กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 526.4 ตีมือ
ยังดีที่เฉินผิงอันได้พูดพร้อมรอยยิ้มขึ้นมาก่อนแล้วว่า เหตุผลเหล่านั้นของท่านหลิว อันที่จริงเป็นการพูดให้กับคนทั้งสายไท่เสียฟัง หรือถึงขั้นสามารถพูดให้ฮว่อหลิงเจินเหริน เทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นฟังได้ด้วย
สุยจิ่งเฉิงเงยหน้าขึ้น คำอธิบายนี้ นางยังพอจะฟังเข้าใจอยู่บ้าง ดังนั้นพอหรงช่างบอกว่าอาจารย์ของเขาจะมา ท่านหลิวจึงพูดถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยของตัวเอง อันที่จริงก็เป็นการพูดให้เซียนกระบี่ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นั้นฟัง? หรงช่างจะได้นำความนี้ไปบอกต่อ ทำให้เซียนกระบี่ท่านนั้นเกิดใจกริ่งเกรง?
ครู่หนึ่งต่อมา สุยจิ่งเฉิงก็ถามหยั่งเชิงว่า นั่นก็แสดงว่า คำว่ากฎเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ท่านหลิวเอ่ยถึง ก็คือต่อให้จะเป็นช่วงเวลาที่สามารถฆ่าคนได้ แต่กฎเกณฑ์นั้นก็ยังสามารถทำให้คนที่หมัดแข็งเกิดใจกริ่งเกรงได้? ดังนั้นนี่จึงทำให้คนที่หมัดไม่แข็งพอ สามารถพูดได้มากขึ้น? หรืออาจถึงขั้นที่ว่า ต่อให้จะไม่ต้องพูดอะไร ก็ถือว่าเป็นเหตุผลแล้ว? เพียงแต่ว่าหากศักยภาพต่างกันมากเกินไป จะลงมือหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ยังอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี?
ดวงตาของสุยจิ่งเฉิงเป็นประกาย พูดต่อไปว่า แล้วนี่ก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์คำกล่าวของผู้อาวุโสที่บอกว่า ‘อย่างน้อยๆ ที่สุดก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา’ ด้วยใช่หรือไม่?
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ไม่พูดถึงกรณีเดี่ยวๆ พูดถึงแค่สถานการณ์ส่วนใหญ่ ในตรอกซอกซอยของหมู่ชาวบ้านร้านตลาด เหตุใดพวกคนที่เรือนกายแข็งแกร่งเปี่ยมพละกำลังถึงได้ไม่กล้าบุกไปปล้นชิงผู้อื่น? พวกลูกหลานคนรวยที่นิสัยเสเพลในราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ยังต้องแอบทำความเลวอย่างหลบๆ ซ่อนๆ? เหตุใดผู้ฝึกตนลงจากภูเขามาแล้วสามารถทำตามใจปรารถนา กวาดเอาทรัพย์สินเงินทองของเศรษฐีในเมืองแห่งหนึ่งไปจนเกลี้ยง แล้วยังฆ่าคนทั้งตระกูล? เหตุใดข้าที่มีตบะของก่อกำเนิดถึงได้กล้าลากท่านเฉินของเจ้าให้มารอคอยต้อนรับการมาถึงของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งด้วยกัน? เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่า หมัดแข็งนั้นร้ายกาจมาก คำกล่าวนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความหมายที่ดีหรือเลว แต่หากสามารถพันธนาการหมัดได้ แน่นอนว่าย่อมร้ายกาจยิ่งกว่า
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน ระวังการเลือกใช้คำสักหน่อย
สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ
ฉีจิ่งหลงลังเลเล็กน้อย ก่อนมองไปทางสระดอกบัว แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็คือกฎเกณฑ์ของสถานที่ที่มีกฎเกณฑ์ ในสถานที่ที่ไร้กฎหมายกลับใช้ไม่ได้ผล แต่ว่าวิถีทางโลกมักจะต้องเดินไปข้างหน้าเสมอ กวาดตามองประวัติศาสตร์ที่ผ่านๆ มา รวมไปถึงดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ยังจำเป็นต้องเปลี่ยนจากไร้กฎเกณฑ์เดินไปจนมีกฎเกณฑ์ จากนั้นทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกัน ทำภายนอกที่อาจจะไม่ถูกต้องทุกจุดเสมอไปให้กลายมามีกฎเกณฑ์ กลายมาเป็นขั้นตอนที่ดีบนภูเขา เป็นกฎหมายที่ดีตอนลงจากภูเขา โลกมนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนจากการใช้เหตุผลไปเป็นมีเหตุผลในขอบเขตกว้างๆ พยายามทำให้คนจำนวนมากกว่าเดิมได้รับผลประโยชน์ บางทีอาจไม่ต้องถูกพันธนาการอยู่กับสามลัทธิร้อยสำนัก ค้นหาสภาพการณ์และขอบเขตที่สมดุลอย่างหนึ่ง สุดท้ายทุกคนก็พากันเดินออกมาจาก…
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ยังไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้
ฉีจิ่งหลงจึงหยุดพูด
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า สภาพจิตใจของกู้โม่ผู้นั้น นับว่าหาได้ยากและล้ำค่านัก
ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที วิถีทางโลกต้องการผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เป็นเช่นนี้จำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจมีแค่ผู้ฝึกตนที่เป็นแบบนี้ได้เท่านั้น ดังนั้นได้พบเจอกับกู้โม่ พวกเราไม่ต้องรีบร้อน ยิ่งไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรนาง
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถูกต้อง
สุยจิ่งเฉิงมองบุรุษทั้งสองแล้วแค่นเสียงดังหึในลำคอ ก่อนจะถือใบบัวลุกเดินขึ้นไปฝึกตนในห้อง
ข้าขวางหูขวางตาพวกเจ้านักใช่ไหม งั้นข้าไปเองก็ได้
เฉินผิงอันถาม นี่คือ?
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ เจ้าเป็นยอดฝีมือ อย่ามาถามข้า
เฉินผิงอันมึนงง ยอดฝีมืออะไรกัน?
ฉีจิ่งหลงกลับเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยแล้ว จะพูดเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับการฝึกตนของขอบเขตสามให้เจ้าฟังดีไหม?
เฉินผิงอันชำเลืองตามองกาเหล้าในมือของเขา ไม่กินก็เสียเปล่า คืนข้ามา นั่นมันเหล้าหมักของเซียนที่ต้องจ่ายตั้งหลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะเชียวนะ
ฉีจิ่งหลงพูดอย่างฉุนๆ ปนขำ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่ามันเป็นเหล้าหมักข้าวเหนียว? ลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีชาติกำเนิดมาจากหมู่ชาวบ้าน? ต่อให้ไม่เคยดื่ม แต่จะไม่เคยเห็นด้วยหรือ?
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า ถ้าอย่างนั้นข้าคงหยิบผิดอัน
ทางฝั่งของห้องแห่งนั้น สุยจิ่งเฉิงที่จงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลงรีบก้าวเร็วๆ ข้ามธรณีประตู สุดท้ายก็กระแทกประตูปิดหนักๆ เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้า
ฉีจิ่งหลงเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินผิงอันกล่าว ความคิดของสตรี เจ้าเดาไม่ถูกหรอก
ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที ถ้อยคำจากประสบการณ์ มีค่าดุจทองดุจหยก
การพูดคุยกันหลังจากนั้น เฉินผิงอันก็ไม่เรียกอีกฝ่ายว่าท่านหลิวอีกแล้ว แต่ใช้ชื่อ ‘ฉีจิ่งหลง’ แทน
ฉีจิ่งหลง เจ้ามีสตรีที่ชื่นชอบหรือไม่?
