กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 558.1 เหล้าหนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน
เด็กสาวและสตรีโตเต็มวัยกลุ่มหนึ่งกำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำ จุดที่ภูเขาและสายน้ำเชื่อมต่อกันมีหน่ออ่อนกล้วยไม้แช่อยู่ในสายน้ำ ต้นสนต้นป่ายบนภูเขาเขียวขจี
สตรีออกเรือนแล้วที่เฉินผิงอันเรียกว่าท่านอาหลิ่วกับบุตรสาวหลี่หลิ่วนำเสื้อผ้ามาปูซักอยู่บนกระดานหินเขียวริมน้ำด้วยกัน
เมืองเล็กตรงตีนเขาของยอดเขาสิงโตมีคนอยู่อาศัยสี่ห้าร้อยครัวเรือน จำนวนคนไม่น้อย มองดูเหมือนว่าจะอยู่ติดกับยอดเขาสิงโต แต่ในความเป็นจริงแล้วเส้นหนึ่งที่กั้นขวางกลับทำให้ต่างกันราวฟ้ากับดิน ตลอดเวลานับร้อยนับพันปีพวกเขาแทบจะไม่เคยไปมาหาสู่กัน และก็กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เส้นทางการเดินขึ้นเขาของยอดเขาสิงโตอยู่ห่างจากเมืองเล็กค่อนข้างไกล ต่อให้เป็นเด็กเล็กซุกซนที่ชอบเล่นสนุกแค่ไหน อย่างมากสุดวิ่งมาถึงหน้าประตูภูเขาก็หยุดเดินไม่ได้วิ่งไปต่อแล้ว มีใครกล้าบุกไปรบกวนการฝึกตนของเซียนบนภูเขาบ้างเล่า หลังจบเรื่องจะต้องถูกผู้ปกครองหิ้วตัวกลับมา จับนอนคว่ำพาดม้านั่งยาว ตีจนก้นลายร้องไห้จ้า
ในเมืองหลวงคนที่อยู่มาจนผู้คนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี หากไม่ใช่คนที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการของอำเภอ ไปหาเงินก้อนใหญ่อยู่นอกบ้าน กลับบ้านมาก็สร้างเรือนหลังใหญ่ ไม่ก็เป็นในครอบครัวที่เด็กรุ่นหลังในตระกูลเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต หรือไม่ก็เป็นหญิงหม้ายหน้าตาดี นอกจากนี้ก็คือคนที่เปิดร้านทำการค้าอย่างท่านอาหลิ่ว ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด คนที่ปากร้ายไม่ยอมคนส่วนใหญ่ก็มักไม่มีใครยอมปล่อยไปง่ายๆ ไปๆ มาๆ ทุกคนจึงรู้จักสตรีแซ่หลิ่ว สตรีออกเรือนแล้วของเมืองเล็กแห่งนี้มักจะชอบหัวเราะเยาะสตรีแซ่หลิ่วคนนี้ เกี่ยวกับเรื่องที่นางบอกว่าลูกชายของตนเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาใหญ่นั้นก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อ แม้แต่เรื่องที่ว่าสตรีได้ให้กำเนิดลูกชายที่สืบพันธ์จริงได้หรือไม่ ก็ยังไม่มีใครยินดีจะเชื่อ ลูกสาวหน้าตาสวยงามแล้วอย่างไร พอแต่งงานออกเรือนก็ยังต้องเป็นน้ำที่สาดออกไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นมีลูกสาวหน้าตาดีขนาดนี้ ควันเขียวก็คงผุดขึ้นมาบนหลุมศพบรรพบุรุษแล้ว ว่ากันว่าไปเป็นสาวใช้ให้เทพเซียนผู้เฒ่าบางคนบนยอดเขาสิงโต หากมีบุตรชายที่มีหวังว่าจะมียศถาชื่อเสียงอีกคน ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าล้วนถูกนางครอบครองไปคนเดียว พวกนางจะมีชีวิตอยู่กันอย่างไร? ในใจจะไม่อัดอั้นแย่หรือ?
