กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 583.2 มีเพียงนักดื่มที่ได้ทิ้งชื่อไว้
เฉินซานชิวเล่าข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่ง ช่วงนี้จะยังมีเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปท่านหนึ่งที่กำลังจะเดินทางมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมาถึงภูเขาห้อยหัวแล้ว เพียงแต่ว่าที่นี่ก็มีเซียนกระบี่ที่ต้องหวนคืนสู่บ้านเกิดแล้วเช่นกัน
ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ของอุตรกุรุทวีปมักจะเป็นเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วหากผ่านศึกใหญ่ไปศึกหนึ่งแล้วก็จะต้องเดินทางกลับ
เพียงแต่ว่าภายในเวลาสิบปีมีศึกใหญ่เกิดขึ้นติดกันถึงสองครั้ง ทำให้คนไม่ทันตั้งตัว ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปส่วนใหญ่จึงเป็นฝ่ายรั้งอยู่ที่นี่ต่อ ผ่านสงครามไปอีกหนึ่งศึกแล้วค่อยว่ากัน
แต่ว่าก็ยังมีเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่เซียนดินส่วนหนึ่งที่จำต้องไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีกิจธุระในสำนักที่ต้องให้เป็นกังวล สำหรับเรื่องนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำไร้สาระใดๆ ไม่เพียงแต่ไม่มีคำบ่น ทุกครั้งที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่งจะเดินทางจากไป ยังมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่ง นั่นคือเซียนกระบี่ในพื้นที่หลายคนที่คุ้นเคยกันดีจะเลี้ยงเหล้าคนผู้นี้หนึ่งมื้อเป็นการส่งอำลา ถือว่าเป็นการตอบแทนจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันและหนิงเหยาหันไปมองยังถนนใหญ่แทบจะเวลาเดียวกัน
ตรงนั้นมีคนเดินมาหกคน
ล้วนเป็นเซียนกระบี่!
เซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งในนั้น เฉินผิงอันไม่เพียงแต่รู้จัก ยังค่อนข้างจะสนิทสนมคุ้นเคยดีอีกด้วย ก็คือลี่ไฉ่เจ้าสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแห่งอุตรกุรุทวีป
นางเคยบอกว่าหลังจากไปถามกระบี่ฉีจิ่งหลงเซียนกระบี่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้วก็จะเดินทางมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากจะทำตามสัญญาที่นางมีต่อหลี่อวี๋เพื่อนรักแห่งยอดเขาไท่เสียแล้ว ยังจะสังหารปีศาจใหญ่ตนหนึ่งเพื่อฝ่ายหลังที่ฝ่าทะลุขอบเขตล้มเหลวจึงจากโลกนี้ไปแล้วด้วย
คนที่เหลืออีกห้าคน เฉินผิงอันรู้จักแค่คนเดียว เขาเดินอยู่ด้านหน้าสุด คือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ทั้งหนวดและเส้นผมล้วนเป็นสีขาวหิมะ นิสัยของเขาเรียกว่าดีไม่ได้จริงๆ ปีนั้นตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงเมืองก็เคยเห็นกับตา เคยได้ยินกับหูตัวเองมาก่อนว่าผู้เฒ่าท่านนี้เรียกชื่อจริงของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกมาอย่างไม่กริ่งเกรง ซักไซ้เอาความผิดเสียงดังว่าเฉินชิงตูเหตุใดเจ้าต้องสังหารต่งกวานพู่ เจ้าประมุขเฒ่าของตระกูลต่งท่านนี้ยังเกือบจะเปิดฉากต่อสู้กับผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่โดยตรง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ทุกคนล้วนกลัวเจ้าเฉินชิงตู แต่ข้าไม่กลัว’ ดังนั้นความทรงจำที่เฉินผิงอันมีต่อผู้เฒ่าคนนี้จึงลึกล้ำมากเป็นพิเศษ แล้วก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของต่งกวานพู่ที่ถูกผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่สังหารอย่างง่ายๆ ด้วยหนึ่งกระบี่เช่นกัน เพราะตามคำบอกของหนิงเหยา ‘นายท่านต่งน้อย’ อย่างต่งกวานพู่ผู้นี้ อันที่จริงเป็นคนดีมาก
คงบอกได้แค่ว่านี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก
กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งหนึ่ง เซียนกระบี่ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำมีมากเกินไป ความวุ่นวายก็ยิ่งมีมากกว่า
ดูเหมือนว่าต่งซานเกิงกับกลุ่มคนที่รวมถึงลี่ไฉ่ที่เพิ่งจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่จะตั้งใจมาเยือนร้านเหล้าเล็กๆ ร้านนี้โดยเฉพาะ
เฉินผิงอันจึงมองประเมินเซียนกระบี่สี่ท่านที่เหลือหลายครั้งหน่อย เขาเดาตัวตนของสองคนในนั้นออก หานไหวจื่อเจ้าประมุขสำนักกระบี่ไท่ฮุย กับหวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์
พวกเฉินผิงอันล้วนพากันลุกขึ้นยืนแล้ว
หลังจากที่ต่งฮว่าฝูเรียกต่งซานเกิงคำหนึ่งว่าท่านบรรพบุรุษแล้ว ก็เอ่ยประโยคที่เป็นธรรมว่า “ที่ร้านไม่มีการเชื่อลงบัญชี”
ต่งซานเกิงถลึงตากล่าว “เจ้าไม่มีเงินติดตัวเลยหรือไร?”
