กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 567.2 สถานที่ไร้เสียง
ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน ปีนั้นเขาเคยพบที่เหลาสุราแห่งหนึ่งในบริเวณใกล้เคียง ในงานเลี้ยงที่เหลาสุราครั้งนั้น หากไม่นับเฉินผิงอัน อีกฝ่ายมีกันทั้งหมดหกคน ตอนนั้นหวงถิงก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นด้วย จากฝานกว่านเอ่อร์และถงชิงชิง พอส่องกระจกก็กลายมาเป็นหวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง ผู้ฝึกตนหญิงที่มีพรสวรรค์ของใบถงทวีปที่ขนาดเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่มีบุญบารมีลึกล้ำก็ยังเป็นเด็กรุ่นหลังของนาง ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเดินทางท่องเที่ยวที่อุตรกุรุทวีปก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอกับนักพรตหญิงที่ต่อให้เปิดฉากต่อสู้เป็นตายกับฉีจิ่งหลงบนภูเขาตี่ลี่ก็ยังเป็นรองแค่ขั้นเดียวผู้นี้ แต่ตามคำบอกของฉีจิ่งหลง อันที่จริงพลังการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายสูสีกัน แต่ถึงอย่างไรหวงถิงก็เป็นสตรี ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนถึงท้ายที่สุดจึงไม่เหลือความคิดจะตัดสินเป็นตายกันอีกแล้ว เพื่อรักษาความสมบูรณ์แบบของชุดคลุมเต๋าบนร่าง นางถึงได้แพ้ไปเสี้ยวหนึ่งเนื่องจากลุกขึ้นยืนช้ากว่าฉีจิ่งหลง
ในเหลาสุราตอนนั้นนอกจากเว่ยเหลียงฮ่องเต้ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์แล้วยังมีฮองเฮาโจวซูเจิน องค์รัชทายาทเว่ยเยี่ยน เว่ยอวิ้นองค์ชายรองผู้ทะเยอทะยาน แต่ทุกอย่างที่ทุ่มเทไปกลับเสียเปล่า และเว่ยเจินองค์หญิงที่อายุน้อยที่สุด
เฉินผิงอันความจำดีมาก
ในงานเลี้ยงที่แต่ละคนต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไปนั้น เขาไม่ได้จำได้แค่สีหน้า ท่าทางหรือถ้อยคำของทุกคนเท่านั้น แต่เรื่องที่ใครดื่มเหล้าอะไร กินอาหารอะไร เฉินผิงอันล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน
ภิกษุเฒ่าของวัดซินเซียงที่อยู่ห่างจากตรอกเล็กไปไม่ไกล ของกินประจำท้องถิ่นในตลาดกลางคืนวันป๋ายเหอ หอเก็บตำราของตระกูลขุนนางแห่งนั้น เรื่องราวระหว่างบัณฑิตยากจนในตรอกจ้วงหยวนกับสตรีอุ้มผีผา ทุกเรื่องราวค่อยๆ ปรากฏชัดเจน แล้วฝังลึกลงไปในใจ
จ้งชิวเงียบไปนาน ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “ค่อนข้างจะหมดอาลัยตายอยาก”
เขาพยายามฝึกอบรมตัวเอง คอยดูแลบ้านเรือนและปกครองใต้หล้าให้สงบสุขอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่พอความจริงปรากฏ กลับดูเหมือนว่าที่แท้ไม่ว่าตนจะทำอะไร ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงแค่การพลิกฝ่ามือไปมาของคนคนหนึ่งเท่านั้น จ้งชิวจึงเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว
ถึงขั้นคิดว่า หรือตนจะคิดผิดจริงๆ เป็นอวี๋เจินอี้ที่คิดถูก?
