสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งเริ่มหลอมยันต์สายฟ้าสีทองของภูเขาจีเซียวเส้นที่ยาวที่สุด ประมาณสองชั่วยามต่อมาเขาก็พอจะหลอมให้เป็นรูปเป็นร่างได้คร่าวๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าแล้วเริ่มเดินเท้าตรงไปยังนครของแคว้นอิ๋นผิงที่อยู่ห่างไปประมาณห้าสิบหกสิบลี้
ก่อนหน้านี้จากลากับผังหลันซีที่ท่าเรือ เด็กหนุ่มมอบภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มสองชุดมาให้เขา เป็นผลงานที่ท่านปู่ทวดของเขาภาคภูมิใจมากที่สุด เรียกได้ว่ามีมูลค่าควรเมือง ภาพเทพหญิงหนึ่งชุดมีราคาประมาณหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช เป็นราคาที่สูงมาก เพียงแต่ผังหลันซีบอกว่าเฉินผิงอันไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ เพราะท่านปู่ทวดของเขาบอกแล้วว่า คำพูดจากใจจริงที่เจ้าเฉินผิงอันพูดในจวนก่อนหน้านี้กระจ่างชัดมีเอกลักษณ์อย่างถึงที่สุด ประหนึ่งดอกกล้วยไม้ท่ามกลางหุบเขาที่ว่างเปล่า (เปรียบเปรยว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยาก มักใช้บรรยายถึงลักษณะบุคลิกของคนที่สง่างาม) ไม่เหมือนคำประจบสอพลอเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันจึงทำหน้าหนารับภาพเทพหญิงสองชุดนั้นไว้ ยิ้มพูดกับผังหลันซีว่าคราวหน้าที่ย้อนกลับมายังชายหาดโครงกระดูกจะต้องมาดื่มเหล้าพูดคุยกับท่านปู่ทวดของเจ้าอย่างถูกคอแน่นอน
ผังหลันซีเป็นคนซื่อ บอกว่าภาพเทพหญิงสามชุดสุดท้ายที่อยู่ในมือของท่านปู่ทวดข้าล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว สองชุดยกให้เจ้า อีกชุดหนึ่งยกให้กับบรรพจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์ หากคิดจะใช้ถ้อยคำประจบเยินยอมาแลกเป็นสมุดภาพเติมเต็มก็คงทำให้ท่านปู่ทวดของเขาลำบากใจแล้ว
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงใจว่า ใจของท่านปู่ทวดเจ้ากว้างขวางดุจสายน้ำ คุ้นเคยกับท่วงทำนองของความศักดิ์สิทธิ์มีชีวิตชีวาของเหล่าเทพหญิงบนฝาผนังมานานแล้ว ยามจรดพู่กันดุจมีเทพมีผีมาช่วยเหลือ นับตั้งแต่จิตใจไปถึงพู่กัน จากพู่กันไปถึงกระดาษ เทพหญิงบนกระดาษจึงมีชีวิตชีวาเหมือนจริง ราวกับว่าจิตวิญญาณเชื่อมอยู่กับท่านปู่ทวดของเจ้า ทุกอย่างจึงสำเร็จราบรื่นดุจน้ำมาลำคลองเกิด ฝีมือเลิศล้ำดั่งผลงานจากสรวงสวรรค์…
ทำเอาผังหลันซีที่ได้ฟังปากอ้าตาค้าง
แต่ตอนที่เฉินผิงอันนั่งโดยสารเรือข้ามฟากจากมาไกล เด็กหนุ่มกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
เด็กหนุ่มอยากฟังหลักการเหตุผลที่เจ้าหมอนั่นได้มาจากการดื่มเหล้าให้มากขึ้นอีกหน่อย
ตอนนั้นที่เรือข้ามฝากจากไปไกล บรรพจารย์สำนักพีหมากำลังจ้องฝ่ามือของตัวเองนิ่ง
ผังซานหลิ่งที่อยู่ด้านข้างผงกศีรษะยิ้มบางๆ “สอดคล้องตรงใจข้ายิ่งนัก”
บรรพจารย์ผู้เฒ่าอดทนอยู่นานก็ยังไม่อาจสรรหาถ้อยคำที่น่าฟังอะไรออกมาได้ จึงได้แต่ถอดใจ ถามว่า “คำพูดตามมารยาทที่หาฟังได้ง่ายเช่นนี้ เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ?”
ผังซานหลิ่งเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “อยู่ในสำนักพีหมาของพวกเจ้า ข้าก็ได้ยินคำพูดพวกนี้ด้วยหรือ?”
บรรพจารย์เดือดดาลอย่างหนัก สบถด่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นว่าหน้าด้านหน้าทน หากไม่เป็นเพราะท่าทีที่มีต่อสตรียังนับว่าซื่อสัตย์เที่ยงตรงอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาก็คงด่าอีกฝ่ายเป็นเจียงซ่างเจินคนที่สองไปแล้ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันรู้แค่ว่าบรรพจารย์สำนักพีหมาและผังซานหลิ่งจะต้องใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือมาจับตาดูตนกับผังหลันซีอย่างแน่นอน ส่วนการที่บรรพจารย์ผู้เฒ่าจะอับอายจนพานเป็นความโกรธ เขาไม่มีทางรู้เลย
ในมือของจอมยุทธพเนจรหนุ่มสวมชุดเขียวสะพายหีบไม้ไผ่คนหนึ่งมีเพียงไม้เท้าเดินป่า เดินอยู่บนทางเส้นเล็กของสันเขาที่เงียบสงัดในฤดูหนาว
หวังให้ภูตหนูน้อยที่เฝ้าประตูใหญ่ของตำหนักหยางฉางมีหนังสือที่อ่านได้ไม่หมดไปทั้งชีวิต สามารถไปกลับระหว่างหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกได้อย่างปลอดภัย สะพายหีบหนังสือกลับไปพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือทุกครั้ง
หวังให้ปีศาจสองตัวที่อยู่บนสะพานเหล็กแขวนตั้งใจฝึกตน อย่ากระทำความชั่ว บรรลุมรรคาของความเป็นอมตะ
หวังให้ตะพาบเฒ่าที่ได้กลับไปฟังพระธรรมในวัดอีกครั้งสามารถทำความดีชดใช้ความผิด ฝึกตนจนบรรลุผล
ไม่รู้ว่าเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกของภูเขากระจกวิเศษที่ปิดบังใบหน้าไว้หลังร่มสีเขียวมรกตจะหาชายคนรักที่จะมาช่วยถือร่มบังฝนให้นางเจอหรือไม่?
มือกระบี่โครงกระดูกขาวที่ชื่อว่าผูหรางตนนั้น นอกจากจะสวมชุดเขียวสะพายกระบี่แล้ว จะมีวันใดที่สามารถปรากฎกายในฟ้าดินด้วยรูปลักษณ์ของสตรี แล้วหัวคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกันเพราะความกลัดกลุ้มจะคลายออกด้วยความสบายใจได้หรือไม่?
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือเปล่า
ก็เหมือนกับที่เขาไม่รู้ว่า ในสายตาของผังหลันซีที่ยังไม่รู้ประสา ในสายตาของภูตหนูน้อย รวมไปถึงในสายตาของเฉาฉิงหล่างบัณฑิตที่อยู่ห่างไกลไปในพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อได้พบเจอกับเขาเฉินผิงอัน ก็เหมือนกับปีนั้นที่เฉินผิงอันยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วได้พบเจอกับอาเหลียง ได้พบเจอกับอาจารย์ฉี