ต่งฮว่าฝูส่ายหน้า “ข้าดื่มเหล้าไม่เคยต้องจ่ายเงิน”
ต่งซานเกิงหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกหลานตระกูลต่งข้า เรื่องที่หน้าหนาหน้าทนเช่นนี้ ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีแต่ลูกหลานตระกูลต่งของพวกเราเท่านั้นแหละที่ทำแล้วดูมีเหตุผลมากเป็นพิเศษ”
เตี๋ยจ้างมีท่าทางหวาดกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผู้เฒ่าคนนี้เป็นถึงประมุขตระกูลต่ง ต่งซานเกิง
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่สลักอักษร ‘ต่ง’ ไว้บนหัวกำแพงเมือง
ปีนั้นเรื่องที่อาเหลียงรำคาญที่สุดก็คือการประลองวิชากระบี่กับต่งซานเกิง หากหลบได้ก็จะหลบ หลบไม่พ้นก็จะบอกให้ต่งซานเกิงเอาเงินให้เขา หากไม่ให้เงิน เขาอาเหลียงก็จะยืนอยู่ข้างกระท่อมบนหัวกำแพงรอรับกระบี่แต่โดยดี หรือจะไม่ไปรบกวนเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบนหัวกำแพงเมืองก็ได้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไปนอนหมอบอยู่บนหลังคาศาลบรรพชนของตระกูลต่งแทน
ต่งซานเกิงโบกมือหนึ่งครั้ง ทำให้โต๊ะสองตัวมาประกบเข้าด้วยกัน แล้วจึงพูดกับพวกเด็กรุ่นหลังเหล่านั้นว่า “ใครก็อย่าได้พูดจาไร้สาระ แค่ยกเหล้ามาวางบนโต๊ะก็พอ”
เฉินผิงอันหันไปผงกศีรษะทักทายลี่ไฉ่ ลี่ไฉ่คลี่ยิ้มแล้วก็พยักหน้ากลับคืน
คิดไม่ถึงว่าหวงถงบรรพจารย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยกลับเป็นฝ่ายหันมาส่งยิ้มให้เฉินผิงอันก่อน เฉินผิงอันจึงได้แต่กุมหมัดคารวะ แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด
หลังจากนั่งลงแล้ว ต่งซานเกิงก็ชำเลืองตามองกลอนคู่ที่หน้าประตูแวบหนึ่ง ก่อนจุ๊ปากเอ่ยว่า “กล้าเขียนจริงๆ ยังดีที่ตัวอักษรเขียนได้ไม่เลว ถึงอย่างไรก็ดีว่าตัวอักษรไส้เดือนเลื้อยของอาเหลียงอยู่มากนัก”
หน้าผากของเตี๋ยจ้างมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาอย่างที่นางมิอาจควบคุมได้แล้ว
เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ช่วยไม่ได้ เวลาอยู่กับต่งซานเกิง พวกเขาโดนด่าแค่คำเดียวยังไม่นับว่าเป็นอะไร เพราะผู้อาวุโสเซียนกระบี่ส่วนใหญ่ในครอบครัวของพวกเขาล้วนโดนอีกฝ่ายซ้อมอย่างหนักมาแล้วทั้งนั้น
คนที่ยังนับว่าสุขุมเป็นตัวของตัวเอง ก็คงมีแค่เฉินผิงอันและหนิงเหยาแล้ว
ต่งซานเกิงดื่มเหล้าหมดหนึ่งกาก็ลุกขึ้นจากไป เซียนกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกสองท่านก็ขอตัวลาไปเช่นกัน
หานไหวจื่อ หวงถงและต่งลี่ที่มาจากอุตรกุรุทวีปเหมือนกันยังนั่งอยู่ต่อ
เฉินผิงอันบอกให้เตี๋ยจ้างเอาเหล้าดีๆ จากในร้านมาเพิ่มอีกหนึ่งไห เขาเป็นคนถือไปที่โต๊ะด้วยตัวเอง “ผู้น้อยเฉินผิงอันคารวะเจ้าสำนักหาน เจ้าสำนักลี่ เซียนกระบี่หวง”
ลี่ไฉ่ยิ้มตาหยีเอ่ย “หวงถง ฟังเข้าสิ ข้าอยู่หน้าเจ้า นี่ก็คือจุดจบของคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าสำนัก”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