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “วันหน้าในใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตน ภูตประหลาด สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ผีวิญญาณทั้งหลาย จะพากันผุดกรูออกมาราวกับหน่อไม้ที่แตกหน่อหลังฝนฤดูใบไม้ผลิ อาจารย์จ้งไม่ควรทดท้อเช่นนี้ เพราะถึงแม้ว่าในนามข้าจะถือเป็นเจ้าของพื้นที่มงคลแห่งนี้ แต่ข้าก็จะไม่มีทางสอดมือเข้าแทรกสถานการณ์ของโลกมนุษย์ของที่นี่เด็ดขาด ในอดีตพื้นที่มงคลรากบัวไม่ใช่ผืนนา ไม่ใช่สวนผักของข้าเฉินผิงอัน หลังจากนี้ก็จะยังไม่เป็นเช่นนั้น หากใครบางคนได้รับโอกาสอันเหมาะสม ได้ขึ้นเขาไปฝึกตนก็แค่สงบใจฝึกตนของตัวเองไป ข้าจะไม่ขัดขวาง แต่เรื่องราวในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาก็ต้องมอบให้คนในโลกแก้ไขจัดการกันเอาเอง สงครามวุ่นวายก็ดี ใต้หล้าสงบสุขเป็นปึกแผ่นก็ช่าง จักรพรรดิ แม่ทัพ อัครเสนาบดี ต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเอง ราชสำนักฝ่ายบุ๋นบู๊ ต่างคนต่างอาศัยมโนธรรมในใจของตัวเอง นอกจากนี้เรื่องควันธูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ไม่อย่างนั้นตลอดทั้งใต้หล้ามีแต่จะสะสมข้อเสียไว้ลึกล้ำมากขึ้น กลายเป็นสังคมที่เลวทรามป่าเถื่อน ทุกหนแห่งกลายเป็นคนก็ไม่ใช่คน ผีก็ไม่ใช่ผี เทพเซียนไม่ใช่เทพเซียน”
จ้งชิวยิ้มถาม “เจ้าอยากจะใช้ใต้หล้าแห่งหนึ่งมาพิศมหามรรคางั้นหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “ไม่เคยเจตนาคิดแบบนี้มาก่อน แต่พออาจารย์จ้งพูดแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าเค้าอยู่บ้าง”
จ้งชิวถาม “ใต้หล้าไพศาลข้างนอกนั้นมีทัศนียภาพอย่างไรกันแน่?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ใจคนยังคงเป็นใจคน แต่เมื่อเทียบกับแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว ทางฝั่งของบ้านเกิดข้า โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ อีกทั้งยังมีฟ้านอกฟ้า ไม่ได้มีแค่ใต้หล้าเดียว อาจารย์จ้งควรจะเดินออกไปดูสักหน่อย ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “ก่อนเจ้าจะมา ฮ่องเต้ก็ได้ลงจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว ให้องค์ชายใหญ่เว่ยเยี่ยนเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อ ส่วนองค์ชายรองเว่ยอวิ้นก็ถูกอดีตฮ่องเต้กักบริเวณเอาไว้แล้ว ข้าเองก็เพิ่งลาออกจากการเป็นราชครู แต่จะไม่จากไปทันที คิดว่าจะท่องไปให้ทั่วใต้หล้าที่ไม่ใหญ่แห่งนี้ก่อน เฉินผิงอัน ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด อย่ามองอาณาประชาราษฎร์ของใต้หล้าแห่งนี้เป็นของเล่น เป็นหุ่นเชิด เห็นเป็นแค่สิ่งของที่ขายทิ้งได้ตามใจชอบ แต่ข้าจ้งชิวเองก็ไม่ใช่ชาวลัทธิขงจื๊อคร่ำครึที่ไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลง ในท้องไม่ได้มีแค่คุณธรรมของคนถ่อย ขอแค่เป็นกฎเกณฑ์ที่เจ้าเฉินผิงอันกำหนดไว้ในท้ายที่สุด ข้าก็ยอมรับ ถ้าอย่างนั้นการกระทำทุกอย่างในอนาคตที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ต่อให้ข้าจ้งชิวจะไม่ชอบใจ แต่ก็จะไม่มีทางวิจารณ์ในทางลบเด็ดขาด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงยังมีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้อาจารย์จ้งวางใจได้มากกว่านี้”