ดังนั้นพวกนางจึงไม่คิดว่าสตรีแซ่หลิ่วจะหาลูกเขยที่สูงส่งเกินจะปีนป่ายได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็แต่งกายไม่เฉิดฉัน คำพูดคำจายามที่เอ่ยกับผู้อื่นก็ไม่มีราศีของคนมีเงินหรือคนที่เคยเล่าเรียนหนังสือมาก่อน เวลาที่พูดคุยกับคนอื่น มองคนต้องมองที่ดวงตา คนที่สายตาล่อกแล่กความคิดชั่วร้ายย่อมมีมาก หลักการเหตุผลตื้นเขินข้อนี้ พวกชาวบ้านร้านตลาดให้ความสำคัญเป็นที่สุด
ดังนั้นลูกเขยที่ร้านตระกูลหลี่เลือกมาคงไม่ได้ดีจนถึงขั้นทำให้เพื่อนบ้านอิจฉาตาร้อน แต่ก็จำต้องยอมรับว่า คนหนุ่มผู้นี้นิสัยใจคอไม่เลว เหมาะจะเป็นคู่ครองที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างยาวนานได้
ลูกเขยของบ้านอื่นไม่ถือว่าดีมากนัก แต่ก็ไม่ถือว่าแย่เกินไป ในใจของเหล่าสตรีทั้งหลายจึงรู้สึกต่างไปจากเดิม
หลี่หลิ่วฟังมารดาที่พูดคุยกับคนอื่นด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย นางที่ใช้ไม้ทุบผ้าก็ครุ่นคิดเรื่องอื่นไปด้วย คิดจากเรื่องเล็กไปเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กเกิดขึ้นในร้านและเมืองเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ก็ใหญ่จนไม่ได้อยู่แค่ในใต้หล้าไพศาล
ชาตินี้ภพนี้นางหล่นลงมาในถ้ำสวรรค์หลีจู เดิมทีก็คือการจัดการวางแผนอย่างตั้งใจของทางฝั่งร้านตระกูลหยางอยู่แล้ว นางรู้ว่าครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอยู่ใกล้ร้านตระกูลหยางขนาดนั้น และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ ปีนั้นนางกับหลี่เอ้อร์ผู้เป็นบิดาไปที่ร้านแห่งนั้นด้วยกัน หลี่เอ้อร์ทำหน้าที่เป็นลูกจ้างอยู่ในร้านด้านหน้า ส่วนนางไปที่เรือนด้านหลัง หยางเหล่าโถวพูดจารุนแรงกับนางเป็นครั้งแรก บอกว่าหากนางยังฝึกตนด้วยวิธีเดิมๆ เปลี่ยนสถานะและเนื้อหนังมังสาครั้งแล้วครั้งเล่า เดินเร็วขึ้นเขา เพียงแค่ไปเดินวนอยู่บนยอดเขา แล้วสะสมไปอีกสิบชีวิต ผ่านไปอีกพันปี ก็ยังคงเป็นแค่พวกครึ่งๆ กลางๆ แม้แต่คนก็ยังไม่ใช่ ยังคงติดค้างอยู่ที่คอขวดของขอบเขตเซียนเหรินตลอดเวลา ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้ชีวิตนี้ฝึกตนได้ขอบเขตบินทะยานแล้วจะอย่างไร? หมัดจะใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว? ถอยไปพูดอีกก้าว สถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อมีอริยะมากมายขนาดนั้น จะปล่อยให้เจ้าหลี่หลิ่วได้มีโอกาสปลดปล่อยฝีมือจริงหรือ? อย่างมากสุดหลังจากตายไปหนึ่งครั้งก็คือตายอีกครั้ง ความเป็นความตายที่วนเวียนเป็นวงจรเช่นนี้ไม่ได้มีความหมายมากนัก มีเพียงทุกครั้งที่ตายสามารถสะสมคุณความชอบได้หนึ่งครั้ง หรือไม่ก็ทำลายกฎเกณฑ์ ให้ศาลบุ๋นจดลงบัญชีไว้สักครั้งเท่านั้นที่ยังพอจะมีความหมาย
