กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 579.1 ศิษย์พี่ศิษย์น้องสายเหวินเซิ่ง
ผังหยวนจี้เดินออกมาช้าๆ บนร่างนอกจากฝุ่นผงที่ไม่ได้ตั้งใจปัดออกแล้วก็มองความผิดปกติอย่างอื่นไม่ออกอีก
เฉินผิงอันสบตากับเขา ผังหยวนจี้พยักหน้าให้ แล้วเดินผ่านสวนไหล่เฉินผิงอันมา เดินไปทางร้านเหล้าที่มานั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ผังหยวนจี้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ตะโกนเสียงดังว่า “คนที่ลงเดิมพันว่าข้าจะชนะ ขอโทษที วันนี้ค่าเหล้าของทุกท่าน…”
ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแม้แต่นิดเดียว อะไรที่ควรจ่ายก็จ่าย อะไรที่เชื่อได้ก็เชื่อไว้ก่อน อาศัยความสามารถของตัวเองกันไป”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผังหยวนจี้ก็ยกมืออุดปาก พอแบมือออกแล้วก็สะบัดมือ ในมือมีแต่เลือดสด
พอมาถึงร้านเหล้า เกาขุยเซียนกระบี่ในพื้นที่ก็ยื่นเหล้าถ้วยหนึ่งส่งมาให้ หยวนชิงสู่เซียนกระบี่จากทักษิณาตยทวีปเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ผังหยวนจี้กล่าวอย่างจนใจ “ทำให้เซียนกระบี่ทั้งสองท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว”
เกาขุยเอ่ย “ก็แค่แพ้เท่านั้น ไม่ตายก็พอ”
หยวนชิงสู่พยักหน้ารับ “ดีกว่าฉีโซ่วเยอะเลย”
ผังหยวนจี้หันหน้าไปมอง คนกลุ่มนั้นเดินห่างไปไกลแล้ว เยี่ยนจั๋วเรียกเมล็ดลูกท้อแกะสลักลูกหนึ่งออกมา มันพลันแปรเปลี่ยนเป็นรถม้าหรูหราหนึ่งคันที่นำพาพวกเพื่อนๆ ของเขาไปจากถนนใหญ่
ในห้องโถยสารอันกว้างขวาง เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ หนิงเหยานั่งอยู่ด้านข้าง
เจี้ยนเซียนมีจิตเชื่อมโยงอยู่กับเขาจึงแหวกอากาศกลับไปที่จวนหนิงด้วยตัวเองแล้ว
เยี่ยนจั๋วต้องใช้พื้นที่มาก จึงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเฉินซานชิว ต่งถ่านดำและเตี๋ยจ้างสามคน
บรรยากาศค่อนข้างจะเงียบงัน
เฉินผิงอันเปิดปากถาม “จวนหนิงมียาวิเศษที่ช่วยให้เนื้องอกบนกระดูกหรือไม่?”
หนิงเหยาพยักหน้า
เยี่ยนจั๋วชำเลืองตามองแขนข้างนั้นของเฉินผิงอัน ถามว่า “ไม่เจ็บสักนิดเลยหรือ?”