จ้งชิวถาม “ต้องการให้ข้าเป็นเค่อชิง?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สาวเท้าเดินไปอย่างเนิบช้า ไม่คิดจะปฏิเสธแม้แต่น้อย “อาจารย์จ้งคือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำที่เป็นทั้งปรมาจารย์บู๋และอริยะบุ๋น ข้าหรือจะยอมปล่อยผ่านไปได้ จะอย่างไรก็ต้องลองช่วงชิงดู”
จ้งชิวยิ้มกล่าว “ข้างกายเจ้าก็มีจูเหลี่ยนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? บอกตามตรง ในบรรดาคนไม่กี่คนที่ข้าจ้งชิวเคารพนับถือมากที่สุดในชีวิตนี้ จูเหลี่ยนลูกหลานชนชั้นสูงที่สามารถกอบกู้สถานการณ์เลวร้ายให้ฟื้นกลับมาดีได้คือคนหนึ่งในนั้น และจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธที่วิชาหมัดบริสุทธิ์ก็นับเป็นอีกคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ได้เจอกับจูเหลี่ยนตัวเป็นๆ ในระยะประชิด ราวกับว่าเห็นคนเดินออกมาจากในหน้าหนังสือ ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อเป็นเท่าทวี”
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์จ้งแค่แขวนชื่อไว้ในศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วข้าก็พอ นี่ไม่ถ่วงรั้งการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศของอาจารย์จ้งในวันข้างหน้า ไม่มีพันธนาการต่อท่านเลยแม้แต่นิดเดียว”
จ้งชิวกล่าวอย่างสงสัย “ภูเขาลั่วพั่ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จ้งชิวเอ่ย “เป็นชื่อที่ดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็แขวนชื่อไว้ที่ภูเขาแห่งนี้แล้ว”
เฉินผิงอันสีหน้าเปลี่ยวเหงา
เคยมีคนด่าทอตนตอนออกหมัด บอกว่าอายุยังน้อย แต่กลับเซื่องซึมซังกะตาย ราวกับวิญญาณเร่ร่อน สมแล้วที่เป็นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว
……
ได้พบกับอดีตฮ่องเต้ของแคว้นหนันเยวี่ยนท่านนั้นแล้ว เฉินผิงอันก็พาเผยเฉียนและโจวหมี่ลี่มาบอกลาเฉาฉิงหล่าง แล้วออกไปจากพื้นที่มงคลรากบัวด้วยกัน
เฉินผิงอันยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ เขาพักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง แล้วก็ยังฝึกท่าหมัดเดินนิ่งอยู่บนพื้นที่ว่างนอกประตูอยู่เหมือนเดิม หรือไม่ก็ปิดประตูฝึกตน เพียงแค่จะไปยืนอยู่ในระเบียงชั้นสอง ทอดสายตามองไปไกลบ้างในบางครั้ง
ยามดึกของวันนี้ เผยเฉียนมานั่งอยู่บนขั้นบนสุดของบันไดเพียงลำพัง
ชุยตงซานเดินขึ้นเขามาช้าๆ แล้วมานั่งลงข้างกายนาง
เผยเฉียนพยายามเบิกตากว้างจ้องมองเจ้าห่านขาวใหญ่ ครู่หนึ่งต่อมาก็ถามเสียงเบาว่า “ท่านปู่ชุยจากไปแล้ว เจ้าไม่เสียใจเลยหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นสภาพจิตใจของข้า เจ้าถึงจะได้เห็น ไม่อยากให้เจ้ามองเห็น ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ไม่มีทางได้เห็น”
เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ตบะของข้ายังไม่สูงพอจริงๆ ด้วย”
ชุยตงซานส่ายหน้า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ หากไม่พูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลบางท่าน ถ้าอย่างนั้นหากข้าบอกว่าตัวเองเป็นที่สองก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่หนึ่ง”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที
เจ้าห่านขาวใหญ่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ นั่นแหละ
ชุยตงซานหัวเราะ แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนยังเด็กไม่รู้ความ เมื่อผู้อาวุโสจากไปจึงมักจะแผดเสียงร้องไห้จ้า ความเสียใจเจ็บปวดล้วนอยู่บนใบหน้าและในน้ำตา”
