กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 566.1 กลับคืนสู่บ้านเกิด
เฉินผิงอันกับชุยตงซานไปที่ร้านตัวเองบนถนนเหล่าไหว
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าประตู อาบแสงอาทิตย์อบอุ่นในฤดูใบไม้ร่วง ชุยตงซานไล่ตัวแทนเถ้าแก่อย่างหวังถิงฟางไป บอกว่าให้เขาหยุดพักผ่อนหนึ่งวัน หวังถิงฟางเห็นว่าเถ้าแก่หนุ่มยิ้มพลางพยักหน้ารับจึงออกไปจากร้านผีฝูด้วยความสับสนไม่เข้าใจ
กิจการวันนี้นับว่าพอใช้ได้ เพราะทางฝั่งของถนนเหล่าไหวได้ยินว่ามีคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่พบเห็นได้ยากมาเยือน นี่จึงเป็นเหตุให้มีผู้ฝึกตนหญิงมากเป็นพิเศษ อีกทั้งความสามารถในการกรอกยาล่อลวงใจของชุยตงซานยังสูงมาก จึงได้เงินเทพเซียนที่ผิดต่อมโนธรรมในใจมาไม่น้อย และเฉินผิงอันเองก็ไม่สนใจ
วันต่อมาถานหลิงและถังสี่ก็ปรากฏตัวพร้อมกันที่ท่าเรือฝูสุ่ย แน่นอนว่ายังมีซ่งหลันเฉียวที่ดูแลเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ด้วย
หลังจากทักทายปราศรัยกันแล้ว เฉินผิงอันก็ขึ้นเรือไปพร้อมชุยตงซาน ซ่งหลันเฉียวเดินตามไปด้วยตลอดทาง โอสถทองผู้เฒ่าที่ความรู้กว้างขวางผู้นี้สังเกตเห็นเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง ทีแรกเขาเอาเซียนกระบี่หนุ่มกับเด็กหนุ่มชุดขาวมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะที่บอกว่าเป็นอาจารย์กับศิษย์อะไรนั่นก็ยิ่งจินตนาการภาพไม่ออก แต่พอเห็นคนทั้งสองอยู่ด้วยกัน กลับสัมผัสได้ถึงความกลมกลืนอย่างหนึ่งที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก หรือว่าเป็นเพราะในมือคนทั้งสองต่างก็ถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว?
ซ่งหลันเฉียวไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงแค่เอ่ยเรื่องหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
ที่แท้ซ่งหลันเฉียวก็เพิ่งได้เก้าอี้ในศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ แม้ว่าจะได้แค่มาแทนที่ถังสี่ที่อยู่ในตำแหน่งสุดท้าย เขากับถังสี่จึงกลายเป็นหนึ่งคนอยู่ซ้ายหนึ่งคนอยู่ขวาราวกับเทพทวารบาลสององค์ของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ แต่การก้าวออกไปก้าวนี้กลับทำให้ชื่อเสียงของเขาทะยานพรวดพราดอยู่ในตระกูลเซียนบนภูเขาและราชวงศ์โลกมนุษย์ คือเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ที่จะได้มาเพิ่มในทุกปี และคนในครอบครัวก็เป็นดั่งหมาไก่ที่ได้บินขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้นซ่งหลันเฉียวที่เผชิญหน้ากับเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นแล้วบอกว่าได้รับพระคุณที่ยิ่งใหญ่จากเขาก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าความฉลาดของซ่งหลันเฉียวก็อยู่ตรงนี้ ทำการค้าอย่างจริงจังมานานหลายปี เขาจึงไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นอย่างสุดกำลังความสามารถต่อคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นี้
บนเรือข้ามฟาก ซ่งหลันเฉียวจัดหาห้องอักษรตัวเทียนให้พวกเขาหนึ่งห้อง หลังจากไตร่ตรองดีแล้วก็ไม่ได้ให้พวกสาวใช้ที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนหญิงของสวนน้ำค้างวสันต์ปรากฎตัว