ตลอดหลายปีที่หลี่หลิ่วอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู นางไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยนัก ความทรงจำที่นางมอบให้แก่เพื่อนบ้านทางฝั่งตะวันตกของเมืองเล็ก นอกจากหน้าตางดงามเหมือนมารดานาง แต่นิสัยเหมือนหลี่เอ้อร์แล้ว ก็คือมือเท้าคล่องแคล่วว่องไว พูดไม่มาก ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนางที่มีค่าพอให้เอามาพูดถึง ทั้งไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันที่สนิทกันมากเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่มีจุดที่พวกผู้ใหญ่ต้องชี้แนะสั่งสอน
แต่หลี่หลิ่วมักจะไปรับหลี่ไหวที่โรงเรียนเป็นประจำ ทว่านางกลับไม่เคยพูดกับอาจารย์ฉีท่านนั้น
ตอนที่อาจารย์ฉีสอนหนังสือ แล้วพอเห็นเด็กสาวที่อยู่นอกห้องเรียนก็จะมองแวบหนึ่ง อย่างมากสุดก็แค่พยักหน้าเบาๆ พร้อมยิ้มให้เท่านั้น
ราวกับว่าเป็นเพียงแค่การปฏิบัติตามมารยาท หรือไม่ก็ถือว่ามองนางเป็นคนแล้ว?
หลี่หลิ่วเห็นเรื่องราวประหลาดบนโลกมานับร้อยนับพันรูปแบบ บวกกับรากฐานและสถานะของนางจึงทำให้เมินเฉยต่อโลกมนุษย์มานานแล้ว แรกเริ่มก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่มองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาท่านนี้เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อทั่วไปที่มาเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก
หลี่หลิ่วเคยถามร้านตระกูลหยางว่าอาจารย์สอนหนังสือที่ตลอดทั้งปีเอาแต่สอนหลักการเหตุผลให้กับเด็กเล็กในหมู่บ้านชนบทรู้ประวัติความเป็นมาของตนหรือไม่ ปีนั้นหยางเหล่าโถวไม่ได้ให้คำตอบ
ครั้งเดียวที่อาจารย์ฉีพูดคุยกับนางก็คือ คราวนั้นเขาที่มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน มาดื่มเหล้ากับหลี่เอ้อร์บิดาของนาง
ตอนที่นางหยิบกับแกล้มง่ายๆ สองสามจานมาวางไว้บนโต๊ะ อาจารย์ฉียิ้มพูดกับนางว่า ‘หลี่หลิ่ว พวกเราเกิดมาท่ามกลางฟ้าดิน อันที่จริงไม่ได้มีความต่างกันมากนัก ก็แค่การเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อครั้งหนึ่งที่มองดูเหมือนไม่มีโอกาสกลับคืนสู่บ้านเกิดก็เท่านั้น สุดท้ายสิ่งที่ตัดสินว่าพวกเราเป็นใคร ไม่ใช่เนื้อหนังมังสาที่ทรุดโทรมลงทุกวัน