เซียนกระบี่ลี่ไฉ่ ท่านช่างไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเอาเสียเลย
คิดไม่ถึงว่าหวงถงจะยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าอยู่ด้านหลังเจ้าสำนักลี่ก็ดีมากนี่นา จะบนหรือล่างก็ได้หมด”
เฉินผิงอันที่เพิ่งจะนั่งลงเกือบพลัดตกเก้าอี้ เขาไม่มัวสนมารยาทอะไรอีกแล้ว รีบดื่มเหล้าระงับความตกใจทันที
ก่อนหน้านี้เดินทางท่องอยู่ในอุตรกุรุทวีป ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลยว่าเซียนกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยท่านนี้มีนิสัยเช่นนี้
เหตุใดฉีจิ่งหลงถึงไม่เคยพูดถึงสักคำ? หรือเลี่ยงจะพูดถึงเพื่อแสดงความเคารพ?
ดูท่าวิชากระบี่ของหวงถงต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นอยู่ที่อุตรกุรุทวีป ไหนเลยจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้
ลี่ไฉ่หัวเราะเสียงเย็น “ขอให้เจ้าที่เดินทางบนเรือข้ามทวีปครั้งนี้จมน้ำตายกลางทาง กลายไปเป็นอาหารปลา”
หวงถงหัวเราะร่าเสียงดัง ไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังอารมณ์ดีอย่างมาก
หานไหวจื่อกลับเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่สุขุม มีมาดของเซียนกระบี่อย่างยิ่ง เขายิ้มบางๆ เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ไม่ต้องไปสนใจคำพูดเหลวไหลของพวกเขา”
หวงถงเก็บรอยยิ้ม ไม่เหลือท่าทางของคนแก่ที่ไม่น่าเคารพอีกต่อไป “ตอนนี้การส่งข่าวจากกระบี่บินของภูเขาห้อยหัว เนื้อหาและความเป็นมาของกระบี่บินทุกเล่มล้วนถูกจับตามองอย่างเข้มงวด ถึงขั้นที่ว่ายังมีหลายเล่มที่ถูกกักไว้โดยพลการ แต่กระนั้นทางฝ่ายโน้นก็ยังหาเหตุผลมาอ้างได้ ยังดีที่การเขียนจดหมายของหลิวจิ่งหลงพวกเรา เขียนได้อย่างชาญฉลาด จึงไม่ถูกดักเก็บไว้ ในเมื่อเฉินผิงอันเป็นเพื่อนสนิทของหลิวจิ่งหลงเรา ลี่ไฉ่เจ้าก็ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิด ถ้าอย่างนั้นสี่คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นคนกันเองเถอะ อันดับแรกข้าอยากขอบคุณเจ้าลี่ไฉ่ที่ไปถามกระบี่ก่อนหน้านี้ ช่วยให้หลิวจิ่งหลงได้เปิดฉากด้วยการเริ่มต้นที่ดี คนที่สนิทกับสำนักศึกษาผู้นั้นก็ตามมาติดๆ บีบให้ตาแก่ป๋ายฉางจำเป็นต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ หลิวจิ่งหลงถึงได้ไม่เพียงแต่ใช้สถานะของเซียนกระบี่หยัดยืนอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้อย่างมั่นคง ยังมีเรื่องดีๆ ใหญ่เทียมฟ้าอย่างการชนะสามครั้งติดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อวิถีกระบี่ของเขา เรื่องนี้สำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเราติดค้างหนี้น้ำใจใหญ่เทียมฟ้ากับเจ้าลี่ไฉ่”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หวงถงก็ยิ้มบางๆ “เพราะฉะนั้นเจ้าสำนักลี่อยากจะอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังก็เลือกได้ตามสบาย ข้าหวงถงจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หากขมวดคิ้วสักครั้งก็ถือว่าข้าไม่เป็นลูกผู้ชายพอ!”