ในห้อง ชุยตงซานรินน้ำชาหนึ่งถ้วยให้เฉินผิงอัน เขาฟุบตัวลงบนโต๊ะ ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะทั้งสองข้างกินพื้นที่ไปเกินครึ่งโต๊ะ “ชุยตงซานยิ้มกล่าว อาจารย์ หากพูดถึงเรื่องการต่อสู้ สิบสวนน้ำค้างวสันต์ก็สู้หนึ่งสำนักพีหมาไม่ได้ แต่หากพูดถึงเรื่องการค้าขาย สวนน้ำค้างวสันต์กลับไม่แพ้ให้สำนักพีหมาเลยแม้แต่น้อย วันหน้าภูเขาลั่วพั่วของพวกเรากับสวนน้ำค้างวสันต์ก็มีเรื่องให้คุยกันแล้ว จะต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แน่”
เฉินผิงอันเพียงดื่มน้ำชา ไม่ได้เอ่ยอะไร
ชุยตงซานเอ่ย “ถานหลิงเป็นคนที่แสวงหาความมั่นคง เพราะกิจการของสวนน้ำค้างวสันต์ในทุกวันนี้ได้ดำเนินการมาจนถึงขีดสูงสุดแล้ว บนภูเขา คิดแต่จะพึ่งพาสำนักพีหมา ล่างภูเขา พยายามผูกมิตรกับราชวงศ์ต้ากวานเป็นหลัก ไม่มีอะไรผิด แต่เมื่อวางมาดเรียบร้อยแล้ว ถานหลิงกลับค้นพบข้อเสียมากมายที่สะสมมานานของสวนน้ำค้างวสันต์ นั่นก็คือคนเฒ่าคนแก่หลายคนเสวยสุขกันมาจนชินแล้ว หรือไม่ก็ยังมีปณิธานอยู่กับการฝึกตน คนที่ใช้งานได้จริงๆ กลับมีน้อยมาก เมื่อก่อนต่อให้นางมีใจอยากสนับสนุนถังสี่ ก็ยังมีเรื่องมากมายให้ต้องกริ่งเกรง กังวลว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภคนนี้จะเป็นพวกตะเภาเดียวกันกับเกาซงที่ดีแต่ก้มหน้าก้มตากอบโกยเงินทอง อีกทั้งยังชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ ถึงเวลานั้นสวนน้ำค้างวสันต์คงจบเห่แน่ และเมื่อถึงเวลาที่ถานหลิงต้องจากไป สวนน้ำค้างวสันต์ก็ต้องเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ สายของถานหลิงมีลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย แต่คนที่สามารถแบกรับภาระใหญ่ได้กลับไม่มีเลย เมื่อชักหน้าไม่ถึงหลัง นี่ย่อมเป็นจุดอันตรายถึงแก่ชีวิต ไม่อาจต้านทานการร่วมมือกันระหว่างถังสี่และเกาซงได้เลย ถึงเวลานั้นลูกศิษย์ไม่ได้ความ สู้ก็สู้ไม่ได้ แข่งกันเรื่องถุงเงินถุงทองก็ยิ่งแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว”
“ดังนั้นการร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างถังสี่กับหลินชว่อเอ๋อร์จึงมั่นคงมากที่สุด แม้ว่านิสัยของหลินชว่อเอ๋อร์จะหุนหันเจ้าอารมณ์ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีความทะเยอทะยาน อีกทั้งยังภักดีต่อสวนน้ำค้างวสันต์ บวกกับซ่งหลันเฉียวที่ซาบซึ้งในพระคุณของนางถานหลิง คนทั้งสามจับกลุ่มกอดคอกัน สวนน้ำค้างวสันต์ก็จะมีภาพปรากฎการณ์อย่างใหม่ หากภูเขาลั่วพั่วของพวกเราส่งหมอนไปให้อีกใบ ช่วยเปิดช่องโหว่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปให้กับสวนน้ำค้างวสันต์ ต่อให้จะเป็นแค่ช่องโหว่เล็กๆ ก็ยังจะทำให้ผู้ฝึกตนมากมายที่อยู่ตีนเขาและกึ่งกลางภูเขาของสวนน้ำค้างวสันต์ที่คุ้นเคยกับการทำการค้าดีรู้สึกกระตือรือร้นฮึกเหิม และตอนนี้แจกันสมบัติทวีปก็มีการก่อสร้างใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่ง สวนน้ำค้างวสันต์มีคนมีทรัพยากรมีเงิน กับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พวกเขาจึงเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดในการทำการค้า แต่ก็ต้องระวังว่าสวนน้ำค้างวสันต์จะปรับตัวเข้ากับแจกันสมบัติทวีปไม่ได้ด้วย โชคดีที่ราชสำนักต้าหลี นับตั้งแต่ขุนนางบุ๋นในที่ว่าการไปจนถึงแม่ทัพบู๊บนสนามรบ ต่างก็ฉี่ลงกาเดียวกันกับผู้ฝึกตนสวนน้ำค้างวสันต์”
“แผนการของอาจารย์ลึกล้ำยาวไกล วางหมากได้อย่างแม่นยำ รอบคอบ สามารถเรียกได้ว่ามีมาดของนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้น”
ฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็อดไม่ไหวเปิดปากยิ้มพูดว่า “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วถูกเจ้าพาเสียไปหมดแล้วกระมัง?”