มีเพียงว่าพวกเราคิดอย่างไร ถึงขั้นที่ไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกเราต้องการอะไร ต้องการเดินทางไปไกลแค่ไหน แต่เป็นเพียงแค่วิชาความรู้บนคำสองคำว่า ‘อย่างไร’ เท่านั้น ชีวิตคนนั้นสั้นนัก ต้องมีจุดหยุดเดินที่แม้จะยังมีเรี่ยวแรงแต่ก็ไม่อาจช่วยให้ข้าเดินหน้าได้ต่อ ถึงเวลานั้นพอมองย้อนกลับมา บนเส้นทางที่เดินมา แต่ละก้าวก็คืออย่างไรที่เดินออกมาเป็นอะไร’
จากนั้นอาจารย์ฉีก็หยิบถ้วยขาวใบใหญ่บรรจุเหล้าชั้นเลวที่หมักเองขึ้นมาเบาๆ ‘ต้องเคารพพวกเจ้า เพราะมีพวกเจ้า ถึงได้มีพวกเรา มีฟ้าดินที่กว้างใหญ่แห่งนี้ และยิ่งมีข้าฉีจิ้งชุนที่ได้มาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่’
อาจารย์ฉีกระดกเหล้าดื่มรวดเดียวหมด
หลี่หลิ่วไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดื่มตามไปหนึ่งถ้วย
ตอนนั้นสตรีออกเรือนแล้วที่อยู่ในห้องส่งเสียงกรนดังสนั่นราวเสียงฟ้าผ่า เด็กที่ชื่อหลี่ไหวส่งเสียงละเมอเบาๆ บางทีขณะที่กำลังฝันคงยังกังวลว่าวันนี้มัวแต่เล่น ไม่ทันได้ทำการบ้าน พรุ่งนี้ไปถึงโรงเรียนแล้วควรจะหาข้ออ้างอย่างไรจะได้ผ่านด่านอาจารย์ที่เข้มงวดไปได้
เดินกลับร้านไปพร้อมกับท่านแม่ หลี่หลิ่วคล้องตะกร้าผ้าไว้ที่แขน ระหว่างทางมีบุรุษผิวปากแซว
สตรีบ่นพึมพำว่าหลี่ไหวเจ้าเด็กใจดำ นานขนาดนี้แล้วไม่รู้จักส่งจดหมายกลับมาบ้านเสียบ้าง หรือมัวเล่นสนุกอยู่ข้างนอกเลยลืมแม่ไปแล้ว แต่ก็กังวลอีกว่าหลี่ไหวอยู่ข้างนอกเพียงลำพังจะกินไม่อิ่มสวมเสื้อผ้าไม่อุ่น ถูกคนรังแก คนข้างนอกไม่ใช่แค่ทะเลาะกันด้วยปากแล้วจบเรื่อง หากหลี่ไหวต้องเสียเปรียบ อีกทั้งข้างกายยังไม่มีคนคอยช่วยเหลือ ควรจะทำอย่างไร
หลี่หลิ่วจึงเอ่ยคำพูดปลอบใจมารดา สตรีจึงหันหน้ามาพูดว่านางนั่นแหละที่ใจจืดใจดำที่สุด หลี่ไหวน่ะอยู่ไกลบ้าน จึงไม่ได้ตอบแทนกตัญญูต่อพ่อแม่ เจ้าที่เป็นพี่สาวกลับดีนัก ไปเสวยสุขอยู่บนภูเขาคนเดียว ปล่อยให้พ่อแม่ต้องหาเงินอย่างยากลำบากอยู่ที่ตีนเขาทุกวัน
หลี่หลิ่วรู้สึกจนใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเรื่องประเภทนี้ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่เชี่ยวชาญมากกว่า พูดแค่สองสามคำก็ทำให้คนสบายใจได้แล้ว
……
บนผิวกระจกถ้ำสถิตยอดเขาสิงโต
วันนี้หลี่เอ้อร์ไม่ได้รีบร้อนให้เฉินผิงอันออกหมัด แต่กลับพูดถึงเรื่องสัจธรรมแห่งหมัดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
