กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 556.1 อาจารย์และลูกศิษย์ฝึกหมัดล้วนน่าสงสาร
พอไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว หลี่เอ้อร์ก็แอบนินทาอยู่ในใจ นี่คือครั้งที่สองที่เมียตัวเองอนุญาตให้ตนดื่มเหล้าได้ตามสบาย คราวก่อนนั้นผ่านมานานหลายปีมากแล้ว
เห็นว่าเฉินผิงอันจงใจสะกดกลั้นปณิธานหมัดที่อยู่บนร่าง ดื่มเหล้าไปสองสามจอกได้ไม่นานก็หน้าแดงก่ำ หลี่เอ้อร์ก็พลันรู้สึกผิดปกติ ทำไม ดื่มเหล้าเมาพอหัวถึงหมอนก็หลับ เพราะคิดว่าหากได้กินหมัดน้อยลงหน่อยเท่าไรก็เท่านั้นหรือ? แต่นี่ไม่เหมือนเรื่องที่เฉินผิงอันจะทำได้เลย
แต่มีคนดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบกับตน หลี่เอ้อร์ก็ยังอารมณ์ดีมาก จึงยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งยาว คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะยกเท้า โน้มตัวไปข้างหน้าเตรียมจะคีบหน่อไม้ผัดเนื้อที่อยู่ห่างจากตนไปไกล สตรีแต่งงานแล้วก็หันมาถลึงตาใส่ สั่งสอนให้เขาเอามาดของผู้อาวุโสออกมาบ้าง ทำเอาหลี่เอ้อร์คิดไม่ตกอยู่นาน แล้วก็ได้แต่นั่งตัวตรงแต่โดยดี ก่อนหน้านี้ไม่เห็นนางจะคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้เลย บางครั้งตนจิบเหล้าอึกสองอึก เมียเขาก็ไม่เห็นจะสนใจ ครอบครัวของพวกเขาก็เป็นกันอย่างนี้มาโดยตลอด ตอนหลี่ไหวเป็นเด็กก็ชอบนั่งยองอยู่บนม้านั่งตัวยาว แทะขาไก่บ้าง ตีนหมูบ้าง ที่บ้านไม่เคยมีการอบรมสั่งสอนใดๆ อย่างข้อที่ว่าสตรีไม่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอาหาร ที่บ้านของหลี่เอ้อร์ก็ยิ่งไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้
หลี่เอ้อร์ชำเลืองตามองอาหารที่จงใจวางไว้ใกล้มือเฉินผิงอัน ผลกลับสังเกตเห็นว่าสตรีชำเลืองตามองตน หลี่เอ้อร์จึงเข้าใจว่าหน่อไม้ผัดเนื้อจานนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
อาหารคาวอาหารหนักทั้งหลายบนโต๊ะล้วนอยู่ใกล้เฉินผิงอัน ตรงหลี่เอ้อร์มีแต่ผัดผักจืดชืด หลี่เอ้อร์จิบเหล้าหนึ่งอึก แล้วก็หัวเราะ อันที่จริงภาพเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา
ช่วงเวลาหลายปีที่หลี่ไหวยังไม่ได้ออกจากบ้านไปขอศึกษาต่อ ในบ้านก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
หลี่ไหวเล่าเรียนหาวิชาความรู้อยู่ที่สำนักศึกษาต้าสุย พวกเขาสามคนย้ายมาอยู่ตีนเขายอดเขาสิงโตอุตรกุรุทวีป ต่อให้หลี่หลิ่วจะลงจากเขามาบ่อยๆ คนทั้งสามกินข้าวร่วมกัน แต่ไม่มีหลี่ไหวคอยก่อกวน หลี่เอ้อร์จึงมักจะรู้สึกว่าขาดรสชาติบางอย่างไป หลี่เอ้อร์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว นี่ไม่ได้เกี่ยวกับว่าหลี่หลิ่วผู้เป็นบุตรสาวเป็นใคร และตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หลี่เอ้อร์ก็มีข้อเรียกร้องต่อหลี่หลิ่วข้อเดียวเท่านั้น เรื่องข้างนอกก็จัดการข้างนอก อย่าเอาเข้ามาในบ้าน แน่นอนว่าลูกเขยสามารถเป็นข้อยกเว้นได้