ชุยตงซานพูดอย่างน้อยใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร! พ่อครัวเฒ่า ศิษย์พี่หญิงใหญ่ พี่น้องต้าเฟิง ล้วนถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ทั้งสิ้น! อีกอย่างลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วทุกวันนี้แย่เสียที่ไหน?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ได้จงใจคิดจะร่วมงานกับสวนน้ำค้างวสันต์ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือข้าไม่กล้าคิดเลยสักนิด แค่เป็นร้านผ้าห่อบุญได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากสามารถทำได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นเจ้าที่มีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง”
ชุยตงซานยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง ยื่นนิ้วมาเคาะลงบนผิวโต๊ะดังป้อกๆๆ อยู่สามที รูปสามเหลี่ยมรูปหนึ่งก็ถูกวาดขึ้นมา “ถังสี่ หลินชว่อเอ๋อร์ ซ่งหลันเฉียว คือสามเหลี่ยมหนึ่ง สายของถานหลิง สายของเกาซง ภูเขาลูกเล็กของถังสี่ คือสามเหลี่ยมหนึ่ง ภูเขาลั่วพั่ว สำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ ก็ยังเป็นอีกสามเหลี่ยมหนึ่ง กองกำลังแต่ละฝ่ายที่อาจารย์รวบรวมมาไว้ด้วยกัน เหนือใต้ของอุตรกุรุทวีป ทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ก็คือสามเหลี่ยมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเก่า ความสัมพันธ์ใต้หล้านี้ก็มีเจ้าสิ่งนี้นี่แหละที่มั่นคงที่สุด อาจารย์ ยังไม่ยินดียอมรับอีกหรือว่าตัวเองคือนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้น?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ก็แค่จับผลัดจับผลูเท่านั้น”
ชุยตงซานถอนหายใจ “ความอ่อนน้อมถ่อมตนของอาจารย์ ศิษย์ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
เฉินผิงอันด่าขำๆ “ไสหัวไปไกลๆ เลย”
ชุยตงซานเตรียมจะพูดต่อ คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะพูดขึ้นมาทันทีว่า “ยังจะพูดอีกหรือ?!”