ลี่ไฉ่กระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “จะบอกข่าวดีข่าวหนึ่งแก่เจ้า เจียงซ่างเจินเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว”
หวงถงรีบพูดทันทีว่า “ข้าหวงถงเป็นแค่เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ก็เพียงพอแล้ว ไม่เป็นลูกผู้ชายก็ไม่เห็นเป็นอะไร”
เจ้าเจียงซ่างเจินชาติสุนัขก็คือฝันร้ายที่ผู้ฝึกตนชายหญิงของอุตรกุรุทวีปมีร่วมกัน ปีนั้นโอสถทองของเขาก็สามารถเอามาใช้เป็นก่อกำเนิดได้ ต่อมาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นขอบเขตหยกดิบที่เอามาใช้เป็นเซียนเหรินได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว? ต่อให้ไม่พูดถึงตบะของเจ้าหมอนี่ เจ้าคนที่ราวกับว่าแบกถังอาจมวิ่งวุ่นไปทั่วเช่นนี้ ใครจะยินดีไปมีความเกี่ยวข้องด้วย? ปล่อยหมัดหนึ่งใส่หรือส่งหนึ่งกระบี่ไปให้เจ้าเจียงซ่างเจินผู้นั้นก็ต้องแลกมาด้วยขี้เยี่ยว ประเด็นสำคัญคือคนผู้นี้ยังเจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังเดินทางเก่ง ดังนั้นแม้แต่หวงถงก็ยังไม่อยากไปมีเรื่องด้วย ในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีปเคยมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฒ่าคนหนึ่งไม่เชื่อข่าวลือ ยอมเผาผลาญเวลายี่สิบปีอย่างไม่เสียดาย ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องสังหารตัวการร้ายที่ทุกคนอยากฆ่าให้ตาย แต่เขาดันไม่ตายให้จงได้ ผลคือไม่ได้ประโยชน์ใดๆ แล้วสำนักยังมีจุดจบที่อเนจอนาถจนมิอาจทนมอง ความรักความแค้นอันเป็นบรรยากาศเลวร้ายในสำนักล้วนถูกเจียงซ่างเจินปั่นป่วนจนวุ่นวายอุตลุด เขาเขียนหนังสือเทพเซียนยวนยางเล่นน้ำเล่มใหญ่ขึ้นมาหลายเล่ม และยังมีภาพทำนองนั้นประกอบด้วย หนำซ้ำเจียงซ่างเจินเห็นใครก็ยังชอบจะมอบหนังสือพวกนั้นให้ หากไม่รับ ข้าเจียงซ่างเจินก็จะมอบเงินให้เจ้า เจ้าจะรับหรือไม่รับ รับไปแล้วจะดีจะชั่วก็น่าจะเปิดอ่านสักสองสามหน้าไม่ใช่หรือ?