“แต่พอหันไปมองพวกผู้ใหญ่รุ่นพ่อแม่ที่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มที่น้ำมูกน้ำตานองหน้าพวกนั้นอีกครั้ง พวกเขาส่วนใหญ่กลับเงียบขรึม ตอนที่ทำพิธีฝังศพยังสามารถรับรองผู้คนที่มาร่วมงาน ยามพูดจากับคนอื่นก็ยังยิ้มได้”
“นี่ก็คือชีวิตคน บางทีอาจเป็นคนคนเดียวกันที่ก็แค่ต้องเจอกับความเจ็บปวดสองอย่างบนเส้นทางสองช่วงของชีวิตคน ตอนนี้เจ้าไม่เข้าใจ เพราะว่าเจ้ายังไม่ได้เติบโตอย่างแท้จริง”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที “ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ วันหน้าก็อาจจะยังไม่เข้าใจ แล้วข้าก็ไม่อยากเข้าใจด้วย”
ในแคว้นหนันเยวี่ยนที่นางไม่เห็นว่าเป็นบ้านเกิดตัวเองแห่งนั้น ตอนที่พ่อแม่ทยอยกันจากไป อันที่จริงนางไม่ได้มีความเสียใจเจ็บปวดอะไรมากนัก ก็เหมือนว่าพวกเขาแค่เดินนำไปก่อนหนึ่งก้าว และอีกไม่นานนางก็จะต้องตามไป อาจจะหิวตาย หนาวตาย ถูกคนตีตาย แต่ตามไปทันแล้วอย่างไร? ก็ยังต้องถูกพวกเขารังเกียจ เห็นว่าเป็นภาระอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ดังนั้นหลังจากที่เผยเฉียนออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว ต่อให้อยากจะเสียใจสักหน่อย แต่พออยู่ข้างกายอาจารย์ นางกลับแสร้งทำไม่ออก
ทว่ากับท่านปู่ชุยนั้นไม่เหมือนกัน
เขาคือผู้อาวุโสที่เผยเฉียนให้การยอมรับอย่างแท้จริงเว้นจากอาจารย์ของตัวเอง
แต่ละครั้งทุบตีจนนางเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แรกเริ่มหากนางกล้าโวยวายว่าจะไม่ฝึกวิชาหมัดแล้ว เขายังจะยิ่งต่อยนางหนักกว่าเดิม แล้วก็พูดจาระยำที่ทำให้นางเสียใจเจ็บปวดได้ยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บของบาดแผลอีกมากมาย
แต่ตอนนี้เผยเฉียนรู้แล้วว่าอะไรดี อะไรไม่ดี
ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้นางใช้สองตาไปแอบมองใจคนด้วยซ้ำ
ชุยตงซานแหงนหน้ามองม่านราตรี อีกเดี๋ยวก็จะเป็นวันจงชิว (เทศกาลไหว้พระจันทร์) แล้ว ดวงจันทร์ในวันนั้นจะกลมโต
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “ดังนั้นอาจารย์ถึงไม่เคยคาดหวังให้เจ้าเติบโต ไม่อยากให้เจ้ารีบร้อนเติบโต”
“พอเติบโตแล้ว ตัวเจ้าเองก็ต้องคิดว่าควรจะต้องแบกรับอะไรบางอย่าง ถึงเวลานั้นอาจารย์ของเจ้าขวางก็ขวางไม่อยู่ แล้วก็คงไม่คิดจะขวางอีกด้วย”
“ยังจำการจากลาครั้งที่อาจารย์ของเจ้าออกมาจากสำนักศึกษาต้าสุยในปีนั้นได้ไหม?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง ในที่สุดบนใบหน้าดำเกรียมก็เริ่มมีรอยยิ้มบ้างแล้ว นางตอบเสียงดังว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าดีใจจะแย่ พี่หญิงเป่าผิงก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่”
ชุยตงซานหัวเราะตามไปด้วย เขาถามเองตอบเองว่า “ทำไมข้าถึงต้องให้ทุกคนมารวมตัวกันแล้วจัดขบวนยิ่งใหญ่ขนาดนั้น? เพราะอาจารย์รู้ว่าบางทีการพบกันใหม่ครั้งหน้าคงไม่มีทางได้พบเจอกับแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง แก้มแดงปลั่ง ตัวเล็กๆ ตากลมๆ น้ำเสียงใสกังวาน สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กขนาดกำลังดีที่เรียกเขาว่าอาจารย์อาน้อยอีกตลอดกาลแล้ว”
“หากอาศัยแค่ดวงตา ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางมองเห็นอะไร”
“ดังนั้นจึงมีเพียงเก็บไว้ในใจ นี่ก็คือความเสียดายที่ผู้ใหญ่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย ได้แต่เก็บซ่อนไว้กับตัวเองเท่านั้น”
ชุยตงซานชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อเบาๆ คล้ายอยากจะขับไล่ความหม่นหมองกลัดกลุ้มบางอย่างทิ้งไป
