กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 568.1 เยือกเย็นคืออย่างไร
ชุยตงซานเดินมานั่งด้วย ที่โต๊ะจึงมีคนสามคน อาจารย์และศิษย์
ชุยตงซานค้อมเอวยื่นมือมาหยิบเหล้าหมักตระกูลเซียนที่ฝังไว้ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ไปกาหนึ่ง เฉินผิงอันเองก็หยิบเหล้าตรงหน้าตัวเองขึ้นมา คนทั้งสองกระดกเหล้าขึ้นดื่มจนหมด
เฉินผิงอันใช้หลังมือปาดมุมปาก ถามว่า “จะจากไปเมื่อไหร่?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อันที่จริงศิษย์ไม่เคยจากไปไหน อาจารย์อยู่ที่ไหน ความคิดจิตใจของศิษย์ก็ติดตามอาจารย์ไปด้วย”
ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด รอยยิ้มของเด็กหนุ่มเจิดจ้าดุจแสงตะวัน
เฉินผิงอันหันหน้ามาหาเผยเฉียน “วันหน้าอย่าพูดจาเลียนแบบเขา”
เผยเฉียนสับสนไม่เข้าใจ แต่กระนั้นก็ยังส่ายหน้าอย่างแรง “อาจารย์ ข้าไม่เคยเลียนแบบเขาเลยนะ”
ชุยตงซานยกนิ้วโป้งให้
เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก พยายามเอามาดของศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกมาใช้ให้มากที่สุด
เฉินผิงอันกล่าว “ทางฝั่งของเฉินหรูชู เจ้าทุ่มเทความคิดให้มากหน่อย ป้องกันโจรพันวัน เผาผลาญแรงใจของคนเป็นที่สุด”
ภูเขาลั่วพั่วห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนค่อนข้างไกล แม้ว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจะมียันต์กระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างอยู่นานแล้ว นางจึงสามารถทะยานลมได้อย่างไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใด แต่เวลาที่เฉินหรูชูไปซื้อของ มักจะชอบเปรียบเทียบราคาของหลายๆ ร้าน ละเอียดลออเป็นอย่างยิ่ง ข้าวของบางอย่างก็ไม่ใช่ว่าไปถึงเขตการปกครองแล้วจะสามารถซื้อได้ทันที บางทีอาจต้องรอไปอีกวันสองวัน ดังนั้นนางจึงใช้เงินเก็บส่วนตัวของตัวเองซื้อเรือนหลังหนึ่งไว้ที่เขตการปกครองนานแล้ว เป็นที่ว่าการเจ้าเมืองที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ ทำให้ซื้อพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลได้ในราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพื่อนบ้านใกล้เคียงล้วนเป็นตระกูลเศรษฐีของเมืองหลวงต้าหลี ตอนนั้นคนที่จัดการเรื่องนี้ให้ยังเป็นเลขาธิการฝ่ายบุ๋นที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังคนหนึ่ง และยังเคยเป็นขุนนางผู้ช่วยของอู๋ยวนอดีตเจ้าเมือง ทว่าตอนนี้เขากลับกลายมาเป็นขุนนางพ่อแม่ของเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ที่แท้ก็คือลูกหลานตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงที่อำพรางตัวตนอย่างมิดชิด
ก็เหมือนอย่างวันนี้ เฉินหรูชูพักค้างแรมอยู่ที่เรือนหลังนั้น รอให้พรุ่งนี้ตระเตรียมสิ่งของครบถ้วนแล้ว นางถึงจะกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว
โดยทั่วไปแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนจะออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว เฉินหรูชูจะต้องมอบกุญแจไว้ให้โจวหมี่ลี่หรือไม่ก็เฉินยวนจีก่อน
ชุยตงซานเอ่ย “ศิษย์ทำอะไร อาจารย์วางใจได้เสมอ นักรบเดนตายสายลับของต้าหลีมีความอดทนเป็นเลิศ และในทางส่วนตัวแล้ว เว่ยป้อก็ได้สั่งให้เทพภูเขาที่อยู่ทางทิศเหนือสุดจับตามองความเคลื่อนไหวของทางเขตการปกครองแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่บนร่างของแม่หนูหน่วนซู่ยังสวมชุดคลุมอาคมที่ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ชิ้นนั้น นั่นเป็นของเก่าเก็บของศิษย์ ต่อให้เกิดเรื่องอย่างกะทันหัน นักรบเดนตายต้าหลีและเทพภูเขาต่างก็ขวางไว้ไม่อยู่ ลำพังแค่ชุดคลุมอาคมตัวนั้น หน่วนซู่ก็ยังสามารถต้านทานกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ได้หนึ่งถึงสองครั้ง เมื่อออกกระบี่ เว่ยป้อก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว ถึงเวลานั้นต่อให้อีกฝ่ายอยากจะตายไปให้สิ้นเรื่องก็ยังยาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่เรียกว่าเบียดบังงานส่วนรวมมาใช้กับเรื่องส่วนตัวหรือไม่?”