เฉินผิงอันดื่มจนเมามายเสียเจ็ดแปดส่วน ไม่ถึงขั้นพูดจาลิ้นพันกัน เวลาเดินก็ไม่โซเซ เขาลุกจากโต๊ะแปดเซียนและเดินออกจากห้องหลักไปพักผ่อนที่ห้องของหลี่ไหว ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออกแล้วเอนตัวนอนลงเบาๆ หลับตาลง แต่แล้วจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เปลี่ยนทิศทางของปลายรองเท้าที่วางอยู่ข้างเตียงให้หันด้านแหลมเข้ามาในห้อง แล้วถึงได้นอนหลับต่ออย่างสงบ
ที่แท้ก็คิดถึงภูเขาลั่วพั่วบ้านเกิดและลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเองแล้ว
หลี่เอ้อร์ยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดจานชาม สตรียังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วอยู่ดีๆ นางก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “หลี่เอ้อร์ เจ้าคิดว่าเด็กอย่างเฉินผิงอันเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่เอ้อร์ยิ้มตอบ “ก็ดีน่ะสิ”
ไม่อย่างนั้นปีนั้นชายฉกรรจ์ก็ไม่มีทางคิดจะขายข้องราชามังกรและปลาจินหลี่สีทองให้เฉินผิงอันเป็นการส่วนตัว ด้วยเรื่องนี้เขายังถูกด่าที่ร้านยาตระกูลหยางไปรอบหนึ่ง
สตรีเอ่ยเบาๆ “เจ้าคิดว่าเด็กคนนี้จะหมายตาลูกสาวของพวกเราไหม?”
หลี่เอ้อร์หยุดมือที่ขยับง่วนลง กล่าวอย่างระอาใจว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องหมายตาไม่หมายตาอะไรแล้ว เฉินผิงอันมีคนที่ชอบอยู่นานแล้ว”
สตรีรู้สึกผิดหวังอย่างมาก “ลูกสาวของเราไม่มีโชคเสียเลย”
หลี่เอ้อร์เพียงยิ้มไม่ต่อคำ
สตรีตบโต๊ะ กล่าวอย่างมีโทสะ “ยิ้มอะไร หลี่หลิ่วใช่บุตรสาวแท้ๆ ของเจ้าหรือไม่? หรือว่าข้าแอบไปมีสัมพันธ์กับบุรุษคนอื่นมา?”
หลี่เอ้อร์ทำคอย่น พูดเสียงไม่พอใจ “พูดจาเหลวไหลอะไร”
สตรีบ่นอย่างขุ่นเคือง “ลูกสาวไม่มีไหวพริบ คนเป็นพ่อก็ไม่เอาไหน แล้วยังไม่ใส่ใจอีก ชาติก่อนลูกสาวพวกเราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กันแน่ ถึงได้มาเกิดในตระกูลที่ต้องมีชีวิตยากลำบากเช่นนี้ หรือว่าในอนาคตยังต้องให้หลี่ไหวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเมีย ถึงเวลานั้นแม้แต่พี่สาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ยังต้องดูแลไปชั่วชีวิตด้วย?”
หลี่เอ้อร์ถามอย่างใคร่รู้ “ต่งสุ่ยจิ่งกับหลินโส่วอีที่เรียนอยู่ในโรงเรียนกับหลี่ไหวต่างก็ชอบลูกสาวของพวกเรามาตั้งแต่เด็กไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนไม่เห็นว่าเจ้าจะสนใจขนาดนี้ ยังมีบัณฑิตที่คราวก่อนเดินทางมาร่วมกับพวกเราอีก เจ้าเองก็คิดว่าท่าทางเขาดูไม่เลวเหมือนกันไม่ใช่หรือไร?”
สตรีส่ายหน้า “นั่นมันไม่เหมือนกัน ข้ามองไปมองมาก็ยังรู้สึกว่าเฉินผิงอันเหมือนอาจารย์ฉีของโรงเรียนมากที่สุด ข้าอธิบายเหตุผลไม่ถูก แต่ข้ามองคนแม่นยำมากมาโดยตลอด”
หลี่เอ้อร์จึงไม่พูดอะไรอีก เขาพยักหน้ารับ แล้วเก็บชามเก็บตะเกียบต่ออีกครั้ง
คราวก่อนที่เมียของเขาให้เขาดื่มเหล้าได้อย่างเต็มที่ก็คือครั้งที่อาจารย์ฉีแวะมาเยี่ยมที่บ้าน
สตรีแต่งงานแล้วถามหยั่งเชิง “ลูกสาวของพวกเราไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ หรือ?”