ชุยตงซานรู้สึกเพียงว่าตนมีวิชาล้ำเลิศอยู่เต็มกาย มีอาวุธสารพัดรูปแบบ แต่กลับไม่มีพื้นที่ให้แสดงฝีมือ
ยังคงเป็นอาจารย์ที่ร้ายกาจจริงๆ
ชุยตงซานพลันถามว่า “ไปถึงชายหาดโครงกระดูกแล้วจะไปเจอเกาเฉิงสักหน่อยหรือไม่? ข้ารับรองว่าอาจารย์จะทั้งไปและกลับได้อย่างไร้ความกังวล”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยังไม่ไปที่นครจิงกวานก่อน”
ชุยตงซานถาม “เพราะคนผู้นี้ช่วยเปิดม่านฟ้าให้ผูหรางได้เซ่นกระบี่? หรือว่าเขายังพอจะมีความกล้าหาญของวีรบุรุษอยู่บ้าง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้เรียบง่ายเพียงเท่านั้น ซับซ้อนกว่านี้มาก วันหน้าค่อยเล่าให้ฟัง”
ชุยตงซานย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว
ในขณะที่เรือข้ามฟากเคลื่อนผ่านอาณาเขตของเมืองสุยเจี้ย ทะเลสาบชางอวิ๋น เฉินผิงอันก็ออกมาจากห้อง ยืนพิงราวรั้วของหัวเรือ ก้มหน้ามองแผ่นดินใหญ่ไปพร้อมกับชุยตงซาน
ทะเลสาบชางอวิ๋นที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง เมื่อมองจากเรือข้ามฟากลำนี้ก็เหมือนกับก้อนหินสีเขียวมรกตก้อนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่ท่ามกลางธารน้ำของหน้าผาอวี้อิ๋ง
ยังติดค้างสุราหนึ่งมื้อกับศาลเทพอัคคีของที่นั่น
ก็คงได้แต่ติดค้างไว้ก่อนแล้ว
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “วันหน้าอาจารย์อย่าได้เสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีกเลย”
เฉินผิงอันตอบ “แน่นอนว่าควรจะพยักหน้าตอบตกลง และข้าในเวลานี้ก็เก็บเอาไปใส่ใจอยู่จริงๆ ข้าจะบอกกับตัวเองว่าต้องอยู่ให้ห่างจากคลื่นมรสุม กลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว เรื่องราวล่างภูเขาก็คือเรื่องนอกกาย แต่ข้าและเจ้าต่างก็รู้ชัดเจนดีว่า หากเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ ก็คงยากแล้ว”
ชุยตงซานฟุบตัวลงบนราวระเบียง เข่าสองข้างงอเล็กน้อย ชายแขนเสื้อทั้งสองห้อยออกไปนอกระเบียง มองดูเหมือนน้ำตกสีขาวหิมะเล็กๆ สองสาย
เฉินผิงอันถาม “โจวหมี่ลี่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วคุ้นเคยดีไหม?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “คุ้นเคยดีนักล่ะ มักจะรู้สึกว่าเผยเฉียนที่คัดตัวอักษรทุกวันก็คือบัณฑิตแล้ว เอาแต่รอให้เผยเฉียนขยับพู่กันเขียนเรื่องเล่าภูตน้ำใหญ่ทะเลสาบคนใบ้ของนางอยู่นั่นเอง แม่นางน้อยทำตัวเป็นลูกสมุนจนเลอะเลือนไปหมด วันๆ แบกไม้เท้าเดินตุปัดตุเป๋ตามก้นเผยเฉียนต้อยๆ แล้วตอนนี้ยังถูกอาจารย์เลื่อนขั้นจากผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลงมาเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ทีนี้ล่ะดีเลย ก่อนจะพูดกับใครต้องกระแอมก่อนสองทีให้ลำคอชุ่มชื้น จากนั้นค่อยพูดจาเหมือนคนแก่ ล้วนเป็นนิสัยเสียๆ ที่เรียนรู้มาจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ผู้นั้นของข้าทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดีมาก”