อาการบาดเจ็บล้วนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในห้องโดยสาร ลำพังแค่เตี๋ยจ้างก็เคยถูกเผ่าปีศาจตัดแขนไปข้างหนึ่งแล้ว
แต่ไม่ขมวดคิ้วสักครั้งตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเฉินผิงอันนี่ กลับมีให้เห็นไม่บ่อยนัก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยังพอไหว เพียงแต่เรื่องที่ต้องจัดการกับปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่จากกระบี่บินกวงอินของผังหยวนจี้และกระบี่บินเที่ยวจูของฉีโซ่วนี่แหละที่ค่อนข้างยุ่งยาก”
หนิงเหยาเอ่ย “พูดให้น้อยหน่อย”
เฉินผิงอันจึงเริ่มหลับตาพักผ่อน
มาถึงจวนหนิง ป๋ายหมัวมัวกับน่าหลันเย่สิงมารออยู่ที่หน้าประตูก่อนแล้ว เห็นสภาพของเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นป๋ายเลี่ยนซวงที่เป็นผู้ฝึกยุทธบนยอดเขาซึ่งคุ้นเคยกับการขัดเกลาร่างกายด้วยความยากลำบากเป็นอย่างดี ก็ยังอดเวทนาเขาไม่ได้ น่าหลันเย่สิงเอ่ยเพียงแค่ประโยคเดียวว่า ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่จากกระบี่บินของคนทั้งสองที่หลงเหลืออยู่ เขาจะไม่ช่วยดึงออกให้ เหลือไว้ให้คุณชายเฉินสาวเส้นไหมสืบเสาะเอาเอง นี่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ที่ไม่เล็กเช่นกัน เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นอยู่พอดี
หญิงชราพาเฉินผิงอันไปที่คลังยาของจวนหนิงเพื่อหายามารักษาอาการบาดเจ็บให้เขา
หนิงเหยากับเพื่อนอีกสี่คนนั่งอยู่ในศาลาของหน้าผาสังหารมังกร
พวกเยี่ยนจั๋วสี่คน นอกจากถ่งต่านดำที่ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงแค่นั่งเหม่ออยู่กับที่แล้ว คนที่เหลืออีกสามคนต่างก็เบิกตากว้างมองหน้ากันไปมา ถ้อยคำนับพันนับหมื่นมารออยู่ตรงปาก แต่กลับเปิดปากพูดไม่ออก
หนิงเหยาเอ่ยเนิบช้าว่า “แค่ตัดสินแพ้ชนะ หากฉีโซ่วไม่ประมาท ไม่ต้องชนะให้งดงามนัก เลือกที่จะทุ่มฝีมือเต็มที่เรียกกระบี่บินทั้งสามออกมาตั้งแต่แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งใจควบคุมค่ายกลกระบี่เที่ยวจูให้มากกว่าเดิม ไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้เข้าประชิดตัว บวกกับซินเสียนที่สามารถติดตามจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้ได้ เฉินผิงอันก็ต้องแพ้ ผู้ฝึกยุทธกับผู้ฝึกกระบี่ หากแข่งกันในเรื่องความทอดยาวของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่ง กับความมากน้อยของปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณแล้วล่ะก็ ต้องเป็นฉีโซ่วที่ได้เปรียบอย่างแน่นอน”
“หากตัดสินด้วยความเป็นความตาย ทั้งเฉินผิงอันและผังหยวนจี้ต่างก็ต้องตาย”
ต่อมาหนิงเหยาก็เอ่ยเสริมอีกว่า “แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ชนะในศึกยากลำบากทั้งสองศึกนี้มาได้ ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันโชคดี แต่เป็นเพราะสมองของเขาดีกว่าฉีโซ่วและผังหยวนจี้ ในด้านฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีบนสนามรบนั้น เขาคิดมากกว่า คิดได้รอบคอบรัดกุมกว่า ถ้าอย่างนั้นขอแค่เฉินผิงอันออกหมัดออกกระบี่ได้เร็วมากพอ ก็จะสามารถชนะได้ ทว่าก่อนจะเป็นเช่นนี้ได้ก็ยังมีเงื่อนไขที่ใหญ่มากข้อหนึ่ง นั่นคือเฉินผิงอันต้องรับกระบี่บินของคนทั้งสองได้เสียก่อน พวกเจ้าล้วนทำไม่ได้ รากฐานผู้ฝึกกระบี่ของพวกเจ้าห่างชั้นจากผังหยวนจี้และฉีโซ่วไกลโขนัก