หานไหวจื่อยิ้มกล่าว “อาจารย์ ที่นี่ยังมีเด็กนั่งอยู่ด้วย ต่อให้ท่านไม่สนใจสถานะตัวเอง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะช่วยสะสมภาพลักษณ์ที่ดีให้จิ่งหลงสักหน่อยเถิด”
หวงถงกระแอมหนึ่งที ดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งอึกก็เอ่ยต่อว่า “ลี่ไฉ่ พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน ขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้มองดูคล้ายใกล้เคียงกับอุตรกุรุทวีป แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแตกต่างกันมาก การเข่นฆ่าบนสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงก็ยิ่งแตกต่างจากการจับคู่ต่อสู้อย่างที่พวกเราคุ้นเคยราวฟ้ากับเหว ผู้ฝึกตนต่างทวีปจำนวนมากมักจะตายอยู่ช่วงวันแรกๆ ที่สัมผัสกับสงครามของที่นี่ หากไม่ระวังแม้เพียงนิดก็ต้องมีจุดจบคือความตาย อย่าได้อาศัยว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้วจะเป็นอย่างไร บนสนามรบ เมื่อเข่นฆ่ากันขึ้นมา ต่างคนต่างวางอุบายใส่กัน และในเผ่าปีศาจเองก็มีบุคคลชั่วร้ายที่อันตรายอย่างถึงที่สุดอยู่ด้วย”
หวงถงบิดข้อมือหนึ่งครั้ง เรียกเอาหนังสือสามเล่มออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ สองเก่าหนึ่งใหม่ ผลักมาไว้ตรงหน้าลี่ไฉ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “หนังสือสองเล่ม กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้จัดพิมพ์ เล่มหนึ่งแนะนำเผ่าปีศาจ อีกเล่มหนึ่งคล้ายคลึงกับตำราพิชัยสงคราม เล่มสุดท้ายคือประสบการณ์ที่ข้าเขียนไว้หลังจากผ่านสงครามใหญ่สองครั้งด้วยตัวเอง ข้าขอแนะนำเจ้าประโยคหนึ่ง หากไม่อ่านตำราทั้งสามเล่มให้จบแล้วท่องให้ขึ้นใจ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอดื่มคารวะเจ้าก่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย และวันหน้าเมื่อไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยของอุตรกุรุทวีป ข้าก็จะไม่มีทางเซ่นกระบี่ให้แก่ลี่ไฉ่ที่รบตายอยู่ไกลๆ เพราะเจ้าลี่ไฉ่รนหาที่ตายเอง ไม่คู่ควรให้ข้าหวงถงเซ่นกระบี่ให้เจ้า!”
ลี่ไฉ่เก็บตำราทั้งสามเล่มมา พยักหน้าเอ่ยว่า “เรื่องใหญ่อย่างความเป็นความตาย ข้าจะกล้าประมาทได้อย่างไร”
หวงถงถอนหายใจ หันหน้าไปมองศิษย์น้องของตัวเอง หรือก็คือเจ้าสำนักของสำนักกระบี่ไท่ฮุย “นี่ก็เพราะว่าสำนักของแม่นางลี่ไม่มียอดฝีมือ จึงได้แต่ต้องให้นางออกหน้าด้วยตัวเอง แต่สำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเรายังมีข้าหวงถงคอยรักษาหน้าตาให้ไม่ใช่หรือ? ศิษย์น้อง ข้าไม่ถนัดเรื่องการจัดการกิจธุระในสำนัก เจ้าเองก็รู้ดี ยิ่งการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ลูกศิษย์ ข้าก็ยิ่งไม่มีความอดทน ข้อนี้เจ้าก็รู้อีกนั่นแหละ เจ้ากลับไปที่อุตรกุรุทวีปแล้วช่วยส่งให้จิ่งหลงเดินขึ้นสูงอีกหน่อย จะไม่ยิ่งดีหรอกหรือ? ใช่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่มีผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยสักหน่อย ก็ยังมีข้าอยู่นี่นา”
หานไหวจื่อส่ายหน้า “เรื่องนี้ท่านและข้าตกลงกันไว้นานแล้ว ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมให้ข้าเปลี่ยนใจ”
หวงถงกล่าวอย่างเดือดดาล “ตกลงกะผายลมน่ะสิ เพราะข้าผู้อาวุโสสู้เจ้าไม่ได้ถึงต้องไสหัวกลับไปอุตรกุรุทวีป”
หานไหวจื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กลับไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีแล้วกัน”
หวงถงดื่มเหล้าชามใหญ่ด้วยความกลัดกลุ้ม “แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเจ้าสำนัก เจ้ากลับไป ทิ้งหวงถงเอาไว้คนหนึ่ง สำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเราก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องละอายใจแล้ว”