ความปลอดภัยของคนบางคนบนภูเขาลั่วพั่ว จำเป็นต้องให้คนบางคนจ่ายค่าตอบแทน
การออกจากบ้านไปอย่างปลอดภัยไร้อันตรายของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู จำเป็นให้เขาเฉินผิงอัน ชุยตงซานและเว่ยป้อวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมและระมัดระวัง
แต่ในทางกลับกัน การที่เขาและชุยตงซานออกเดินทางไปทั่วทิศ ไม่ว่าจะพบเจอคลื่นลมมรสุมประหลาด หรืออันตรายใดๆ จากภายนอก แต่การที่คิดถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วยังสบายใจได้ ก็ถือเป็นคุณความชอบใหญ่เทียมฟ้าของผู้ดูแลตัวน้อยอย่างเฉินหรูชู
เคยมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เฉินผิงอันคิดไม่ตกกับการวางแผนการเช่นนี้ของตน รู้สึกว่าตัวเองเอาแต่ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียกับทุกเรื่อง แม้แต่จิตใจคนก็ยังทำตัวเป็นนักบัญชีที่ไม่ยอมปล่อยผ่าน
แต่ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู ตัวเองก็แค่คิดมากไปเองเท่านั้น การวางแผนที่ไม่ได้ใช้กับแค่คำว่าเงินอย่างเดียวเท่านั้นนี้ มีทั้งส่วนที่เอามาปรับใช้ได้ แล้วก็มีส่วนที่ล้ำค่า ไม่มีอะไรให้ต้องคอยปิดบัง ยิ่งไม่จำเป็นต้องปฏิเสธส่วนลึกในใจของตัวเอง
สรุปก็คือ เฉินผิงอันจะไม่ยอมอนุญาตให้เกิดความเสียดายเพียงเพราะตัวเอง ‘คิดไม่ถึง’ หรือไม่ยอม ‘คิดให้มาก’ เด็ดขาด
ถึงเวลานั้นการลงมือด้วยความเดือดดาลหลังจบเรื่อง การระบายโทสะให้เลือดกระเซ็นสามฉื่อ จะมีประโยชน์อะไร? ความเสียใจจะน้อยลงหรือ ความเสียดายจะหายไปหรือ?
ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนก็คืองานในหน้าที่ของเขาเฉินผิงอัน
วันหน้าพื้นที่มงคลรากบัวที่อยู่ใต้เปลือกตาแห่งนั้นก็จะเป็นเช่นนี้ด้วย
พูดถึงมโนธรรมในใจก่อน แล้วค่อยพูดถึงเรื่องการหาเงิน
เงิน ถึงอย่างไรก็ยังต้องหามา เพราะเงินก็คือจิตแห่งวีรบุรุษ คือบันไดของการฝึกตน
เพียงแต่ว่าลำดับขั้นตอนก่อนหลังจะผิดพลาดไม่ได้
ชุยตงซานกล่าว “ไม่พูดถึงอาจารย์และศิษย์พี่หญิงใหญ่ จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน ลำพังโชคชะตาบู๊ส่วนเกินมากมายขนาดนี้ที่ภูเขาลั่วพั่วนำมาให้ราชวงศ์ต้าหลี ต่อให้ข้าจะเรียกร้องขอให้ผู้ถวายงานก่อกำเนิดคนหนึ่งมาปักหลักอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนตลอดทั้งปี ก็ยังไม่มากเกินไป และเจ้าตะพาบเฒ่าเองก็ไม่มีทางกล้าแม้แต่จะผายลม ถอยไปพูดหมื่นก้าว ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีที่ให้ม้าวิ่งโดยไม่ป้อนหญ้าให้ม้ากิน ข้าลำบากลำบนเฝ้าพิทักษ์พื้นที่ทางใต้ ทุกวันต้องเหนื่อยล้าจากการเดินทาง คอยดูแลเรื่องมากมายขนาดนั้น ช่วยสร้างความมั่นคงต่อเส้นทางการสู้รบเจ็ดแปดเส้นทั้งในที่มืดและที่แจ้งให้กับเจ้าตะพาบเฒ่า ขนาดพี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจน ข้าไม่ได้เป็นสิงโตอ้าปากกว้างเรียกร้องเงินเดือนจากเจ้าตะพาบเฒ่าก็ถือว่ามีคุณธรรมมากพอแล้ว”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ
‘เรื่องในบ้าน’ ของชุยตงซานและราชครูชุยฉาน เขาไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
จนกระทั่งบัดนี้เผยเฉียนถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้มีเรื่องวกวนอ้อมค้อมมากมายขนาดนั้นเกิดขึ้นกับผู้ดูแลน้อยหน่วนซู่ นางพลันรู้สึกเป็นกังวล เอ่ยถามว่า “ไม่อย่างนั้นวันหน้าให้ข้าออกไปซื้อของข้างนอกกับหน่วนซู่ดีไหม?”
ชุยตงซานยิ้มตาหยี “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ จะออกจากบ้านเอาหัวไปส่งให้คนอื่นหรือไร?”
เผยเฉียนทอดถอนใจ เอาหัวโขกโต๊ะดังปึงๆ พูดเสียงอู้อี้โดยไม่เงยหน้าขึ้นว่า “ช่วยไม่ได้ ข้าฝึกวิชาหมัดช้าเกินไป ท่านปู่ชุยก็บอกแล้วว่าข้าคือเต่าคลาน คือมดย้ายบ้าน น่าโมโหชะมัด”
เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก
ชุยตงซานเอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ “แค่นี้ก็กลัดกลุ้มเสียแล้ว? ต่อจากนี้ขอบเขตห้าขอบเขตหกบนวิถีวรยุทธของศิษย์พี่หญิงใหญ่จะยิ่งเดินได้ช้ากว่านี้เสียอีก โดยเฉพาะเรื่องของจิตบู๊ที่ยิ่งจำเป็นต้องวางแผนอย่างยาวนาน เร็วไม่ได้เลยจริงๆ”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น พูดอย่างมีโทสะว่า “ห่านขาวใหญ่เจ้าน่ารำคาญอะไรอย่างนี้?! พูดจาดีๆ ให้น่าฟังบ้างไม่ได้หรือไง?”
ชุยตงซาน “คำพูดน่าฟังเอามากินแกล้มข้าวได้หรือ?”
เผยเฉียนพูดอย่างมีเหตุมีผล “กินได้สิ! ข้ากินข้าวกับหมี่ลี่ ทุกครั้งจะกินข้าวได้มากขึ้นหนึ่งถ้วย แต่เห็นหน้าเจ้า แม้แต่ข้าวก็ไม่อยากกิน”
เฉินผิงอันเอ่ยปลอบใจ “เรื่องที่ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็อย่าได้ร้อนใจเลย”
เผยเฉียนรีบพูดเสียงดังทันที “อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง!”