เพราะฉะนั้นยามที่พวกเจ้าต่อสู้กับคนทั้งสอง จะไม่ใช่การเข่นฆ่า มีแต่จะเป็นการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย พวกเจ้ากล้ากระโจนเข้าหาความตาย สังหารปีศาจบนสนามรบทางทิศใต้ ไม่มีความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ตายก็ตาย เป็นเหตุให้ตบะสิบส่วนสามารถมีปณิธานกระบี่ได้ถึงสิบสองส่วน ออกกระบี่ได้อย่างไม่ติดขัด แบบนี้ดีมาก น่าเสียดายก็แต่หากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไปจับคู่ต่อสู้กับผังหยวนจี้หรือฉีโซ่ว พวกเจ้าก็ต้องกลัดกลุ้มแล้ว เพราอะไร? ผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์มีคำกล่าวถึงจิตบู๊ หากพูดตามนี้ก็คือจิตบู๊ของพวกเจ้าแย่เกินไป”
หนิงเหยาเอ่ยต่อไปว่า “ตอนที่ต่อสู้กับฉีโซ่ว ช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้สถานการณ์การรบเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็คือวินาทีที่ฉีโซ่วเรียกซินเสียนออกมา ตอนนั้นเฉินผิงอันมอบความรู้สึกลวงตาให้แก่ฉีโซ่ว นั่นก็คือเขารับมือกับซินเสียนอย่างฉุกละหุก และความเร็วของร่างกายเฉินผิงอันก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น ดังนั้นหลังจากที่ฉีโซ่วโดนหมัดเขาไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟยเยวียนยังอยู่ห่างเสี้ยวหนึ่งตลอดเวลา ไม่อาจทำร้ายเฉินผิงอันได้สักที เขาก็เข้าใจแล้วว่า ต่อให้เฟยเยวียนเร็วกว่านี้อีกเสี้ยวหนึ่ง อันที่จริงก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ใครเป็นคนจูงใครเป็นหมา แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เพียงแต่ว่าภายนอกมองดูเหมือนฉีโซ่วรับมือกับคู่ต่อสู้ได้อย่างสง่างาม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับค่อยๆ เผาผลาญข้อได้เปรียบของตัวเองไปทีละนิด แต่เฉินผิงอันกลับเก็บซ่อนอำพรางได้ดีมากกว่า วางแผนเชื่อมโยงต่อกันเป็นทอดๆ ก็เพื่อหมัดที่สองที่เปิดทางด้วยหมัดแรก ชื่อหมัดคือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า คือวิชาหมัดชนิดหนึ่งที่ข้าเอาอาการบาดเจ็บของข้าไปแลกกับชีวิตของเจ้า แล้วก็เป็นกระบวนท่าหมัดที่เฉินผิงอันเชี่ยวชาญที่สุด”
ตอนที่หนิงเหยาเอ่ย
พวกเยี่ยนจั๋วถึงขั้นไม่เอ่ยถามอะไร เพียงแค่รับฟังเงียบๆ เท่านั้น
หนิงเหยาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตอนนี้พวกเจ้าคงจะรู้แล้วว่า ศึกกับฉีโซ่ว ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มสุดก็คือการปูพื้นฐานที่เฉินผิงอันเตรียมรอไว้สำหรับการต่อสู้กับผังหยวนจี้ เยี่ยนจั๋ว เจ้าเคยเห็นยันต์ฟางชุ่นของเฉินผิงอันมาก่อน แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดการเข่นฆ่าสองครั้งบนถนนใหญ่ เฉินผิงอันใช้ยันต์ฟางชุ่นทั้งหมดสี่ครั้ง แต่เหตุใดการรับมือกับคนสองคน อานุภาพของยันต์ฟางชุ่นถึงได้ต่างกันราวฟ้ากับเหว? ง่ายมาก ยันต์ชนิดเดียวกันในใต้หล้านี้ ยังแบ่งออกเป็นวัสดุกระดาษยันต์ที่ระดับขั้นแตกต่าง แสงศักดิ์สิทธิ์ของแก่นยันต์ที่มีจิตวิญญาณไม่เหมือนกัน เหตุผลนั้นง่ายมาก เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ผังหยวนจี้โง่หรือ? ไม่โง่เลยสักนิด ผังหยวนจี้ฉลาดแค่ไหนกันแน่ คนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนรู้ดี ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมีฉายาว่า ‘ผังร้อยสำนัก’ ได้ แต่เหตุใดถึงยังถูกเฉินผิงอันวางแผนเล่นงาน อาศัยยันต์ฟางชุ่นมาพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ กลายเป็นฝ่ายที่กุมชัยชนะได้? เพราะศึกระหว่างเฉินผิงอันกับฉีโซ่ว ยันต์ย่อพื้นที่วัสดุธรรมดาสองแผ่นนั้น เฉินผิงอันจงใจใช้มันให้ผังหยวนจี้เห็น จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าในการต่อสู้ครั้งแรก ยันต์ฟางชุ่นปรากฎตัวแล้ว แต่กลับไม่ได้มีประโยชน์ต่อการตัดสินแพ้ชนะมากนัก พวกเราทุกคนล้วนมีแนวโน้มว่าจะเชื่อในสิ่งที่ตามองเห็น ผังหยวนจี้จึงประมาทโดยไม่รู้ตัว หากมีเพียงแค่เท่านี้ แค่การงัดข้อกัน แข่งกันใช้สมองในเรื่องของยันต์ฟางชุ่น อันที่จริงผังหยวนจี้จะยิ่งต้องระมัดระวังมากกว่านี้ แต่เฉินผิงอันยังมีเวทอำพรางตามากกว่านั้น เขาจงใจให้ผังหยวนจี้เห็นเรื่องสองเรื่องที่เขาเฉินผิงอันจงใจไม่ให้คนอื่นได้เห็น เมื่อเทียบกับเรื่องยันต์ฟางชุ่นแล้ว นั่นถึงจะเรียกว่าเรื่องใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นผังหยวนจี้สังเกตเห็นว่ามือซ้ายของเฉินผิงอันยังไม่เคยได้ออกหมัดอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันจะซ่อนกระบี่บินเล่มที่สี่ไว้หรือไม่”
เยี่ยนจั๋วและเฉินซานชิวมองหน้ากันเองแล้วยิ้มจืดเจื่อน
เตี๋ยจ้างฟังแล้วก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางพยายามจะทำใจให้สงบรวบรวมสมาธิไปทบทวนรายละเอียดทั้งหมดในศึกใหญ่บนถนนอย่างละเอียด นางก็ถึงเพิ่งค้นพบว่า ที่แท้การเข่นฆ่าสองครั้งนั้น เฉินผิงอันต้องสิ้นเปลืองความคิดไปมากแค่ไหน วางหลุมพรางไว้มากเท่าไร ที่แท้ทุกหมัดที่ปล่อยออกไปก็ล้วนมีความตั้งใจที่แตกต่างกันทั้งสิ้น เตี๋ยจ้างพลันตระหนักเรื่องหนึ่งได้ แรกเริ่มตอนที่พวกเขาทั้งสี่ได้ยินว่าเฉินผิงอันจะอยู่รอจนถึงสงครามใหญ่ครั้งถัดไปของหัวกำแพงเมือง อันที่จริงนางเป็นกังวลอย่างมาก กังวลว่าในกลุ่มคนที่รู้ใจกันอย่างถึงที่สุดนี้ เมื่อมีเฉินผิงอันมาเพิ่มคนหนึ่ง จะไม่เพียงแต่ไม่สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ กลับกันจะทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าทำอะไรไม่สะดวก ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว เป็นนางที่มองเฉินผิงอันเรียบง่ายเกินไป
ต่งฮว่าฝูยังดีหน่อย เพราะเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ตอนนี้กำลังกลุ้มอยู่ว่ากลับไปถึงตระกูลต่งแล้วจะรับมือกับพี่สาวและมารดาอย่างไร
หนิงเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนมองไปยังเพื่อนทั้งสี่แล้วยิ้มกล่าวว่า “อันที่จริงเฉินผิงอันก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าการประมือของต่งถ่านดำกับเตี๋ยจ้าง และการท้าทายของเจ้าอ้วนเยี่ยนนั้น มีไปเพื่ออะไร เขารู้ว่าพวกเจ้าเป็นห่วงเขา เพียงแต่ว่าตอนนั้นพวกเจ้าต่างก็ไม่เชื่อว่าเขาจะเอาชนะได้ทั้งสามครั้ง เขาจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก แต่ข้ารู้ดีว่า ในใจของเขารับน้ำใจเอาไว้แล้ว เขาเป็นคนแบบนี้มาโดยตลอด”
หนิงเหยายิ้มถาม “นอกจากความวางใจแล้ว แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจยังรู้สึกว่าเฉินผิงอันน่ากลัวมากด้วยใช่ไหม? คนวัยเดียวกันที่มีอุบายลึกล้ำแยบยลขนาดนี้ หากคิดจะเล่นงานตนให้ตายก็ดูเหมือนว่าตัวเองมีแต่จะถูกปั่นหัวเท่านั้น? จะถูกเขาหลอกแล้วยังต้องช่วยเขานับเงินหรือไม่?”