หานไหวจื่อเอ่ย “ข้าละอาย นับตั้งแต่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยก่อตั้งสำนักมายังไม่เคยมีเจ้าสำนักคนใดมารบตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็ไม่เคยมีเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนใดมาก่อน ฝ่ายหลัง มีหลิวจิ่งหลงอยู่ ก็มีความหวัง ดังนั้นข้าจึงสามารถทำตัวเป็นฝ่ายแรกได้อย่างวางใจ”
หวงถงจากไปอย่างหม่นหมอง
แต่ก่อนจะไปยังภูเขาห้อยหัว หวงถงยังมาเยือนที่ร้านเหล้าอีกครั้ง ใช้ปราณกระบี่เขียนชื่อของตัวเอง และเขียนประโยคหนึ่งไว้ด้านหลังแผ่นไม้
ตอนที่ผู้เฒ่าจากไป ท่าทางของเขาเปลี่ยวเหงา ไม่มีปณิธานฮึกเหิมของเซียนกระบี่เลยแม้แต่น้อย
ลี่ไฉ่ได้ยินกฎของร้านเหล้าแล้วก็มีท่าทางกระตือรือร้นสนใจ เพียงแต่แค่สลักชื่อของตัวเองเอาไว้ ไม่ได้เขียนอักษรอะไรไว้ด้านหลังป้ายสงบสุข เพียงเอ่ยว่ารอให้นางสังหารปีศาจห้าขอบเขตบนสองตนได้เมื่อไหร่ค่อยกลับมาเขียน
หานไหวจื่อก็เขียนชื่อตัวเอง แล้วก็ทิ้งถ้อยคำไว้เช่นกัน
‘เจ้าสำนักรุ่นที่สี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย หานไหวจื่อ’
‘ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องใดให้เสียดาย’
ระหว่างนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา
รอจนเจ้าสำนักของอุตรกุรุทวีปทั้งสองท่านอย่างลี่ไฉ่และหานไหวจื่อเดินเคียงไหล่จากไปบนถนนที่เงียบสงบกลางดึกแล้ว
เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน ตะโกนว่า “เจ้าสำนักทั้งสองท่าน”
หานไหวจื่อพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “อย่าหันกลับไป”
คิดไม่ถึงว่าลี่ไฉ่จะหันหน้ากลับไปถามแล้ว “มีเรื่องอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เงินค่าเหล้า”
ลี่ไฉ่ถามหานไหวจื่อ กล่าวอย่างสงสัยว่า “ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ดื่มเหล้าต้องจ่ายเงินด้วยหรือ?”
หานไหวจื่อพูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ไม่รู้สิ”
ลี่ไฉ่ขมวดคิ้ว “บันทึกลงในบัญชีของเจียงซ่างเจินได้ตามสบาย เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญเจ้าก็ลงไว้เป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญไปเลย!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เซียนกระบี่สองท่านเดินหน้าต่อไปช้าๆ
ลี่ไฉ่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตามหลักแล้ว ด้วยนิสัยของเฉินผิงอันไม่ควรเป็นแบบนี้ถึงจะถูก นางจึงหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง
คนหนุ่มสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ กำลังมองมายังพวกเขาสองคน พอเห็นว่าลี่ไฉ่หันหน้ากลับมา เขาถึงจะนั่งกลับลงไปที่โต๊ะ
ก็ดีเหมือนกัน ค่าเหล้าคืนนี้ก็ลงไว้ในบัญชีของเถ้าแก่รองอย่างเขารวดเดียวหมดเลยแล้วกัน
กับหนิงเหยา กับสหาย บวกกับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งซานเกิงและเซียนกระบี่ในพื้นที่สองท่าน และกับหานไหวจื่อ ลี่ไฉ่และหวงถง
จนกระทั่งบัดนี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดร้านเหล้าน้อยใหญ่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงยินดีให้คนที่มาดื่มเหล้าเชื่อค่าเหล้าเอาไว้ก่อน
ดังนั้นกฎที่ห้ามติดเงินของร้าน คงยังต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยกระมัง
เพราะถึงอย่างไรเหล้าของที่ร้านตนก็ราคาถูก แต่หากมีคนดื่มเหล้าแล้วไม่จ่ายเงิน…ก็ได้เหมือนกัน ก็ถือเสียว่าเหลือค้างไว้ก่อน
ให้เป็นว่ามียืมมีคืน คืนช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร
หานไหวจื่อใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวว่า “คนหนุ่มผู้นี้ไม่มีเรื่องก็เลยหาเรื่องชวนคุย คงเพราะรู้สึกว่าคุยกันให้มากขึ้นสักประโยคสองประโยคก็ถือเป็นเรื่องดี”
ลี่ไฉ่เอ่ยอย่างระอาใจว่า “นี่มันเรื่องอะไรกับอะไรของเจ้า?”
หานไหวจื่อครุ่นคิด แล้วก็ให้คำตอบมาจริงๆ ว่า “เรื่องผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่”