ไม่มี
น่าสงสารนัก
…
ขนาดนี้แล้วยังไม่ดื่มเหล้าอีกหรือ? เจ้าเป็นคนที่อายุเกือบจะร้อยปีแล้ว ยังไม่มีสตรีที่ชอบอีกหรือ
หุบปาก
ข้าจะเปลี่ยนเป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนจริงๆ ให้เจ้าดีไหม?
เฉินผิงอัน หากข้าดื่ม เจ้าจะช่วยเปลี่ยนหัวข้อคุยได้ไหม?
…
ฉีจิ่งหลงเริ่มกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่โดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันพูดโน้มน้าว
ฉีจิ่งหลง พวกเราดื่มไปคุยไปดีไหม? เจ้าเองก็หน้าตาไม่เลว อีกทั้งตบะยังสูง แม่นางที่ชอบเจ้าต้องมีไม่น้อยแน่นอน
ไสหัวไป!
……
หลายวันมานี้โรงเตี๊ยมของท่าเรือหัวมังกรยังคงอยู่เป็นสุขปลอดภัยดี
ก็แค่แขกที่เข้ามาพักเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายคำว่าคนเยอะก็วุ่นวาย
เพราะได้ยินมาว่านักพรตหญิงของฝ่ายฮว่อหลิงเจินเหรินปรากฏตัว อีกทั้งยังมีเซียนกระบี่ที่ไม่รู้ที่มาคนหนึ่งติดตามมาด้วย
พลังอำนาจที่บุกมาดุดันน่าครั่นคร้าม สุดท้ายก็มาคุมเชิงอยู่กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ต่อสู้กัน แล้วก็โชคดีที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายกล้ามาชมความครึกครื้นที่โรงเตี๊ยม ไม่อย่างนั้นจะไม่เท่ากับว่าตัวเองรนหาที่ตายหรือไร?
เฉินผิงอันขอความรู้เรื่องกุญแจสำคัญเกี่ยวกับการฝึกตนของห้าขอบเขตล่างจากฉีจิ่งหลงหลายเรื่อง
แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงย่อมพูดทุกอย่างที่รู้โดยไม่มีปิดบัง
ส่วนเรื่องของสายยันต์นั้น คนทั้งสองต่างก็มีคำกล่าวที่คล้ายคลึงกันไม่น้อย
แต่ว่าทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ถ่ายทอดวิชาลับการวาดยันต์ของแต่ละคน
หาใช่ว่าไม่ยินดี
แต่เป็นเพราะไม่อาจทำได้
ยกตัวอย่างเช่นยันต์รอยหิมะของตำหนักขวานผีที่เฉินผิงอันวาดไว้บนผนังก่อนหน้านี้ และยันต์ค่ายกลพันธนาการที่ฉีจิ่งหลงสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ
แต่ในเมื่อมหามรรคาเชื่อมโยงถึงกัน ในเรื่องสายของยันต์นี้ ยามที่พูดคุยกันจึงต่างก็ได้รับผลประโยชน์ เมื่อเทียบกับการเรียนยันต์บางประเภทอย่างเป็นรูปธรรมแล้วกลับยิ่งเป็นผลดีต่อการฝึกตนมากกว่า
แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงนั้นถือว่าเป็นยอดฝีมือของเส้นทางนี้มานานแล้ว ส่วนใหญ่จึงเป็นเขาที่ช่วยไขข้อข้องใจให้เฉินผิงอันมากกว่า
เมื่อฉีจิ่งหลงรู้ว่าในชายแขนเสื้อทั้งสองข้างของเฉินผิงอันซ่อนยันต์กระดาษสีเหลืองไว้สามร้อยกว่าแผ่น เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนพูดไม่ออกไปพักใหญ่
เจ้าเฉินผิงอันคิดว่าตัวเองเป็นร้านแผงลอยเล็กๆ ที่ขายยันต์หรืออย่างไร?