เฉินซานชิวพยักหน้ารับ “ก็คิดอยู่บ้างจริงๆ”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่จำเป็นเลย เฉินผิงอันคบหากับใครล้วนมีเส้นบรรทัดฐานอยู่หนึ่งเส้นเสมอ นั่นก็คือความเคารพ เจ้าคือเซียนกระบี่ที่ควรค่าแก่การเคารพ คือผู้แข็งแกร่ง เฉินผิงอันก็จะเคารพเจ้าจากใจจริง เจ้าคือผู้อ่อนแอที่ตบะไม่ได้เรื่อง ชาติกำเนิดไม่ดี เฉินผิงอันก็จะคบหากับเจ้าด้วยจิตใจที่เป็นกลาง เผชิญหน้ากับป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลัน ในสายตาของเฉินผิงอัน สถานะที่สำคัญที่สุดของผู้อาวุโสทั้งสองไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอะไร แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินในอดีตอะไร แต่เป็นผู้อาวุโสในครอบครัวของข้าหนิงเหยา คือญาติที่คอยปกป้องดูแลจนข้าเติบใหญ่ นี่ก็คือลำดับก่อนหลังที่เฉินผิงอันให้ความสำคัญที่สุด จะผิดพลาดไม่ได้ นี่หมายความว่าอะไร? หมายความว่าต่อให้ป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลันเป็นเพียงแค่คนแก่อายุมากทั่วไป เขาเฉินผิงอันก็จะยังให้ความเคารพและซาบซึ้งบุญคุณอยู่ดี กับพวกเจ้า พวกเจ้าก็คือสหายร่วมรบร่วมเป็นร่วมตายของข้าหนิงเหยา คือเพื่อนที่ดีที่สุด ต่อมาถึงจะเป็นว่า เจ้าเยี่ยนจั๋วคือทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเยี่ยน เจ้าเฉินซานชิวคือทายาทสายตรงของตระกูลเฉิน เตี๋ยจ้างคือแม่นางที่ดีที่เปิดร้านหาเงินด้วยตัวเอง ต่งฮว่าฝูคือต่งถ่านดำที่ไม่ชอบพูดจาเหลวไหล”
หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรอีก
ห่างไปไกลคือเฉินผิงอันที่กำลังเดินตรงมา
เขาเปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวสะอาดเอี่ยมตัวใหม่ คือชุดคลุมอาคมตัวเก่าของจวนหนิงที่ป๋ายหมัวมัวไปค้นมาให้ สองมือของเฉินผิงอันซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เดินขึ้นมาบนหน้าผาแท่นสังหารมังกร สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่ไม่มีท่าทางอ่อนเพลียสักนิด เขานั่งลงข้างกายหนิงเหยา ยิ้มถามว่า “คงไม่ได้กำลังพูดถึงข้าอยู่กระมัง?”
ต่งฮว่าฝูพยักหน้า กำลังจะเปิดปากพูด หนิงเหยากลับชิงพูดขึ้นมาก่อน “เพิ่งจะพูดอยู่ว่าเจ้าไม่พูดจาเหลวไหลไม่ใช่รึ?”
ต่งฮว่าฝูจึงหุบปากอย่างรู้ความ
เฉินผิงอันยกมือซ้ายขึ้น คีบยันต์ย่อพื้นที่ออกมาสองแผ่น แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษสีเหลือง อีกแผ่นหนึ่งเป็นกระดาษสีทอง
เยี่ยนจั๋วเบิกตากว้าง แต่กลับไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของยันต์ แต่เป็นเพราะมือซ้ายของเฉินผิงอันสามารถยกขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไหนเลยจะยังมีสภาพน่าสังเวชที่ห้อยร่องแร่งเหมือนตอนอยู่บนถนนใหญ่ก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันเก็บยันต์สองแผ่นลงไป ยิ้มเอ่ยอย่างจริงใจว่า “หมัดสุดท้ายข้าไม่ได้ลงแรงเต็มที่ เพราะฉะนั้นแขนซ้ายจึงบาดเจ็บไม่มาก ผังหยวนจี้เองก็ตระหนักได้ ถึงได้จงใจอยู่ใต้หลุมใหญ่นานหน่อย กว่าจะเดินออกมา พวกเราสองฝ่าย ทั้งเป็นเพราะต้องการแสดงให้คนอื่นดู แล้วก็เป็นเพราะข้าเองก็ไม่คิดจะสู้เอาเป็นเอาตายกับผังหยวนจี้จริงๆ เพราะข้าแน่ใจเลยว่า ผังหยวนจี้เองก็มีวิชาที่เป็นสมบัติก้นกรุที่ยังไม่ได้เอาออกมาอยู่เหมือนกัน