หลี่เอ้อร์พูดเข้าประเด็นว่า “พวกเราที่เป็นคนฝึกวรยุทธ ใช้ศิลปะการต่อสู้วิชาการโจมตี สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สิ่งที่ต้องบำรุงด้วยความอบอุ่นก็คือพลังในการสังหารและทำลายศัตรู เด็กเล็กๆ ในหมู่ชาวบ้านคงหวังให้ตัวเองปล่อยหมัดไปแล้วต่อยให้กำแพงพังอิฐแตก ทำให้คนตาย นี่เกิดจากนิสัยตามธรรมชาติ ดังนั้นข้าหลี่เอ้อร์จึงไม่เคยเชื่อในคำว่าเดิมมนุษย์นั้นมีสันดานดีงาม เพียงแต่ว่าลัทธิขงจื๊อสั่งสอนได้ดี ทำให้คนเชื่อได้ มักจะรู้สึกว่าการเป็นคนดีที่ดีอย่างไรก็ยังแยกไม่ออก ก็คือเรื่องดี ส่วนจะทำหรือไม่ทำก็ยังไม่ต้องพูดถึง นี่จึงเป็นเหตุให้ยามที่ผู้ฝึกยุทธอาศัยอำนาจรังแกคนอื่น ยามที่คนชั่วทำความเลว ส่วนมากก็รู้ดีว่าตัวเองทำเรื่องที่ผิด ซึ่งนี่ก็คือคุณความชอบของบัณฑิต”
หลี่เอ้อร์หันมาส่งยิ้มกว้างให้เฉินผิงอัน “อย่าเห็นว่าข้าไม่เคยเรียนหนังสือแล้วจะต้องเป็นบุรุษหยาบกระด้างที่ทำได้แค่เข้าไร่ไถนา หลักการเหตุผล ข้ายังพอจะมีอยู่บ้างสองสามข้อ เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยพูด แมวในหมู่บ้านที่ร้องเก่ง มักจะจับหนูไม่เก่ง เจิ้งต้าเฟิงศิษย์น้องของข้าทำไม่ได้ เพราะวันๆ เอาแต่พูดจู้จี้จุกจิกราวกับสตรี ช่วยไม่ได้ คนเราขอแค่ฉลาดสักหน่อยก็มักอดที่จะคิดมากพูดมากไม่ได้ อย่าเห็นว่าเจิ้งต้าเฟิงทำตัวไม่เป็นการเป็นงาน แต่อันที่จริงแล้วความรู้ของเขาไม่น้อย น่าเสียดายที่ซับซ้อนเกินไป ไม่บริสุทธิ์มากพอ หมัดที่เปื้อนน้ำโคลนย่อมเร็วไม่ได้”
“ได้สอนวิชาหมัดอย่างที่หาได้ยาก วันนี้จึงพูดกับเจ้าเฉินผิงอันมากหน่อย แค่ครั้งนี้เท่านั้น”
หลี่เอ้อร์มองเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล หลี่เอ้อร์ยกปลายเท้าขึ้นเสียดสีกับพื้นเบาๆ “เจ้าและข้ายืนอยู่กันคนละจุด เจ้าเผชิญหน้ากับข้าหลี่เอ้อร์ ต่อให้จะใช้ขอบเขตหกมาคุมเชิงกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบก็ยังต้องมีความคิดว่าจะหยัดยืนอยู่ในจุดที่ไม่พ่ายแพ้แม้ขอบเขตจะแตกต่างกันมาก ไม่ได้หมายความว่าแพ้ให้ข้าไม่ได้ แต่เป็นเพราะยามที่คุมเชิงกับศัตรูที่แข็งแกร่ง เรือนกายและหมัดยังไม่ขยับแต่จิตใจกลับวุ่นวายเสียก่อนแล้ว ยังไม่ทันต่อสู้ก็แพ้แล้ว นั่นต่างหากคือการรนหาที่ตาย”
มองดูเหมือนว่าหลี่เอ้อร์ยังไม่ขยับเขยื้อน
แต่เฉินผิงอันกลับไถลตัวออกไปในแนวขวางไกลหลายจั้งแล้ว
กระแสน้ำรอบด้านของผิวกระจกขนาดใหญ่ยักษ์หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงขั้นที่ยังมีลางว่าจะไหลทวนกระแสย้อนกลับ
นี่ก็คือจุดที่ปณิธานหมัดของหลี่เอ้อร์ไปถึง