ชุยตงซานถามอย่างประหลาดใจ “จะบันทึกชื่อแม่นางน้อยลงในทำเนียบศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว ให้เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่คล้ายคลึงกับผู้ถวายงานของภูเขาจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก่อนหน้านี้ยังลังเลอยู่บ้าง แต่พอเห็นการหยัดยืนของภูเขาสวนน้ำค้างวสันต์กับคลื่นใต้น้ำที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ข้าก็ยิ่งยืนกรานในความคิดมากขึ้น ข้าจะทำให้คนนอกรู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วมีความมหัศจรรย์มากมายจนยากเกินกว่าจะจินตนาการได้ถึง ไม่ใช่ข้าไม่รู้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรในการทำเช่นนี้ แต่ข้าจะพยายามไปหาทดแทนมาจากที่อื่น สามารถเป็นข้าเฉินผิงอันเจ้าขุนเขาที่หาเงินให้มากหน่อย มุมานะในการฝึกตนมากหน่อย หรือจะเป็นเจ้าที่เป็นลูกศิษย์ ไม่ก็จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงที่เป็นคนทำก็ได้ และเหตุผลในการดำรงอยู่ของบุคคลอย่างโจวหมี่ลี่ เฉินหรูชู ก็จะกลายเหตุผลที่ทำให้พวกคนหน้าใหม่ซึ่งจะมาอยู่บนภูเขาลั่วพั่วในอนาคตรู้สึกว่า ‘เป็นแบบนี้ถึงจะไม่แปลก’”
“ข้าไม่คัดค้านหากวันหน้าภูเขาลั่วพั่วจะกลายเป็นสำนักที่มีอักษรตัวจง แต่ข้าจะไม่ละทิ้งต้นไม้ดอกไม้ข้างทางเพียงเพราะอยากรวบรวมกองกำลังฝ่ายต่างๆ มาเด็ดขาด เมื่อก่อนต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้บนภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าก็จะยังเป็นเช่นนั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกนางเองก็ไม่เคยเป็นเพียงแค่ทัศนียภาพอันงดงามข้างทางอะไรอยู่แล้ว พวกนางก็คือส่วนหนึ่งในชีวิตของข้า ได้ดูแลคนที่ควรค่าแก่การดูแลเหล่านั้น ข้าสุขใจมาก”
เฉินผิงอันหันหน้ามาหา “ข้าพูดแบบนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับอย่างแรง “เข้าใจแล้วก็รับได้ด้วย!”
เฉินผิงอันพูดอย่างปลงอนิจจัง “แต่ว่าจะไม่ต้องไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายอย่างแน่นอน”
ชุยตงซานเอ่ย “คำพูดห้าวเหิมทุกคำ ปณิธานอันกล้าแกร่งทุกอย่าง ขอแค่ลงมือปฏิบัติก็ล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย”
คำพูดบางอย่าง ชุยตงซานถึงขั้นไม่ยินดีจะพูดมันออกมา
ความยินดีทั้งหมดที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน ล้วนจะกลายเป็นความเสียใจที่ต้องจากลากันในอนาคต
แต่นี่ไม่กีดขวางการพบเจอกันใหม่อีกครั้งซึ่งจะทำให้คนเบิกบาน ทำให้คนอยากดื่มสุรา ทำให้คนคลี่ยิ้มอย่างดีใจ
แต่อย่าลืมว่าบางครั้งการจากลาก็เป็นเพียงการจากลาเท่านั้น
เฉินผิงอันก็ฟุบตัวลงบนราวระเบียงตามเขาด้วย ทอดสายตามองไปยังทะเลเมฆสีทองที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ถามว่า “เป็นลูกศิษย์ของข้า รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองบ้างหรือไม่?”
ชุยตงซานเอ่ย “ไม่เลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอบเขตแตกต่าง ความรู้แตกต่าง ลูกศิษย์อย่างเจ้าย่อมไม่คิดมากอยู่แล้ว”
ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์พูดแบบนี้ ศิษย์ไม่ยอมหรอกนะ หากการเรียนวรยุทธของเผยเฉียนพัฒนาไปอย่างพรวดพราด ฝ่าทะลุขอบเขตอย่างว่องไวเหมือนหมี่ลี่น้อยกินข้าวที่กินติดกันถ้วยแล้วถ้วยเล่า ทำให้คนที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะมองตามตาค้าง หรือว่าอาจารย์ก็จะรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองด้วย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ย่อมใช่อยู่แล้ว อาจารย์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ตอนที่อธิบายหลักการเหตุผล ใช้เสียงดังไปหน่อยก็ต้องกังวลว่าจะถูกลูกศิษย์เขกมะเหงกกลับ ในใจจะไม่ลนลานได้หรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
การเดินทางขึ้นเหนือของอาจารย์ ฝึกฝนจิตใจได้อย่างดีเยี่ยม