เกี่ยวกับเรื่องการลอบฆ่าของนักฆ่าบนภูเขาเกอลู่
ฉีจิ่งหลงวิจารณ์ด้วยประโยคเดียวว่า อันตรายอย่างใหญ่หลวง
แต่เมื่อเฉินผิงอันหยิบเอาของเชลยศึกที่สุยจิ่งเฉิงกวาดค้นมาได้ออกมา ฉีจิ่งหลงก็แค่ประเมินราคาคร่าวๆ ให้กับพวกวัตถุอย่างเสื้อเกราะน้ำค้างหวานและธนูคันใหญ่เท่านั้น มีเพียงดาบสั้นสองเล่มที่สลักคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ กับ ‘แสงสายัณห์’ ที่เขาอดไม่ไหวพูดอย่างปลงอนิจจังว่า มือดีขนาดนี้เชียวหรือ?
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก
หาใช่ว่าฉีจิ่งหลงรู้เรื่องวงในของภูเขาเกอลู่ และเขาก็ยิ่งไม่รู้จักผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น
แต่เป็นเพราะฉีจิ่งหลงเคยเปิดเจอเรื่องของดาบสั้นคู่นี้ในตำราโบราณตระกูลเซียนเล่มหนึ่ง พวกมันมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สตรีนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ผู้นั้นก็แค่โชคดี ถึงได้ครอบครองอาวุธตระกูลเซียนที่หายสาบสูญไปนานคู่นี้ เพียงแต่โชคของนางก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร เพราะนางไม่อาจเข้าใจการหล่อหลอมและการนำดาบคู่มาใช้ได้อย่างถึงแก่น ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงเล่าสิ่งที่ตัวเองอ่านเจอจากในตำราให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด
สุยจิ่งเฉิงที่อยู่ด้านข้างใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ภายหลังกู้โม่กับหรงช่างก็ทยอยกันแวะมาเยือนเรือนสระบัวหนึ่งครั้ง หรงช่างมาพูดถึงเรื่องวิถีกระบี่กับฉีจิ่งหลง
ส่วนกู้โม่กลับถามถึงเรื่องเล่าลือบางอย่างจากฉีจิ่งหลงว่าเป็นจริงหรือเท็จ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าฉีจิ่งหลงเคยสังหารปีศาจก่อกำเนิดตนหนึ่งตอนที่ตัวเองเป็นขอบเขตโอสถทองจริงหรือ? เจ้าฉีจิ่งหลงชอบพอกับเทพธิดาหลูของภูเขาสุ่ยจิงจริงหรือไม่? ฉีจิ่งหลงไล่ตอบไปทีละคำถามอย่างไม่คิดหลบเลี่ยง กู้โม่ได้รับคำตอบของทุกเรื่องที่ต้องการแล้วก็ทั้งพึงพอใจ แล้วก็ทั้งผิดหวังนิดๆ ด้วยรู้สึกว่าสายตาของศิษย์พี่หญิงทั้งหลายไม่ค่อยดีเท่าไร เหตุใดถึงได้ชื่นชอบผู้ฝึกตนสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่น่าเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุดผู้นี้กันนะ
เฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงดูเรื่องสนุกอยู่บนม้านั่งตัวยาว
ตอนที่กู้โม่เอ่ยถาม พอได้ยินคำว่าเทพธิดาหลู เฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงก็หันมามองหน้ากัน
พอกู้โม่จากไปแล้ว สุยจิ่งเฉิงสังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสขยิบตาให้ตน นางก็เข้าใจได้โดยพลัน รีบหยุดแทะเมล็ดแตง ปัดมือ เตรียมจะถามฉีจิ่งหลงให้กระจ่างชัดกันไป ถึงอย่างไรตัวนางก็สงสัยอยู่แล้วว่าผู้ฝึกตนหญิงของภูเขาสุ่ยจิงคนนั้นสวยหรือไม่ ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ไม่ว่าจะเป็นกู้โม่ก็ดี หรือผู้ฝึกตนหญิงบนเรือแจวสองคนนั้นก็ช่าง ต่างก็ไม่มีใครสู้นางได้
