กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 572.3 เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาลมาพบคน
เรือข้ามทวีปของตระกูลซุนลำนี้มีผู้ดูแลอยู่สองท่าน หนึ่งแจ้งหนึ่งลับ คนที่อยู่ในที่ลับนั้นคือผู้ฝึกตนถวายงานที่ออกมาจากศาลบรรพจารย์สกุลซุนเงียบๆ เฉินผิงอันไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่เคยออกมาจากเรือนหลังเล็ก ผู้ถวายงานท่านนี้ไม่อยากรบกวนการฝึกตนของอีกฝ่ายจึงไม่เคยปรากฏตัว ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องได้สงสัยจริงๆ แล้วว่า เหตุใดเด็กหนุ่มที่ปีนั้นเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสาม ถึงได้สามารถฝ่าทะลุขอบเขตบนวิถีแห่งผู้ฝึกยุทธได้เร็วขนาดนี้ คงไม่ได้เป็นอย่างในนิยายต่อสู้ตามหมู่บ้านร้านตลาด หรืออย่างยุทธภพที่พวกปัญญาชนตกอับชอบคาดเดากันส่งเดชที่บอกว่ากินยาวิเศษเพิ่มกำลังภายในเพิ่มอายุให้ยืนยาวร้อยปี หรือถูกยอดฝีมือที่เก็บตัวอย่างสันโดษมอบพลังชีวิตอะไรให้หรอกนะ
กระทั่งเต่าทะเลภูเขาขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัว ผู้ถวายงานท่านนี้ถึงได้เห็นเฉินผิงอันออกมาจากเรือน มายืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพที่สูงที่สุดบนกระดองของเต่าทะเลภูเขา แหงนหน้ามองตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
เพียงแต่ว่าเวลานี้ผู้ถวายงานทั้งสองท่านของเรือข้ามฟากที่อยู่ในที่ลับและที่แจ้งต่างก็ต้องยุ่งวุ่นวาย จึงล้มเลิกความคิดที่จะปรากฏตัวไปพูดคุยกับเฉินผิงอัน
เมื่อการเข่นฆ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เริ่มดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การค้าที่เรือข้ามฟากของเก้าทวีปใหญ่ที่ข้ามทวีปมาทำการค้ายังภูเขาห้อยหัวจึงยิ่งขยายใหญ่มากขึ้น ทว่ากำไรกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขอแค่มีใจก็จะสังเกตเห็นว่าเรือข้ามทวีปของทักษินาตยทวีปและฝูเหยาทวีปแทบจะไม่บรรจุนักท่องเที่ยวแล้ว ทั้งยังจงใจจำกัดจำนวนผู้โดยสาร ต่อให้จะได้เงินน้อยกว่าเดิม จำต้องเพิ่มค่าความเสียหายในการที่ให้เรือข้ามทวีปลำใหญ่เดินทางไกล แต่ก็ยังต้องคอยเดินทางไปกลับอยู่ถี่ๆ ขนย้ายทรัพยากรจำนวนมากกว่าเดิมจากภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ เห็นได้ชัดว่าสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์สองทวีปนี้เริ่มสอดมือเข้าแทรกเรื่องนี้อย่างลับๆ แล้ว
มีเพียงใบถงทวีปที่ยังคงเป็นเหมือนในอดีต นี่ก็เกี่ยวกับข้อที่ว่าเดิมทีใบถงทวีปก็มีเรือข้ามทวีปอยู่ไม่มากด้วย ใบถงทวีปคือทวีปที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่แต่กลับไม่ชอบคบค้าสมาคมกับโลกภายนอกมากที่สุดในบรรดาเก้าทวีปใหญ่ ผู้ฝึกตนที่ไปฝึกประสบการณ์ที่ใบถงทวีป กับผู้ฝึกลมปราณในท้องถิ่นของใบถงทวีปที่เดินทางไกลไปเยือนทวีปอื่น สัดส่วนของทั้งสองฝ่ายนี้ไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้นภาพจำที่ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปมอบให้แก่ผู้คนจึงเป็นพวกที่ไม่ชอบย้ายถิ่นฐาน
หลักการเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก หนึ่งเพราะใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีแผ่นดินกว้างขวางทรัพยากรมหาศาล มากพอสำหรับประชากรของตัวเองอย่างไม่มีปัญหา ข้อสองก็เพราะเหนือใต้สองทิศมีสำนักใบถงและสำนักกุยหยกเฝ้าพิทักษ์หัวหางกันคนละด้าน อีกทั้งจำนวนภูเขาตระกูลเซียนก็ค่อนข้างน้อย แต่กลับมีขนาดใหญ่ หลายพันปีที่ผ่านมานี้ วิถีทางโลกของทวีปนี้สงบสุขอย่างมาก แต่หายนะร้ายแรงที่ลากเอาสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงสองสำนักใหญ่ให้ติดร่างแหไปด้วยเมื่อหลายปีก่อนนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปรับมือไม่ทัน ยังเป็นเรื่องตลกชวนขบขันที่ไม่เล็กสำหรับใต้หล้าไพศาล ยังดีที่ตอนนี้กลับคืนมาสงบสุขอีกครั้งแล้ว กองกำลังตระกูลเซียนหลายแห่งต่างก็พักฟื้นรักษาตัว
เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างราวระเบียงของหอชมทัศนียภาพ ผู้ฝึกตนรอบกาย ส่วนใหญ่เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป แต่ก็มีผู้ฝึกตนของทวีปอื่นที่เดินทางมาเที่ยวแจกันสมบัติทวีปอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน ในอดีตนี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก
เมื่อสถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปแปรเปลี่ยน วีรกรรมเพียงอย่างเดียวก็พาให้ราชวงศ์ต้าหลีเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบราชวงศ์ใหญ่ของใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตนของทวีปอื่นที่พกพาเอาความสงสัยใคร่รู้มาเยือนแจกันสมบัติทวีปจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้แจกันสมบัติทวีปเป็นเพียงพื้นที่คับแคบอันห่างไกล ทำให้คนเกิดความสนใจไม่ได้เลยจริงๆ หากจะไปก็จะไปที่อุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ หรือไม่ก็ตรงไปที่ใบถงทวีปเลย
จากเหนือไปใต้จะต้องผ่านเมืองหลวงต้าหลี สำนักโองการเทพ สำนักศึกษากวานหู นครมังกรเฒ่าตามลำดับ โดยทั่วไปแล้วนี่ก็คือเส้นทางการท่องเที่ยวของผู้ฝึกตนทวีปอื่น ส่วนสถานที่อื่นๆ ที่มากกว่านี้ ผู้คนกลับไม่ค่อยลงจากเรือไปเยี่ยมชม
บางทีวันหน้าอาจจะเพิ่มสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีปอย่างสำนักเจินจิ้งแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนของเจียงซ่างเจินเข้าไปด้วย
เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงของเจียงซ่างเจินก็ไม่น้อยเลยจริงๆ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่สามารถสร้างคลื่นลมมรสุมอยู่ในอุตรกุรุทวีป แต่กลับยังกระโดดโลดเต้นมีชีวิตอยู่ได้ พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
สำหรับใต้หล้าไพศาลแล้ว อุตรกุรุทวีปคือสถานที่ที่อันตราย อีกทั้งไม่เป็นมิตรอย่างถึงที่สุด ปราณสังหารเข้มข้นเกินไป คนตายที่หากอยู่ทวีปอื่นไม่มีทางตาย มีเยอะมาก
หลังจากที่เฉินผิงอันได้เดินทางผ่านอุตรกุรุทวีปจริงๆ เขากลับรู้สึกว่านี่คือสถานที่ที่มีกลิ่นอายความเป็นยุทธภพมากกว่ากลิ่นอายของเทพเซียน ในอนาคตสามารถไปเยือนบ่อยๆ ได้
เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ ตอนนี้ก็อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
ลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิงแห่งทะเลสาบฝูผิง หลังจากไปถามกระบี่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้วก็น่าจะเดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัวในทันที
น่าเสียดายที่ตอนนี้เฉาสือไม่ได้อยู่บนกำแพงเมืองแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากศึกใหญ่สองครั้งก่อนหน้านี้ผ่านพ้นไป กระท่อมหลังเล็กที่เฉาสือทิ้งไว้ที่นั่น กับกระท่อมของผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เฉินชิงตูจะยังอยู่หรือไม่
ผู้ฝึกตนของทวีปอื่นจำนวนมากที่อยู่ใกล้กับหอชมทัศนียภาพ ส่วนใหญ่พูดคุยกันด้วยภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ในถ้อยคำเหล่านั้นเต็มไปด้วยคำวิจารณ์และข้อเสนอชี้แนะ ยังคงไม่มีความเคารพให้แก่บนภูเขาและล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปสักเท่าไร ยามที่พูดถึงกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่บุกไปที่ไหนที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลองก็ไม่มีถ้อยคำไพเราะชวนฟังใดๆ เพียงแค่เอ่ยว่าพอใช้ได้ อยู่ในแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปเองถือว่าไม่เลว แต่หากเอาไปไว้ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางราบรื่นได้เช่นนี้
นี่ไม่ได้เป็นเพราะว่าในสายตาของคนต่างถิ่นเหล่านี้ไม่เห็นหัวใครไปเสียทั้งหมด เพราะชุยตงซานเองก็เคยบอกว่า แจกันสมบัติทวีปขาดผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน นี่ก็คือความลำบากยุ่งยากใหญ่เทียมฟ้า
หลายสิบปีให้หลัง เมื่อสถานการณ์ใหญ่ดำเนินมาถึง มีเพียงตะพาบเฒ่าที่แอบเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานคนเดียวย่อมไม่มากพอ จะทำอย่างไร ยืม! ยังดีที่ไม่ต้องวิ่งโร่ร้องทุกข์ไปทั่ว ไม่อย่างนั้นเขาชุยตงซานคงอัดอั้นจนกระอักเลือดเก่าให้ตัวเองสำลักตายเป็นแน่
ความลับสวรรค์ที่เปิดเผยอยู่ในถ้อยคำของชุยตงซาน เฉินผิงอันเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ก่อนหน้านี้ราชครูชุยฉานสร้างป๋ายอวี้จิงจำลองขึ้นมา แล้วค่อยให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีฮุบกลืนพื้นที่ของหนึ่งทวีป เขากล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางยืนเฉยรอความตาย พาคนทั้งแจกันสมบัติทวีปไปตายเปล่าๆ อย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหลายลง กวาดตามองไปรอบด้าน ส่วนใหญ่แล้วก็คือมองทัศนียภาพตระการตาของภูเขาห้อยหัวที่อยู่ระหว่างฟ้าดินนั้น
นอกภูเขาห้อยหัวมีลำคลองหลายสายที่เหมือนทั้งเมฆเหมือนทั้งน้ำ แขวนห้อยอยู่ระหว่างยอดเขาและมหาสมุทรใหญ่สี่ด้านแปดทิศ
เหนือภูเขาห้อยหัวขึ้นไปในรัศมีร้อยลี้ นอกจากยอดเขาหลักที่มีเทียนจวินใหญ่ท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแปดแห่ง เฉินผิงอันล้วนเคยไปเยือนมาหมดแล้ว
เมื่อขึ้นภูเขาห้อยหัวครั้งแรกก็ต้องผ่านศาลาจัวฟ่าง คือกรอบป้ายที่เต๋าเหล่าเอ๋อร์ ‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ ของใต้หล้ามืดสลัวท่านนั้นเขียนกับมือตัวเอง ตอนนั้นเฉินผิงอันก็จากลากับหลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่นี่ หลิวโยวโจวไปที่จวนหยวนโหรวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
หอจิ้งเจี้ยนที่แขวนภาพเหมือนของเซียนกระบี่ในแต่ละยุคสมัยไว้จนเต็ม หอซ่างเซียงที่ลู่ไถอยากจะเข้าไปจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษ แต่กลับถูกนักพรตที่เฝ้าประตูไล่ออกมา หอเหลยเจ๋อที่เทพีแห่งการต่อสู้เผยเปยหลอมกระบี่ เรือนหลิงจือที่เฉินผิงอันซื้อบรรพบุรุษเสื้อเกราะน้ำค้างหวานมาได้โดยบังเอิญ นอกจากนี้ยังมีโถงฝ่าอิ้นที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘หอเชวียอี’ หน้าผาหมีลู่ที่มีทัศนียภาพงดงามชวนเคลิบเคลิ้ม หลิ่วป๋อฉีนักพรตหญิงที่หลิ่วชิงซานแห่งแคว้นชิงหลวนแต่งงานด้วยก็มีชาติกำเนิดมาจากเรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัว บนผนังของที่นั่นเคยมีประกาศนำจับซ่งจ่างจิ้งและสวีรั่วด้วยราคาสูงเทียมฟ้า
หลังจากที่เรือข้ามฟากเลียบลำคลองสายหนึ่งจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันก็เอ่ยขอบคุณผู้ดูแลตระกูลซุน จากนั้นจึงเดินขึ้นภูเขาห้อยหัวไปตามลำพังอีกครั้ง
เฉินผิงอันไม่ได้เลือกเรือนหลิงจือที่ทั้งขายของแล้วก็ทั้งเปิดเป็นโรงเตี๊ยม ยังคงเลือกโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่ตั้งอยู่ปลายสุดของตรอกเล็ก เถ้าแก่อึ้งตะลึงไปนาน ก่อนจะเอ่ยเรียก “เฉินผิงอัน?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ
เถ้าแก่จุ๊ปากพูด “ครั้งนี้จินซู่ของเกาะกุ้ยฮวาไม่ได้มากับเจ้าด้วยหรือ? ตอนนี้คนของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้าเอวแข็งกันไม่น้อยนะ เป็นอย่างไร คุณชายเฉินช่วยส่งเสริมกิจการร้านเล็กๆ ของพวกเราด้วยการเลือกห้องชั้นสูงหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เอาเป็นห้องเมื่อคราวก่อนก็แล้วกัน”
ชายฉกรรจ์รู้สึกจนใจเล็กน้อย หยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากในลิ้นชักแล้วโยนให้คนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่เบาๆ “เฉินผิงอัน นิสัยขี้เหนียวนี้ของเจ้าต้องเปลี่ยนแล้วจริงๆ นะ ออกมาอยู่ข้างนอก ไม่ใจป้ำมากพอ จะทำเรื่องใหญ่สำเร็จได้อย่างไร”
เฉินผิงอันไม่รีบไปเข้าพักที่ห้อง แต่ยืนเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองไปยังตรอกเล็กด้านนอกที่คุ้นเคย ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง จะมีเงินเทพเซียนได้สักแค่ไหนกันเชียว”
ชายฉกรรจ์นับนิ้วคำนวณแล้วพูดสัพยอกว่า “นี่ก็เกือบจะสิบปีแล้วกระมัง? หาเงินไม่ได้ ขอบเขตก็เลื่อนขั้นได้ไม่เท่าไร คุณชายใหญ่เฉิน หลังออกไปจากภูเขาห้อยหัวแล้วมัวทำอะไรอยู่ล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เตร็ดเตร่ไปเรื่อยน่ะ”
ชายฉกรรจ์ที่บรรพบุรุษแต่ละรุ่นล้วนเฝ้าดูแลโรงเตี๊ยมแห่งนี้ส่ายหน้ากล่าวว่า “มิน่าเล่าย้อนกลับมาที่ภูเขาห้อยหัวอีกครั้งถึงได้ยังมาเยือนสถานที่เล็กๆ แห่งนี้ของข้า ทำเอาข้าดีใจเก้อเลย”
เฉินผิงอันเอาเหล้าออกมาสองกา ยื่นส่งให้เถ้าแก่หนึ่งกา “เหล้าของบ้านเกิด”
เถ้าแก่เปิดจุกออกดมก็ด่ายิ้มๆ ว่า “เหล้าหมักข้าวเหนียวธรรมดา? เฉินผิงอันเจ้ายังมีหน้าเอาออกมาอีกนะ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนของภูเขาห้อยหัวดีตรงไหนกัน มีเพียงดื่มเจ้านี่ ถึงจะดูมีคุณค่ากว่าหน่อย”
เถ้าแก่ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่มาก คนทั้งสองดื่มเหล้ากันไปช้าๆ เฉินผิงอันสอบถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของของภูเขาห้อยหัวตลอดหลายปีมานี้ เถ้าแก่บอกว่าก็เป็นอย่างนั้นแหละ มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่าง ก็คือภูเขาเดียวดายด้านหลังภูเขาห้อยหัวแห่งนั้น เทียนจวินใหญ่ได้ร่วมมือกับเซียนกระบี่สองคน บุกเบิกประตูใหญ่แห่งใหม่ที่มุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่ทำการค้าจะต้องเดินผ่านเส้นทางนั้นทั้งหมด ช่วยไม่ได้ ไม่ถึงสิบปีก็เกิดสงครามตายที่โหดร้ายจนแทบไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริงบนโลกถึงสองครั้ง อาศัยแค่ทรัพยากรที่เดิมทีถูกขนส่งผ่านทางประตูใหญ่กระจกบานนั้นจึงไม่พอใช้ แต่ตอนนี้มีการควบคุมอย่างเข้มงวดแล้ว เรื่องการท่องเที่ยวก็ยิ่งถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เกี่ยวข้องทุกคน ต่อให้คิดจะไปชมทัศนียภาพที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มากแค่ไหนก็ยากแล้ว หากไม่มีช่องทางสักหน่อยก็อย่าได้หวังเลย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่ามีเงินหรือไม่มีเงินแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เมืองที่อยู่ด้านหลังกำแพงเมืองปราณกระบี่เกิดช่องโหว่ที่ใหญ่เทียมฟ้าเพราะสาเหตุที่ปลาและมังกรปะปนกัน แต่รายละเอียดเป็นอย่างไร ทางภูเขาห้อยหัวปิดข่าวทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่อย่างนั้นตอนนั้นภูเขาห้อยหัวก็คงไม่มีทางเข้มงวดขนาดนั้น แม้แต่การห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาลก็ยังปรากฏขึ้น โดยมีผู้ฝึกตนของเรือนซือเตาเป็นผู้นำ ตรวจสอบป้ายห้อยเอวของผู้ฝึกตนภูเขาห้อยหัวทุกคนภายในวันเดียว ขนาดจวนส่วนตัวใหญ่ทั้งสี่แห่งซึ่งรวมถึงจวนหยวนโหรวด้วยก็ยังไม่เว้น ผลคืออยู่ดีๆ กลับเกิดความขัดแย้งที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุขึ้นมาอีก สรุปก็คืออึกทึกครึกโครมอย่างมาก
เฉินผิงอันถามว่าสงครามครั้งที่สามจะเกิดขึ้นประมาณช่วงไหน
เถ้าแก่ยิ้มกล่าวว่าเรื่องประเภทนี้ อย่าว่าแต่ใครจะรู้เลย แม้แต่สวรรค์ก็ไม่รู้
สุดท้ายเถ้าแก่ดื่มเหล้า พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ภูเขาห้อยหัวไม่ค่อยสงบเลย”
ศึกใหญ่สองครั้งก่อนหน้านี้ประหลาดเกินไป ความโหดร้ายนั้นไม่แพ้ให้กับในอดีตแม้แต่น้อย แต่กลับเกิดขึ้นอย่างกระชั้นชิด เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายมีคนตายเร็วมากและเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าในอดีต ไม่เหมือนท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานก่อนหน้านี้ที่ทุกครั้งหากสองฝ่ายปะทะกันก็จะมีสงครามเกิดขึ้นอีกเป็นระยะแบบขาดๆ หายๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะต่อเนื่องยาวนานไปเป็นระยะเวลายี่สิบสามสิบปี แต่ครั้งนี้กลับเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบปี เซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่เป็นหนึ่งในผู้นำของผู้ฝึกกระบี่ท่านนั้นก็ตายอยู่ในสงครามใหญ่ครั้งที่สอง
เฉินผิงอันกล่าว “ใกล้ระยะประชิด นี่ก็ไม่ค่อยสงบมาเป็นหมื่นปีแล้ว”
เถ้าแก่ยิ้ม “คือหลักการนี้แหละ”
คนทั้งสองชนกาเหล้ากันเบาๆ แล้วดื่มเหล้าที่เหลืออยู่จนหมด