ชุยตงซานหันหน้ามามองเฉินผิงอัน “อาจารย์ เป็นอย่างไร ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วเราไม่เกี่ยวอะไรกับศิษย์กระมัง?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “ข้าได้พูดคุยกับเว่ยเหลียงอดีตฮ่องเต้มาก่อนแล้ว แต่ฮ่องเต้คนใหม่อย่างเว่ยเยี่ยนนั้นมีปณิธานไม่เล็กเลย เพราะฉะนั้นอาจต้องให้เจ้าช่วยไปบอกเว่ยเซี่ยนดูสักหน่อย”
เว่ยเซี่ยนคือฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นของแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็เป็นจักรพรรดิองค์แรกในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ทำการเยี่ยมเยือนภูเขาตามหาเซียนอย่างยิ่งใหญ่จริงจัง
ชุยตงซานยิ้มถาม “เว่ยเซี่ยนคือคนโชคดีที่ถูกอาจารย์พาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว อาจารย์มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อเขาราวกับมอบชีวิตให้ใหม่ ในเมื่ออาจารย์เอ่ยปากแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้เว่ยเซี่ยนพูดปฏิเสธ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์ใหญ่ ภูเขาลั่วพั่วก็จำเป็นต้องมอบอิสระและพื้นที่ให้ทุกคนได้ทำตามความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่ว่าข้าเฉินผิงอันคิดจะเป็นอริยะปราชญ์ผู้มีคุณธรรม หรืออยากให้ตัวเองถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายเท่านั้น แต่เป็นเพราะหากบังคับจิตใจทุกคนต่อไปเรื่อยๆ ก็จะรั้งใครไว้ไม่อยู่ วันนี้รั้งหลูป๋ายเซี่ยงไว้ไม่อยู่ พรุ่งนี้รั้งเว่ยเซี่ยนไว้ไม่อยู่ วันหน้าก็อาจรั้งอาจารย์จ้งท่านนั้นไว้ไม่อยู่”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง!”
เผยเฉียนพูดอย่างเดือดดาล “เจ้ารีบเปลี่ยนคำพูดใหม่เดี๋ยวนี้เลย ห้ามเลียนแบบข้า!”
ชุยตงซานโคลงศีรษะ สะบัดชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้าง “หึหึ ข้าไม่เปลี่ยน เจ้ามาตีข้าสิ มาสิ หากข้าหลบจะยอมใช้แซ่เดียวกับเจ้าตะพาบเฒ่าเลย”
เผยเฉียนยกสองมือกุมหัว ปวดกบาลนัก ก็เพราะมีอาจารย์อยู่ข้างกายหรอก ไม่อย่างนั้นป่านนี้นางก็ออกหมัดไปตั้งนานแล้ว
คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะพูดเตือนว่า “คนเขาขอร้องให้เจ้าตี ทำไมไม่ตอบตกลงล่ะ? ท่องอยู่ในยุทธภพ ขอสิ่งใดได้สิ่งนั้นก็คือความเคยชินที่ดีอย่างหนึ่ง”
ดวงตาเผยเฉียนฉายประกายเจิดจ้า
ชุยตงซานยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้ววางไว้ตรงหน้าแล้วส่ายเบาๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ข้าเป็นวิชาตระกูลเซียนนะ คนที่กินอิ่มว่างงาน เจอเวทกักร่างของข้าเข้าไป จุ๊ๆๆ จุดจบนั้นไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ ตระการตาจนต้องมองตาไม่กะพริบเลยล่ะ”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ ข้ารู้สึกว่าระหว่างสหายร่วมสำนักควรจะมีความสามัคคีปรองดอง ความกลมเกลียวช่วยต่อเงินต่อทอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็มีเหตุผลนะ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้อาจารย์จะช่วยป้อนหมัดให้เจ้าเอง”
เผยเฉียนเบิกตากว้าง “หา?”