ความกลัดกลุ้มความทุกข์ที่แท้จริง จะอยู่แค่ในสถานที่ไร้เสียงเท่านั้น
“เรื่องราวที่ชวนให้คนหงุดหงิดใจพวกนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ต้องรอให้เติบโตก่อนแล้วค่อยไปทำความเข้าใจเอาเอง แต่ข้าก็ยังหวังว่าเจ้าจะลองรับฟังดู อย่างน้อยที่สุดก็รับรู้ไว้ว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่”
“ท่านปู่ของข้าจากไปเช่นนี้ อาจารย์เสียใจไม่น้อยไปกว่าข้า แต่อาจารย์ไม่มีทางให้คนอื่นรับรู้ว่าเขาเสียใจมากแค่ไหน”
“เจ้าเคยคิดถึงเรื่องหนึ่งหรือไม่ เหตุใดอาจารย์ของเจ้าถึงได้ชอบเก็บสะสมพู่กันที่เคยใช้ รองเท้าสานที่เคยสวม ขวดไหที่ไม่มีค่าเหล่านั้น? เพราะว่านับตั้งแต่เด็กเขาก็เคยชินกับการจากลาทั้งจากเป็นจากตาย คอยมองส่งคนอื่นจากไปไกลอยู่ตลอด ไม่สามารถรั้งคนและเรื่องราวมากมายเอาไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นอะไรก็ตามที่สามารถรั้งไว้ได้ เขาก็จะต้องพยายามรั้งเอาไว้ อันที่จริงไม่ใช่แค่อาจารย์คนเดียวเท่านั้น พวกเราทุกคนต่างก็ต้องประสบพบเจอกับการแยกจากในแต่ละรูปแบบ หลายคนล้วนเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่าอดีตผ่านไปแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่มีใครเก็บเอาไปใส่ใจเหมือนอาจารย์ ไม่มีใครที่จะปิดประตูแล้วเก็บรักษาพวกมันไว้อย่างดีได้ยาวนานโดยไม่ให้คนอื่นรับรู้ได้อย่างเช่นอาจารย์”
เผยเฉียนหันหน้ามาพูดอย่างเจ็บปวดว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ควรจะทำอย่างไรล่ะ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ อาจารย์ชินกับมันแล้ว”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืน “แบบนี้ไม่ดี! แบบนี้ไม่ถูก!”
ชุยตงซานไม่เอ่ยอะไร เพียงทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง
เผยเฉียนวิ่งตะบึงลงจากเขา มุ่งหน้าไปยังเรือนไม้ไผ่
พบว่าอาจารย์นั่งอยู่ข้างโต๊ะหินเพียงลำพัง บนโต๊ะวางเหล้าไว้สองกา บนกาเหล้ายังมีเศษดินติดอยู่ แต่อาจารย์ไม่ได้ดื่มเหล้า
อาจารย์นั่งหลังตรง สองมือกำเป็นหมัดเบาๆ วางไว้บนหัวเข่าตลอดเวลา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เผยเฉียนยืนอยู่ที่เดิม ตะโกนเสียงดังว่า “อาจารย์ ห้ามเสียใจนะ!”
เฉินผิงอันหันหน้ามา ยิ้มตอบ “ตกลง”
เผยเฉียนมองอาจารย์ที่เป็นเช่นนี้
ก็เหมือนตอนที่อาจารย์ของนางยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วมองอาเหลียงใต้งอบสานที่เป็นเช่นนั้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กสองตัวมา แล้วนั่งลงไปพร้อมกับเผยเฉียน
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบาว่า “เผยเฉียน อีกไม่นานอาจารย์ก็ต้องออกไปจากบ้านเกิดอีกครั้งแล้ว เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “อาจารย์ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไม่ใช่ว่าอาจารย์โม้หรอกนะ แต่หากพูดถึงแค่เรื่องความสามารถในการดูแลตัวเองให้ดี ใต้หล้านี้ก็มีคนน้อยนักที่จะทำได้เหมือนอาจารย์”
เผยเฉียนใช้สองมือขยับเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่อยู่ใต้ก้นเข้ามาใกล้อาจารย์ให้มากขึ้น
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กมองทิศไกลไปด้วยกัน
วันนี้เฉินผิงอันขอบเขตร่างทอง
เผยเฉียนผู้เป็นลูกศิษย์กำลังจะกลายเป็นขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ท่านั่ง สายตา บุคลิกราศีของอาจารย์และศิษย์สองคน เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน