กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 576.1 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 576.1 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ
หนิงเหยาตั้งใจหลอมลมปราณอยู่บนหน้าผาสังหารมังกร
เฉินผิงอันไม่ได้ไปที่ศาลา แต่ฝึกตนอยู่ในเรือนหลังเล็กของตน
หนิงเหยายังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเห็นได้ชัดว่าปราณวิญญาณของแท่นสังหารมังกรแถบนี้เปี่ยมล้นมากกว่า เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการฝึกตนของจวนหนิง แม้จะบอกว่าเฉินผิงอันไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ประโยชน์ที่ได้รับย่อมน้อยกว่า แต่เมื่อเทียบกับสถานที่แห่งอื่นแล้วก็ยังคงเป็นสถานที่ที่สมควรเลือกเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ทำเพียงแค่มองหนิงเหยาอยู่เงียบๆ
หนิงเหยาจึงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า มิน่าเล่าถึงได้ฝึกตนช้าขนาดนี้
เฉินผิงอันจึงยิ่งจนใจมากกว่าเดิม
ในสวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆของอุตรกุรุทวีป และบนภูเขาอย่างภูเขาเหมิงหลงของแจกันสมบัติทวีป สามารถเลื่อนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสี่ได้ในเวลาสิบปี ไม่ถือว่าช้าแล้วจริงๆ
น่าเสียดายที่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเร็วในการฝึกตนของเฉินผิงอันก็สมกับคำกล่าวที่ว่าเต่าย้ายบ้าน มดย้ายรังของเผยเฉียนอย่างแท้จริง
ทว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเขาคนนี้ ไม่พูดถึงการฝึกหมัดของนาง พูดถึงแค่ปราณกระบี่สิบแปดหยุด ปีนั้นตนที่เป็นอาจารย์คิดจะถ่ายทอดประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเสียหน่อยก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนิงเหยา ปีนั้นตอนที่พูดถึงปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ เฉินผิงอันถามว่าคนวัยเดียวในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะสามารถควบคุมได้ หนิงเหยาจึงบอกให้ฟังว่าพวกเยี่ยนจั๋ว เตี๋ยจ้างใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะควบคุมวิธีหลอมลมปราณและวิธีหลอมกระบี่ของปราณกระบี่สิบแปดหยุดได้ เดิมทีนั่นก็ทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงมากพออยู่แล้ว ผลคือเขาเองทนไม่ไหวจึงถามความเร็วของหนิงเหยาว่าเป็นอย่างไร หนิงเหยาหัวเราะเฮอๆ ที่แท้นั่นก็คือคำตอบแล้ว
เพราะฉะนั้นตอนนั้น เฉินผิงอันถึงขั้นรู้สึกว่าที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่บอกว่าตนมีคุณสมบัติของเซียนดิน ก็เป็นแค่คำปลอบใจเท่านั้น
หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วยาม เฉินผิงอันที่ใช้วิธีการฝึกตนมองถ้ำสวรรค์ภายใน ปล่อยดวงจิตที่เล็กเท่าเมล็ดงาให้จมจ่อมอยู่ในเรือนไม้ก็ค่อยๆ ถอยออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมายาวเหยียด หยุดการฝึกตนไว้ก่อนชั่วคราว เฉินผิงอันไม่ได้ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งเหมือนในอดีต แต่ออกจากเรือนมายืนอยู่ตรงระเบียงแห่งหนึ่งที่ห่างจากแท่นสังหารมังกรมาพอสมควร มองไกลๆ ไปยังศาลาหลังนั้น ผลคือเขามองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดภาพหนึ่ง ที่นั่น ปราณกระบี่ในฟ้าดินมารวมตัวกันจนเกิดเป็นแสงแก้วใสเจ็ดสี เหมือนนกตัวน้อยแอบอิงคนที่ค่อยๆ บินล้อมวนอยู่ช้าๆ หากมองไปยังจุดที่สูงกว่าอีกสักหน่อยยังถึงขั้นมองเห็นบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับ ‘เส้นสายน้ำ’ อยู่ด้วย นี่คงจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างถ้ำสวรรค์น้อยใหญ่อย่างฟ้าดินและร่างกายมนุษย์กระมัง อาศัยสะพานแห่งความเป็นอมตะของจวนเซียนทำให้คนและฟ้าดินสอดผสานรวมกันเป็นหนึ่ง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงเสาระเบียง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ดูเอาเถอะ แม่นางที่ข้าตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น ยามที่ตั้งใจฝึกตนขึ้นมา ร้ายกาจหรือไม่เล่า?
ในขณะที่เฉินผิงอันแอบเบิกบานใจอยู่กับตัวเอง ผู้เฒ่าก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ ถามด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะตกตะลึงเล็กน้อย “คุณชายเฉินมองเห็นด้วยหรือว่าปณิธานเซียนกระบี่บริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ในฟ้าดินพวกนั้นโปรดปราณคุณหนูของพวกเราอย่างถึงที่สุด?”
เฉินผิงอันรีบขยับตัวยืนดีๆ เอ่ยตอบว่า “ท่านปู่น่าหลัน แค่พอจะมองเบาะแสบางอย่างออก ไม่ได้เห็นชัดเจนมากนัก”
น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “พูดถึงแค่สายตาของคุณชายเฉิน นี่ก็ไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของพวกเราแล้ว”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “หนิงเหยาจะฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองได้เมื่อไหร่?”
น่าหลันเย่สิงกล่าว “อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอให้ศึกใหญ่ครั้งถัดไปปิดฉากลงกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “ทุกครั้งที่หนิงเหยากับเพื่อนออกจากหัวกำแพง ตอนนี้ข้างกายมีอาจารย์กระบี่ติดตามอยู่กี่คน มีขอบเขตเท่าไร?”
น่าหลันเย่สิงยิ้มตอบ “ตอนที่คุณชายเฉินจากไป การเข่นฆ่าครั้งนั้น คนสามสิบกว่าคนที่รวมคุณหนูของข้าอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ออกจากหัวกำแพงเมืองไปทางทิศใต้ ทุกคนล้วนมีอาจารย์กระบี่ติดตามไปเป็นองค์รักษ์ แน่นอนว่าเตี๋ยจ้างก็มี เพราะว่าเด็กกลุ่มนี้ล้วนถือเป็นเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในเรื่องนี้ ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปช่วยได้มากจริงๆ ไม่อย่างนั้นหากมีแค่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็คงไม่เพียงพอ ช่วยไม่ได้ เด็กรุ่นของคุณหนูมีพรสวรรค์กันมากจริงๆ อาจารย์กระบี่ที่รับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ส่วนใหญ่มักจะมีพลังพิฆาตสูง ออกกระบี่ได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่ต้องการก็คือเมื่อออกหนึ่งกระบี่ไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็สามารถแลกชีวิตกับนักฆ่าของเผ่าปีศาจได้”
“นอกจากนี้แล้วก็ยังมีข้ารับใช้เก่าแก่ของจวนหนิงอย่างข้าที่คอยให้การปกป้องคุณหนูอย่างลับๆ เยี่ยนจั๋ว เฉินซานชิวก็มีอาจารย์กระบี่ของตระกูลคนหนึ่งรับหน้าที่เป็นนักรบเดนตาย พอถึงสงครามครั้งที่สอง เด็กรุ่นหลังพวกนี้ก็พากันฝ่าทะลุขอบเขต ตามกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรหรือมีสถานะแบบไหน เมื่อเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่จัดหาอาจารย์กระบี่ไปช่วยคุ้มกันให้อีก พวกคุณหนูคือกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งแต่ละคนยังมีความหวังบนมหามรรคา เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่มีอาจารย์กระบี่ทั่วไป แต่ก็ยังมีเซียนกระบี่คนหนึ่งที่เป็นผู้ถ่ายทอดกระบี่ให้ด้วยตัวเอง เป็นทั้งผู้ปกป้องมรรคา แล้วก็เป็นทั้งผู้ถ่ายทอดมรรคา เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ท่านนี้ไม่จำเป็นต้องคอยดูแลเด็กรุ่นหลังให้มากเกินไปนัก ส่วนใหญ่แล้วก็ยังต้องรับผิดชอบความเป็นความตายกันเอาเอง พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้พวกคุณหนูล้วนรบตายกันหมด เซียนกระบี่ที่เหลือรอดชีวิตเพียงลำพังท่านนั้นก็ไม่มีทางถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่ตำหนิเอาโทษแม้แต่ครึ่งคำ”
น่าหลันเย่สิงกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรแปลก รอจนพวกคุณหนูเติบโตอย่างแท้จริงก็จะต้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์กระบี่ผู้ติดตามให้กับเด็กรุ่นหลัง กำแพงเมืองปราณกระบี่มีการสืบทอดเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนชื่อแซ่ใด แน่นอนว่าอยู่ในนครแห่งนี้ย่อมมีประโยชน์ ในช่วงเวลาของความสงบสุขระหว่างศึกใหญ่สองครั้ง ทรัพย์สินและทรัพยากรในการฝึกตน เมื่อเทียบกับคนที่มีชาติกำเนิดยากจนแล้ว ลูกหลานแซ่ใหญ่ล้วนได้เปรียบอย่างแท้จริง แต่พอไปถึงสนามรบทางทิศใต้ จะแซ่อะไรก็ไร้ความหมายแล้ว ขอแค่ขอบเขตสูง อันตรายก็ยิ่งมาก ในประวัติศาสตร์ก็ใช่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราจะไม่มีพวกรักตัวกลัวตาย มีคุณสมบัติและฐานะทางบ้านดีเสียเปล่า แต่จิตแห่งกระบี่กลับไม่ได้เรื่อง ก็เลยจงใจเผาผลาญเวลาทิ้งอย่างเสียเปล่า ทั้งชีวิตได้ขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองแค่ไม่กี่ครั้ง”
น่าหลันเย่สิงมองไปทางแท่นสังหารมังกรแล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ก็มีดีอยู่อย่างหนึ่ง การปรากฏตัวของแซ่ใหญ่ในแต่ละครั้งล้วนจะต้องตามมาด้วยเรื่องราวอันน่าตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับการสังหารปีศาจใหญ่ด้วย นี่จึงเป็นเหตุให้เมล็ดพันธ์ผู้ฝึกกระบี่ที่ครอบครัวยากจน แต่กลับฝึกตนได้เร็วจะเข้าใจมาตั้งแต่เด็กว่า ทำเพื่อตัวเองก็ดี เพื่อลูกหลานก็ช่าง สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็หนีไม่พ้นสังหารปีศาจให้ได้มากขึ้น จากนั้นก็มีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อมีชีวิตอยู่ยาวนานถึงจะมีโอกาสก่อร่างสร้างตัว บุกเบิกจวนใหญ่ กลายเป็นเรื่องราวเรื่องใหม่จากปากของคนรุ่นหลัง”
นายท่านของตนมีชาติกำเนิดจากจวนหนิง หนึ่งในความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ก็คือ สืบทอดควันธูปต่อไป สร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่วงศ์ตระกูลอีกครั้ง ช่วยให้แซ่หนิงกลับคืนมาอยู่ในอันดับของแซ่ใหญ่ลำดับต้นๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง
ความปรารถนาอีกอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าหวังให้หนิงเหยาบุตรสาวของเขาได้แต่งงานกับคนดีที่คู่ควรแก่การฝากฝัง
เฉินผิงอันกล่าว “ทางฝั่งของใต้หล้าไพศาล มีหลายคนที่ไม่คิดเช่นนี้”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าว “ตอนที่ข้ายังเด็ก ตัวข้าเองก็เป็นคนประเภทนี้ เห็นคนวัยเดียวกันของบ้านเกิดไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ ก็จะบอกกับตัวเองว่า พวกเขาก็แค่มีพ่อแม่ที่แข็งแรง ในบ้านมีเงิน ขนมของตรอกฉีหลงมีอะไรอร่อย กินมากไปก็ไม่อร่อยเลยสักนิด แอบน้ำลายไหลไปด้วยแล้วก็คิดแบบนี้ไปด้วย ก็จะไม่อยากกินถึงขนาดนั้นอีกแล้ว หรือหากอยากกินจริงๆ ก็มีวิธี แค่วิ่งกลับไปที่ลานบ้านของตัวเอง มองปลาน้อยที่จับมาจากในลำธารแล้วเอามาวางตากแดดบนกำแพงไว้ มองหลายๆ ทีหน่อยก็พอประทังให้หายหิว พอให้คลายความอยากไปได้บ้าง”
เพราะฉะนั้นเฉินผิงอันกับเผยเฉียน พวกเขาที่ตอนแรกยังไม่กลายเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กัน ตอนที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวจึงเหมือนคนประเภทเดียวกัน แต่กลับเป็นเรื่องราวคนละเรื่องราว
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ท่านปู่น่าหลัน ฟังข้าพูดเรื่องพวกนี้ต้องทำลายบรรยากาศมากแน่ๆ”
น่าหลันเย่สิงคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นไร อยู่ที่นี่ล้วนได้ฟังคนเล่าเรื่องใหญ่มาตลอดชีวิต เรื่องเล็กน้อยยิบย่อยพวกนี้ได้ยินน้อยครั้ง คราวก่อนก็คือครั้งที่คุณหนูกลับมาจากใต้หล้าไพศาล น่าเสียดายที่คุณหนูไม่ค่อยชอบพูด เพราะฉะนั้นจึงเล่าอะไรให้ฟังไม่มาก เรื่องขนบธรรมเนียมของใต้หล้าไพศาลและประสบการณ์การท่องเที่ยวภูเขาสายน้ำของคุณหนูนั้น สำหรับคนที่ชั่วชีวิตแม้แต่ภูเขาห้อยหัวก็ยังไม่เคยไปเยือนอย่างพวกเรา ฟังแล้วน่าสนใจอย่างยิ่ง”
น่าหลันเย่สิงพูดกับเฉินผิงอันว่า “แม้ว่าตอนนี้คุณชายเฉินจะยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่สะพายกระบี่เล่มนั้น บวกกับมีกระบี่บินพวกนั้น ก็อย่าไปสนเลยว่าจะใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตหรือไม่ ควรจะขัดเกลาพวกมันเพิ่มขึ้นสักหน่อย อย่าปล่อยแท่นสังหารมังกรไว้ให้เสียเปล่า ตระกูลหนิงปกป้องมัน ไม่ยอมขายให้ใครทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าอยากจะเอาตั้งไว้เป็นเครื่องประดับ หากแค่ข้อนี้คุณชายเฉินยังคิดได้ไม่กระจ่างก็คงทำให้คนผิดหวังแล้ว ปีนั้นนายท่านมักจะบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าเมื่อไหร่ที่คนรุ่นหลังของตระกูลหนิงสามารถอาศัยความสามารถของตัวเองมากินแท่นสังหารมังกรนี้จนหมด นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยก็ไม่เกรงใจแล้ว”
น่าหลันเย่สิงโบกมือ “คุณชายเฉินมักจะทำตัวห่างเหินแบบนี้ ไม่ดีหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากท่านปู่น่าหลันไม่ได้เป็นคนเปิดปากพูดเอง แล้วอยู่ดีๆ ผู้น้อยก็แล่นไปลับกระบี่ ในใจของท่านปู่น่าหลันจะไม่ตะขิดตะขวงหรือ? จะไม่รู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นี้ นิสัยใจคอก็พอจะใช้ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไรหรอกหรือ?”
น่าหลันเย่สิงตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังก้อง “ก็จริงนะ”
เฉินผิงอันหัวเราะตาม “ข้ารอประโยคนี้ของท่านปู่น่าหลันมานานมากแล้ว”
น่าหลันเย่สิงตบไหล่ของชายหนุ่มชุดเขียว แสร้งทำเป็นโกรธ “เจ้าตัวดี ฉลาดเจ้าเล่ห์เสียจริง ยังดีที่ยามอยู่กับคุณหนู นับว่ายังมีความจริงใจอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร รับรองว่าเจ้าเข้าบ้านมาแล้วก็ยังอยู่ต่อไม่ได้แน่นอน”
เฉินผิงอันไม่ได้หลบ ไหล่จึงเอียงไปข้างหนึ่ง
กำแพงเมืองปราณกระบี่คือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือสถานที่ฝึกตนที่ผู้ฝึกตนปรารถนาแม้แต่ในยามหลับฝัน แต่ก่อนจะมาเยือนได้ แน่นอนว่าต้องสามารถแบกรับการกัดกร่อน บั่นทอนทำลายของปณิธานกระบี่ไร้รูปลักษณ์ที่อยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน ผู้ฝึกลมปราณทุกคนเว้นจากผู้ฝึกกระบี่ที่คุณสมบัติแย่หน่อยก็จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในด้านความก้าวหน้าของการเดินขึ้นเขา เมื่อตั้งใจหลอมลมปราณ ยามที่ถ้ำสถิตเปิดออก ปราณกระบี่กับปราณวิญญาณผสมปนเปจนขุ่นมัว ร่วมกันกรอกเทเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่สำคัญแห่งต่างๆ ราวกับกระแสน้ำขึ้น ลำพังเพียงแค่การกำจัดเอาปราณกระบี่ที่รุกรานออกไปก็ทำให้ผู้ฝึกลมปราณปวดหัว ทรมานจนพูดไม่ออกแล้ว
น่าเสียดายก็แต่ต่อให้ข้ามผ่านด่านนี้ไปได้ก็ยังไม่อาจหยุดพักอยู่ได้นานนัก นี่ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์ด้านการฝึกตนแล้ว แต่เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ชอบผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว เว้นเสียจากว่ามีวิธี และยังต้องมีเงิน เพราะว่านั่นคือเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งที่ไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตใดก็ต้องเสียดายอย่างสุดซึ้ง ราคายุติธรรม ทุกขอบเขตจะมีราคาเป็นของตัวเอง นี่ก็คือกฎที่บรรพบุรุษของเจ้าอ้วนเยี่ยนเป็นผู้ตั้ง ในประวัติศาสตร์เคยมีการเปลี่ยนแปลงราคาอยู่สิบเอ็ดครั้ง แต่ละครั้งล้วนเป็นดั่งเรือที่ลอยขึ้นตามกระแสน้ำ ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้ลดราคาลงเลย
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันพูดคุยเรื่องในอดีตของตระกูลเหยากับป๋ายหมัวมัวอยู่หลายเรื่อง รวมไปถึงเรื่องตอนที่หนิงเหยายังเป็นเด็ก
วันนี้จึงสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับศึกใหญ่สองครั้งล่าสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่จากผู้ฝึกกระบี่อย่างผู้อาวุโสน่าหลันเย่สิง
เฉินผิงอันพูดคุยกับผู้เฒ่าอยู่พักหนึ่งก็ขอตัวลาจากไป
ก่อนจะไป เขาถามคำถามหนึ่งว่า คราวก่อนเซียนกระบี่ที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับพวกหนิงเหยาเยี่ยนจั๋วคือใคร ผู้เฒ่าบอกว่าบังเอิญยิ่งนัก ก็คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า นามว่าเว่ยจิ้น
Next