ผลคือฉีจิ่งหลงที่นั่งอยู่ที่เดิมได้หลับตาลงแล้ว และเอ่ยขึ้นว่า ข้าจะฝึกตนแล้ว
ผ่านไปอีกประมาณสิบวัน ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ เฉินผิงอันพอจะสร้างความมั่นคงให้กับภาพปรากฎการณ์ของขอบเขตสามได้แล้ว
ไม่มีแสงกระบี่ทะยานดุจสายรุ้ง ไม่มีความเคลื่อนไหวอันน่าตกตะลึงดุจฟ้าร้องแผ่นดินสะเทือนใดๆ
ฝั่งตรงข้ามของสระบัว มีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งปรากฎกายอย่างเงียบเชียบ ตรงเอวของนางพกกระบี่
ฉีจิ่งหลงที่หลายวันมานี้นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวลืมตาขึ้น เฉินผิงอันที่เดิมทีกำลังคัดคัมภีร์อยู่ในห้องก็วางพู่กันลง เดินออกมาจากห้อง
ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า คารวะเซียนกระบี่ลี่
ลี่ไฉ่โบกมือ หรงช่างใช้กระบี่บินส่งข่าวมาบอกข้าแล้ว ข้าจึงพอจะรู้สถานการณ์โดยรวมคร่าวๆ แล้ว นังหนูที่ชื่อสุยจิ่งเฉิงคนนั้นล่ะ? สุดท้ายควรจะทำอย่างไร ควรจะขอบคุณพวกเจ้าหรือตีพวกเจ้า ข้าจะคุยกับนางให้รู้เรื่องก่อนค่อยว่ากัน
ลี่ไฉ่ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าวก็ข้ามผ่านฉีจิ่งหลงและม้านั่งตัวยาวมา เจ้าถึงขนาดกล้ายกสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาข่มขู่ข้า เจ้าฉีจิ่งหลงตัวดี
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว เมื่อใดที่ข้าได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ เซียนกระบี่ลี่ก็สามารถประลองกระบี่กับข้าตามกฎระเบียบได้แล้ว
ลี่ไฉ่ยิ้มเอ่ย เจ้ารอได้เลย แต่เจ้าเองก็ต้องรีบหน่อย เพราะอีกไม่นานข้าก็ต้องออกไปจากอุตรกุรุทวีปแล้ว เรื่องของการสังหารปีศาจบนหัวกำแพง ส่วนของหลี่อวี๋ ข้าจะช่วยชดเชยให้นางเอง
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า มีโอกาส
ลี่ไฉ่หันหน้ามาจุ๊ปากเอ่ย ต่างก็พูดกันว่าเจ้าเป็นคนพูดจาเหมือนหญิงแก่ที่ใช้ผ้ารัดพันเท้า ข่าวลือบนภูเขาเชื่อถือไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ? ตบะเช่นนี้ของเจ้า บวกกับนิสัยแบบนี้ หากอยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิงของข้าต้องสามารถช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักคนถัดไปได้แน่นอน
ฉีจิ่งหลงหมุนตัวหันไปมองเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ใกล้กับห้องแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ
ลี่ไฉ่หยุดเดิน มองคนหนุ่มชุดเขียวที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลคนนั้น เจ้าก็คือเฉินผิงอัน?
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย ผู้อาวุโสเซียนกระบี่รู้ชื่อข้าได้อย่างไร?
ลี่ไฉ่คิดแล้วก็ให้คำตอบที่ไร้มโนธรรมอย่างยิ่งว่า เดาเอา
เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามให้มากความ เพียงแค่เบี่ยงตัวเปิดทางให้นาง
ลี่ไฉ่เดินก้าวเข้าไปในห้อง
โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็สร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา
สุยจิ่งเฉิงกำลังนอนหลับสนิท
นางนั่งลงบนหัวเตียงเบาๆ มองใบหน้าที่ค่อนข้างจะแปลกตานั้น
ลี่ไฉ่หัวเราะ แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า หน้าตางดงามกว่าเดิมเยอะเลย
นางถอนหายใจหนึ่งที ก็แค่ต้องยากลำบากกว่าเดิม แม่หนูน้อย ไม่เสียแรงที่เจ้าคือลูกศิษย์ที่อาจารย์ชื่นชอบมากที่สุด ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกัน พวกเราน่ะ ต่างก็มีชะตาชีวิตรันทดไม่ต่างกันเลย
จากนั้นนางก็สบถด่าคล้ายจะขุ่นเคืองเล็กน้อย เจ้าเจียงซ่างเจินปากเสีย!
นางงอนิ้วสองข้างเคาะลงบนหน้าผากของสุยจิ่งเฉิงเบาๆ ขนาดปิดด่านแล้วก็ยังทำให้อาจารย์ขายหน้าได้!
สุยจิ่งเฉิงสะดุ้งตื่น นางพบว่าสตรีพกกระบี่คนหนึ่งกำลังจุดตะเกียง จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ หันหน้ามาทางตน
ลี่ไฉ่กล่าว ไม่ต้องกลัว เจ้าแค่เล่าสิ่งที่พบเจอมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ในตระกูลสุยแคว้นอู่หลิงให้ข้าฟังก็พอ
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา
ลี่ไฉ่ก็พาสุยจิ่งเฉิงที่มีสีหน้ามึนๆ งงๆ เดินออกมาจากห้อง
ลี่ไฉ่พูดกับคนหนุ่มชุดเขียวคนนั้นว่า เฉินผิงอัน หลังจากนี้สุยจิ่งเฉิงสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในแจกันสมบัติทวีปได้ต่อ แต่ก็ต้องมีขีดกำจัด ไม่ว่านางจะรับใครเป็นอาจารย์ เจ้าก็ดี คนอื่นก็ช่าง ล้วนเป็นได้แค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเท่านั้น ไม่สามารถใส่ชื่อลงไปในทำเนียบศาลบรรพจารย์ได้ แล้วเมื่อไหร่ที่สติปัญญาของสุยจิ่งเฉิงเปิดออกด้วยตัวเอง ขอแค่ถึงวันนั้น ตัวนางถึงจะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าจะถูกเขียนชื่อลงไปในศาลบรรพจารย์ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง หรือจะจุดธูปกราบไหว้ศาลบรรพจารย์ของสถานที่แห่งอื่น ช่วงเวลาระหว่างนี้ ข้าจะไม่บังคับควบคุมนาง เจ้าเองก็ไม่สามารถสร้างผลกระทบต่อจิตใจนางไปได้มากกว่านี้ นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นล้วนทำได้ ส่วนหรงช่างนั้น เขาจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของนาง จะติดตามพวกเจ้าไปแจกันสมบัติทวีปด้วย
เฉินผิงอันกำลังจะถามให้แน่ใจว่า คำว่าส่งผลกระทบทางจิตใจนั้นต้องเป็นแบบใดถึงจะถูก ‘บันทึกลงบัญชี’ อย่างเป็นรูปธรรม
ลี่ไฉ่ที่ไฟโทสะผุดขึ้นในใจเรียบร้อยกลับสะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ช่างเถิด สรุปก็คือขอแค่พวกเจ้าไม่พลิกผ้าห่มกัน อย่างอื่นจะทำอะไรก็ตามใจ
พูดจบลี่ไฉ่ก็ขี่กระบี่กลายร่างเป็นสายรุ้งจากไปไกลทันที ความเคลื่อนไหวนั้นไม่ใช่น้อยๆ ดูท่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะอารมณ์ไม่ค่อยดี
สองแก้มของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ นางก้มหน้าลง หมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในห้อง
ฉีจิ่งหลงกลั้นยิ้ม
เฉินผิงอันถอนหายใจเฮือก
—–