ดังนั้นข้าได้เปรียบไปแล้ว ผังหยวนจี้ก็ยังยินดีรับความพ่ายแพ้ ถือว่าเขาเป็นคนมีคุณธรรมมากคนหนึ่ง การต่อสู้ทั้งสองครั้ง ไม่ใช่ว่าข้าสามารถอาศัยแค่ตบะก็เอาชนะฉีโซ่วและผังหยวนจี้มาได้ แต่เป็นเพราะอาศัยกฎเกณฑ์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเจ้า รวมไปถึงการคาดเดานิสัยใจคอพวกเขาคร่าวๆ หลายสิ่งหลายอย่างรวมเข้าด้วยกันถึงได้โชคดีเอาชนะมาได้ เซียนกระบี่ทั้งหลายที่ชมศึกอยู่ทั้งใกล้และไกลก็ล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ มองความสามารถที่แท้จริงของพวกเราสามคนออก เพราะฉะนั้นผังหยวนจี้และฉีโซ่วแพ้ก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเสียชื่อเสียงของตระกูลฉีและใต้เท้าอิ่นกวาน นี่ก็คือทางถอยของข้า”
ออกหมัดต้องเร็ว ปล่อยหมัดต้องแม่นยำ เก็บหมัดต้องมั่นคง
หากเป็นการออกกระบี่ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “เรื่องบางอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความลับกับพวกเราก็ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ ก่อนจะออกจากจวนไปต่อสู้ ต่อให้ข้าพูดมากแค่ไหน อย่างมากพวกเจ้าก็คงรู้สึกว่าข้าโอ้อวดตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ไม่รู้จักหนักเบา ตัวข้ายังดี เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากนัก แต่พวกเจ้าย่อมเกิดความกังขาในสายตาของหนิงเหยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าก็เลยเลือกที่จะเงียบ ส่วนเหตุใดถึงได้ยินดีอธิบายเรื่องที่เดิมทีควรปิดบังไว้พวกนี้ เหตุผลก็เรียบง่ายมาก เพราะพวกเจ้าคือเพื่อนของหนิงเหยา ข้าเชื่อใจหนิงเหยา เพราะฉะนั้นถึงได้เชื่อใจพวกเจ้า คำพูดนี้อาจไม่ค่อยน่าฟัง แต่เป็นความจริงจากข้า”
เจ้าอ้วนเยี่ยนเอ่ย “น่าฟัง จะไม่น่าฟังได้อย่างไร คำพูดนี้ของพี่น้องเฉินทำเอาในใจข้าตอนนี้อบอุ่นยิ่งนัก ราวกับได้ดื่มเหล้าในวันที่อากาศหนาวเหน็บอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ช่วงนี้ข้าดื่มเหล้าไม่ได้จริงๆ บาดเจ็บไม่น้อยเลย คาดว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องสักสิบวันครึ่งเดือนที่ต้องรักษาบาดแผลให้ดีๆ”
หนิงเหยาชำเลืองตามอง “ดูจากสภาพเจ้าตอนนี้ ยังกระโดดโลดเต้นอยู่ได้ แถมยังพูดมาก คงคิดจะสู้กับเกาเหย่โหวอีกคนใช่ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เกาเหย่โหว ข้าไม่ได้โม้หรอกนะ ต่อให้ตอนนั้นข้าไม่ออกมาจากถนน ขอแค่เกาเหย่โหวกล้าเผยตัว ข้าก็สามารถรับมือกับเขาได้จริงๆ เพราะเขาคือคนที่รับมือได้ง่ายที่สุดในสามคนนี้ ต่อสู้กับเขาเกาเหย่โหว ตัดสินแพ้ชนะ หรือแบ่งกันด้วยความเป็นความตายก็ล้วนไม่มีปัญหา ในความเป็นจริงแล้ว ฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ เกาเหย่โหว ลำดับนี้ก็คือลำดับก่อนหลังที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในอะไร ถึงอย่างไรก็สามารถทำให้ข้าชนะสามครั้งติดได้อยู่ดี แต่ข้าก็คิดอยู่เหมือนกันว่า เกาเหย่โหวคงไม่เข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ดีขนาดนั้น”
เจ้าอ้วนเยี่ยนรู้สึกเข่าอ่อนเล็กน้อย
เฉินซานชิวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ต่งฮว่าฝูรู้สึกว่าบุรุษแบบนี้จึงจะคู่ควรกับพี่หญิงหนิง
เตี๋ยจ้างเองก็รู้สึกดีใจแทนหนิงเหยา