หลี่เอ้อร์จึงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย การป้อนหมัดต่อจากนี้ เขาจะทำให้เฉินผิงอันกินอิ่มจนท้องแตกตาย คาดว่าต่อให้มีโอกาสก็คงไม่เหลือโอกาสแล้วกระมัง?
วันต่อมา ฟ้าเริ่มสางเฉินผิงอันก็ตื่นแล้ว เขาช่วยหาบน้ำกลับมาให้ ตรงบ่อน้ำแห่งนั้น เขาเจอพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงสอบถาม ก็เลยบอกไปว่าเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลหลี่
จากนั้นหลี่เอ้อร์ก็พาเฉินผิงอันออกจากบ้านไปที่ยอดเขาสิงโต เขาบอกสตรีว่าจะขึ้นเขาไปเดินเล่น สตรีหน้าบานเป็นกระด้ง ยิ้มจนปากหุบไม่ลง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร หลี่เอ้อร์จึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางยังมีเรื่องอะไรให้ดีดลูกคิดได้อีก
หลี่เอ้อร์พาเฉินผิงอันตรงไปที่ศาลบรรพจารย์ของยอดเขาสิงโต
เดินคุยเล่นกันไปตลอดทาง เกี่ยวกับเรื่องที่ทุกวันนี้เจิ้งต้าเฟิงทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว หลี่เอ้อร์เอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันหนึ่งคำ
เฉินผิงอันบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องขอบคุณ
แต่หลี่เอ้อร์กลับบอกว่าด้วยนิสัยของเจิ้งต้าเฟิงนั้น หากเป็นในอดีต กลายเป็นคนไร้ค่าอยู่ต่างถิ่น จะต้องไม่ยอมกลับมาที่ร้านตระกูลหยางอีกตลอดชีวิตแน่นอน คงจะใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ และชีวิตนี้ของเขาก็ถือว่าจบสิ้นแล้วจริงๆ ทำตัวไม่เอาไหนมาตลอดชีวิต สุดท้ายอาจารย์ไม่เคยมองเจิ้งต้าเฟิงเป็นลูกศิษย์อย่างเต็มๆ ตาสักครั้ง เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่กล้าเห็นตัวเองเป็นลูกศิษย์ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ตกอับก็ส่วนตกอับ แต่อาจารย์และศิษย์กลับกลายเป็นอาจารย์และศิษย์จริงๆ ซึ่งแตกต่างไปจากในอดีตอยู่มาก
อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกมาโดยตลอดว่าท่านอาหลี่ผู้นี้คือคนประเภทที่ใช้ชีวิตได้อย่างเข้าใจมากที่สุด
ตอนนี้มาลองมองดูอีกครั้งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หวงไฉ่เจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตคือเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีมาดของเทพเซียนคนหนึ่ง
ในบรรดาผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของอุตรกุรุทวีป หวงไฉ่คือคนที่ขึ้นชื่อในด้านการต่อสู้
หลี่เอ้อร์ไม่มีการทักทายปราศรัยตามมารยาทอะไร เขาบอกให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฒ่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้ปิดภูเขาโดยตรง
หวงไฉ่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ออกคำสั่งทันที บอกให้ยอดเขาสิงโตปิดภูเขา อีกทั้งยังไม่บอกสักคำว่าจะเปิดภูเขาเมื่อไหร่
สำหรับภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งแล้ว การปิดภูเขาคือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะมีศัตรูตัวฉกาจมารออยู่เบื้องหน้า ก็เป็นเพราะบรรพจารย์ปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขต
หลี่เอ้อร์ยังมอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเจ้าขุนเขาผู้เฒ่าของยอดเขาสิงโตอย่างเคารพนอบน้อม บอกให้หวงไฉ่ไปหายามาตามที่เขียนไว้บนกระดาน
หวงไฉ่ยังคงไม่ถามอะไรมากความสักคำเดียว
เพียงแต่ว่าสายตาที่มองคนหนุ่มจากต่างถิ่นผู้นั้นออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันที่อยู่ในร้านตรงตีนเขาเป็นดั่งเงาดำใต้โคมไฟ เวลานี้เมื่อได้พูดคุยกับคนอื่น สติปัญญาของเขาก็เปิดโล่งทันที แต่หลี่เอ้อร์ก็ไม่ได้อธิบายอะไร
ทุกอย่างรอให้หลี่หลิ่วกลับมายอดเขาสิงโตก่อนค่อยว่ากัน
หลี่เอ้อร์พาเฉินผิงอันไปยังจวนเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาของยอดเขาสิงโต สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ฝึกตนของบรรพจารย์บุกเบิกยอดเขาสิงโตในอดีต หลังจากที่เขาลาจากโลกนี้ไป จวนหลังนี้ก็ไม่เคยเปิดออกอีก พอหลี่หลิ่วหวนกลับคืนมาที่ยอดเขาสิงโตอีกครั้ง ถึงได้เปิดประตูจวน ด้านในคือฟ้าดินที่แตกต่างไปจากข้างนอก ต่อให้เป็นหวงไฉ่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเยียบย่างเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว เฉินผิงอันเดินเข้าไปข้างใน แล้วก็สังเกตเห็นว่ามีทางสายน้ำในถ้ำอยู่เส้นหนึ่ง ผ่านตราผนึกภูเขาสายน้ำของจวนแห่งนั้นมาก็คือท่าเรือแห่งหนึ่ง กระแสน้ำไหลเป็นสีเขียวมรกต มีเรือลำเล็กจอดอยู่ริมชายฝั่ง หลี่เอ้อร์ถ่อเรือให้ล่องไปเบื้องหน้าด้วยตัวเอง ในถ้ำแห่งนั้นทั้งไม่มีแสงตะวันจันทรา แล้วก็ไม่มีหินเรืองแสง หรือแสงจากเปลวเทียนของตระกูลเซียนใดๆ แต่กลับยังสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
หลังจากเรือลำน้อยล่องออกไปได้สิบกว่าลี้แล้ว การมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง ห่างออกไปไกลมีกระจกประหลาดบานหนึ่งที่ใหญ่ราวกับทะเลสาบ ต่ำกว่าพื้นผิวทะเลสาบลงไปเล็กน้อยมีกระแสน้ำจากสี่ด้านแปดทิศไหลมารวมกันด้านใน พอมารวมตัวกันแล้วก็หายไปไม่เหลือร่องรอยให้เห็นอีก
หลี่เอ้อร์อธิบาย “กระจกบานนี้คือทางเข้าถ้ำสวรรค์โบราณแห่งหนึ่ง มีคนไม่ค่อยชอบถ้ำสวรรค์แห่งนั้นก็เลยสร้างค่ายกลแห่งนี้เอาไว้ ใช้น้ำปริมาณมหาศาลราดรดมันตลอดเวลา กระจกบานนี้ค่อนข้างทนทาน หมัดขอบเขตสิบที่ ‘พละกำลังเปี่ยมล้น’ ทั่วไปก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ ต่อให้ข้าจะเคยใช้ ‘คืนสู่ความจริง’ สิบแปดหมัดต่อยให้มันแตกกระจายได้ครู่หนึ่ง มันก็ยังกลับคืนมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม ว่ากันว่ามีเพียง ‘เทพมาเยือน’ ด่านสุดท้ายของขอบเขตสิบเท่านั้นที่ถึงจะสามารถทำลายผิวหน้ากระจกได้อย่างสมบูรณ์ ข้ายังต้องขัดเกลาปณิธานหมัดอีกนานถึงจะสามารถเลื่อนสู่ขั้นสูงสุดของ ‘เทพมาเยือน’ ได้ หลังจากนั้นมาจึงจะถือว่าฝ่าเส้นทางหัวขาดของวิถีวรยุทธ เดินไปบนเส้นทางขึ้นสวรรค์ตามความหมายที่แท้จริงได้”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวถามไปว่า “สมบัติล้ำค่าของตระกูลเซียนแบบนี้ หากต่อยให้แหลกละเอียดคงน่าเสียดายแย่”
ส่วนสามขอบเขตของขอบเขตสิบนั้น เคยได้ยินมาแล้วก็แค่จดจำไว้เท่านั้น
หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “เมื่อถึงเวลาที่สามารถใช้สองหมัดต่อยให้กระจกแตกได้ เจ้าถึงจะมีคุณสมบัติพูดว่าน่าเสียดายหรือไม่น่าเสียดาย”
จนกระทั่งบัดนี้เฉินผิงอันถึงได้รู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกาย ไม่ใช่หลี่เอ้อร์อีกต่อไป
แต่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง
ข้างกายไม่มีเงาร่างของหลี่เอ้อร์แล้ว เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดี แล้วก็จริงดังคาด ขาข้างหนึ่งฟาดมาที่กลางหลังเขาอย่างไร้ลางบอกเหตุ
ร่างของเฉินผิงเหมือนเหมือนจะงองุ้มลงไป ปณิธานหมัดถูกเก็บเอามา เขาไม่สนใจมาดอะไรอีกแล้ว พยายามจะกระโจนออกไปข้างหน้า คาดไม่ถึงว่ายังคงถูกเท้านั้นเตะเข้าที่เอวด้านหลังอย่างแรง เสียงกร๊อบดังเหมือนเสียงประทัดแตกเป็นระลอก เฉินผิงอันที่สามารถมองผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองทั่วไปเป็นรูปปั้นดินกระดาษเปียกได้ กลับถูกเท้านั้นเตะจนร่างเหมือนสายธนูที่ถูกง้าวจนสุด หลังจากเสียงปังเสียงหนึ่งผ่านพ้นไป ตามหลักแล้วเฉินผิงอันควรจะกระเด็นไปหลายสิบจั้ง แต่หลี่เอ้อร์ออกหมัดได้เร็วกว่าร่างที่พุ่งไปของเฉินผิงอัน เขามายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน หนึ่งหมัดแสกผ่านหน้ากระแทกลงบนหน้าอกของเฉินผิงอันที่ร่างหงายผลึ่งไปด้านหลัง
หมัดนี้ทำเอาหลังของเฉินผิงอันร่วงแนบติดพื้นทันที
หลี่เอ้อร์ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไป บิดข้อเท้าเตะให้เฉินผิงอันที่อยู่บนหลังเท้าตนลอยเด้งขึ้นมาบนพื้นกระจก
เฉินผิงอันที่รู้สึกเพียงว่าปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นใกล้จะแหลกสลายเต็มทีกระแทกลงบนผิวกระจกอย่างแรง ร่างกระเด้งกระดอนอยู่หลายครั้ง เขาพลันใช้ฝ่ามือตบผิวกระจกหมุนตัวลุกขึ้นยืน แต่กระนั้นก็ยังกระอักเลือดออกมาคำใหญ่อย่างห้ามไม่ได้
หลี่เอ้อร์ยังคงยืนอยู่บนเรือลำน้อย คนกับเรือต่างก็ไม่ขยับเขยื้อน ชายฉกรรจ์ผู้นี้เอ่ยเนิบช้าว่า “ระวังหน่อย ข้าคนนี้ออกหมัดไม่รู้จักหนักเบา ปีนั้นเป็นยอดเขาของขอบเขตเก้าเหมือนกับซ่งจ่างจิ้ง ศึกที่ถ้ำสวรรค์หลีจูคราวนั้น ต่อสู้อย่างสะใจไปหน่อย จึงเกือบจะต่อยเขาตายโดยไม่ทันระวัง”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เห็นว่าหลี่เอ้อร์ไม่มีท่าทีจะลงมือก็ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ปลายเท้าบิดหมุนลงบนผิวกระจกเบาๆ แข็งแกร่งทนทานผิดปกติจริงๆ เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนเดินบนทางดินโคลนในตรอกหนีผิงมาจนชินแล้วได้ไปเดินอยู่บนถนนใหญ่หินเขียวของถนนฝูลวี่ตรอกเถาเย่ นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าเจอกับหมัดหนึ่งของหลี่เอ้อร์คือความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง จากนั้นก็ร่วงกระแทกลงบนผิวกระจก นั่นก็คือการราดน้ำมันลงบนกองไฟ เมื่อเทียบกับกระแทกลงบนผนังบนพื้นของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้วยังทรมานกว่าเสียอีก
ร่างของเฉินผิงอันโงนเงนไปมา เขายิ้มเจื่อนถามว่า “ท่านอาหลี่ จะออกหมัดด้วยขอบเขตเก้าตลอดเลยหรือ?”
หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่”
ไม่รอให้เฉินผิงอันรู้สึกดีขึ้น หลี่เอ้อร์ก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ยังมีขอบเขตสิบด้วย”
อาศัยที่เจ้าเด็กนี่เรียกเขาว่าท่านอาหลี่ ก็ไม่ควรให้เฉินผิงอันเรียกอย่างเสียเปล่า
หลี่เอ้อร์คิดว่าเป็นคนต้องมีคุณธรรมสักหน่อย
……
บนโต๊ะสุราหลังอาหารมื้อกลางวัน ช่วงที่ผ่านมานี้บนภูเขาของอุตรกุรุทวีปมีเรื่องน่าสนใจใหญ่เทียมฟ้าอีกเรื่องหนึ่งให้พูดถึงอีกแล้ว
ระหว่างที่เดินทางกลับสำนัก เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักชิงเหลียงอยู่ดีๆ ก็เกิดความขัดแย้งใหญ่เทียมฟ้ากับสวีเซวี่ยนคนลุ่มหลงในรักผู้นั้น
เดิมทีควรเป็นชายหญิงคู่รักเทพเซียนที่ฟ้าดินรังสรรค์ ทว่าพวกเขากลับไม่เพียงแต่ไม่อาจครองรักกันด้วยความความจริงใจได้ ยังไม่รู้ว่าสวีเซวี่ยนไปพูดอะไร เฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงได้ลงมืออย่างรุนแรง หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายกำหนดอาณาเขตไว้บนป่าเขาห่างไกลแห่งหนึ่งของราชวงศ์ฮวาหลิง เฮ้อเสี่ยวเหลียงกับสวีเซวี่ยนก็ต่อสู้กันจนภูเขาสายน้ำในรัศมีร้อยลี้เปลี่ยนสี ปราณวิญญาณพันลี้กระจัดกระจายวุ่นวาย
สวีเซวี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องเผ่นหนีไป เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่เพียงแต่สังหารสาวใช้ประจำกายสองคนของเขาจนผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองสองคนมอดม้วย นางยังแย่งชิงดาบและกระบี่สองเล่มอย่างไฮจู ฝูเหอมาแล้วเอากลับไปที่สำนักชิงเหลียงด้วย จากนั้นก็โยนสมบัติล้ำค่าสองชิ้นนี้ไว้นอกภูเขา เจ้าสำนักหญิงผู้นี้ป่าวประกาศออกไปว่าหากสวีเซวี่ยนมีปัญญาก็มาเอาคืนไปเอง แต่หากไม่มีความสามารถ และยังมีความกล้าไม่มากพอ ก็สามารถให้ป๋ายฉางผู้เป็นอาจารย์มาเอาดาบและกระบี่กลับคืนไปได้
หลังจากสวีเซวี่ยนกลับไปถึงภูเขาแล้วก็ปิดด่านรักษาอาการบาดเจ็บ เล่าลือกันว่าเรื่องที่เขาจะได้ฝ่าทะลุขอบเขตเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอนนั้น ตอนนี้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอไปอีกสิบปี เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยในเรื่องของขอบเขต หากหลิวจิ่งหลงฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ อีกทั้งยังสามารถต้านรับการถามกระบี่สามครั้งที่มาจากไฉ่ลี่และต่งจู้เป็นหนึ่งในนั้นได้ ตบะขอบเขตของสวีเซวี่ยนจะไม่เพียงแต่ช้ากว่าหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยสิบปี ในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนของอุตรกุรุทวีป สวีเซวี่ยนที่เป็นรองแค่หลินซู่ก็อาจจะต้องสลับเปลี่ยนเก้าอี้นั่งกับหลิวจิ่งหลง
ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่งของทางแถบทิศเหนือไม่ได้นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แต่ก็ไม่ได้อาศัยสถานะของเซียนกระบี่และขอบเขตเซียนเหรินไปซักไซ้เอาความผิดจากสำนักชิงเหลียงและเฮ้อเสี่ยวเหลียง ป๋ายฉางเอ่ยเพียงแค่ประโยคเดียวว่า หากเขาป๋ายฉางยังอยู่ที่อุตรกุรุทวีป เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน
สองสำนักที่เดิมทีควรได้แต่งงานสามสัมพันธ์กันจึงผูกปมอาฆาตแค้นกันนับแต่นี้