นางไม่ได้กลัวความยากลำบาก เผยเฉียนแค่กังวลว่าหลังจากป้อนหมัดแล้วตนจะเผยพิรุธให้เห็นขอบเขตสี่ที่น่าสงสารของตน แล้วอาจารย์จะหัวเราะเยาะตน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใจไม่ร้อน ไม่ได้หมายความว่ามือไม้จะไม่ขยันขันแข็ง เมื่อไหร่ที่เป็นคอขวดขอบเขตห้าแล้ว เจ้าก็สามารถลงจากเขาไปฝึกประสบการณ์ได้เพียงลำพังแล้ว ถึงเวลานั้นจะเรียกให้หลี่ไหวไปด้วยกันหรือไม่ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง และลาตัวน้อยที่อาจารย์เคยรับปากเจ้าไว้ก็ต้องเตรียมไว้ให้เจ้าด้วยอย่างแน่นอน”
เผยเฉียนหมายมั่นปั้นมือเต็มที่ “อาจารย์ ผ่านยามจื่อไปก็เป็น ‘วันนี้’ แล้ว ตอนนี้ท่านก็สามารถสอนวิชาหมัดให้ข้าได้แล้วนะ”
เฉินผิงอันกดศีรษะเล็กๆ ของนางแล้วผลักออกเบาๆ “ข้าจะคุยธุระกับชุยตงซานสักหน่อย”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “คุยธุระกับอาจารย์จ้ง ยังพอเข้าใจได้ แต่กับห่านขาวใหญ่จะมีธุระอะไรให้คุยกัน อาจารย์ ข้าไม่ง่วง พวกท่านคุยกันไปเถอะ ข้าจะอยู่ฟังด้วย”
ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “แม้แต่คำพูดของอาจารย์ก็ยังไม่ยอมฟัง นี่ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ด้วยนะ หากถึงขอบเขตห้าขอบเขตหกจะไม่ปีนขึ้นฟ้าไปเลยหรือไร”
เผยเฉียนไม่ยอมขยับ ยกสองมือกอดอก แค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ยุแยงอาจารย์และศิษย์คือการกระทำของคนถ่อย!”
ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์ เอาเป็นว่าข้าควบคุมนางไม่ได้ก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วงอลงเบาๆ “กบาลน้อยๆ ปวดหรือไม่?”
เผยเฉียนถึงได้เผ่นหนีไปอย่างขุ่นเคือง
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงเอ่ยว่า “ไปหาเงินอยู่ในหญ้าพุ่มหญ้าหรือไง?”
เผยเฉียนที่ทำหัวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงนั้นตลอดเวลาลุกขึ้นยืนอย่างขลาดๆ “อาจารย์ เมื่อครู่เดินไปได้ครึ่งทางได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องก็เลยมาจับจิ้งหรีด ตอนนี้มันหนีไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไปนอนแล้วจริงๆ นะ”
รอจนเผยเฉียนจากไปไกล
เฉินผิงอันถึงได้กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “รู้ดีว่าบางเรื่องกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นให้ต้องคิดมาก ใช้หลักการเหตุผลไปเกลี้ยกล่อมคนอื่นนั้นง่ายที่สุด แต่พูดโน้มน้าวตัวเองกลับยากจริงๆ”
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “การฝ่าทะลุขอบเขตของเผยเฉียนเร็วไปหน่อยจริงๆ อีกทั้งยังได้กินชะตาบู๊ไปมากมายขนาดนั้น ยังดีที่มีเว่ยป้อช่วยสยบภาพบรรยากาศไว้ให้ อีกทั้งถ้ำสวรรค์หลีจูยังขึ้นชื่อเรื่องคนและเหตุการณ์ประหลาด แต่รอให้เผยเฉียนออกท่องยุทธภพด้วยตัวเองเมื่อไหร่ ตอนนั้นก็คงจะยุ่งยากเข้าจริงๆ”