กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 584.1 ยังไม่มาโดนซ้อมอีกหรือ
เมื่อเทียบกับในอดีต จวนหนิงก็แค่มีเฉินผิงอันเพิ่มมาหนึ่งคน จึงไม่ได้ครึกครื้นเท่าใดนัก
สาเหตุที่ทำให้จวนหนิงเงียบสงบเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไป
เดิมทีหลังจากหนิงเหยาถือกำเนิด จวนหนิงก็มีโอกาสได้กลายเป็นตระกูลชั้นสูงอย่างพวกสามแซ่เช่นต่ง ฉี เฉิน ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเป็นดั่งเมฆหมอกที่ลอยผ่านตาไป ทว่าพยับเมฆอึมครึมกลับไม่สลายหายไปด้วย
กลับเป็นทางฝั่งของร้านเตี๋ยจ้างที่เนื่องจากการดื่มเหล้าเลี้ยงอำลากลับบ้านเกิดของหวงถงเซียนกระบี่สำนักกระบี่ไท่ฮุย เซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งซานเกิงออกหน้าด้วยตัวเอง พาเซียนกระบี่ทั้งหมดหกท่านมาดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกันที่ร้าน และยังมีเซียนกระบี่อีกสามท่านที่สลักตัวอักษรไว้บนป้ายสงบสุข เป็นเหตุให้กิจการของร้านเหล้าที่เตรียมจะเดินลงเนินกลับคืนมารุ่งโรจน์จนน่าเหลือเชื่อ ผู้ฝึกกระบี่ที่มานั่งยองดื่มเหล้ามีเป็นกลุ่มใหญ่ ขณะเดียวกันทางร้านก็เสนอผักดองที่มีเฉพาะของร้านเยี่ยนจี้ ซื้อเหล้าหนึ่งกาแถมผักดองหนึ่งจาน บวกกับถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่รสชาติค่อนข้างจืดจาง สูดสวบหนึ่งที เคี้ยวผักดองกร้วมๆ อีกคำ รสชาติเลิศล้ำอย่างถึงที่สุด
การกินการอยู่ของเฉินผิงอันในจวนหนิงมีระเบียบอย่างยิ่ง หากไม่นับรวมการหลอมลมปราณในศาลาหน้าผาสังหารมังกรวันละหกชั่วยามแล้ว ส่วนใหญ่แล้วช่วงเช้าตรู่เขาก็จะต้องมากวาดลานบ้านร่วมกับป๋ายหมัวมัวครึ่งชั่วยาม ช่วงเวลาระหว่างนี้ก็จะคอยสอบถามเรื่องการฝึกหมัดอย่างละเอียด ตอนที่หลี่เอ้อร์ป้อนหมัดให้บนยอดเขาสิงโต เขาพูดละเอียดมากพอ เพียงแต่ว่าปรมาจารย์บนยอดเขาที่แตกต่างกัน ต่างคนก็ต่างบรรยายสัจธรรมของหมัดที่ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วรากฐานจะเชื่อมโยงกัน เพียงแต่เส้นทางแตกต่างกันไป ทัศนียภาพจึงไม่ค่อยเหมือนกันนัก ทุกครั้งที่พูดถึงรายละเอียดปลีกย่อย หญิงชรามักจะแสดงกระบวนท่าหมัดให้ดูด้วยตัวเองไปด้วย และเฉินผิงอันก็จะทำเลียนแบบอย่างเข้าท่าเข้าที อันที่จริงหญิงชราปลาบปลื้มอย่างมาก เพราะตอนที่อยู่ในศึกบนถนน เฉินผิงอันได้ใช้กระบวนท่าหมัดของนางด้วย วิชาหมัดของป๋ายเลี่ยนซวงจะอยู่ตรงข้ามกับวิชาหมัดส่วนใหญ่บนโลก ให้ความสำคัญกับการเก็บหมัดมากที่สุด ปณิธานหมัดจะถูกเก็บอยู่ด้านใน ขัดเกลาจนถึงขอบเขตที่สมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ เลิศล้ำยอดเยี่ยมเสียก่อน แล้วค่อยพูดถึงเรื่องการออกหมัดใส่ศัตรู
ทุกวันตอนเที่ยงจะไปทำความเข้าใจกับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบจากน่าหลันเย่สิงที่ลานประลองยุทธฟ้าดินเล็กเมล็ดงา ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม
พอถึงยามจื่อ (ห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ก็ยังมีการฝึกยุทธอีกหนึ่งครั้ง นี่ก็คือข้อเรียกร้องของน่าหลันเย่สิง คิดอยากจะเรียนแก่นปณิธานกระบี่สองชนิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากเขา สองชั่วยามนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมที่สุด
เรียนวิชากระบี่กับน่าหลันเย่สิงมักจะบาดเจ็บบ่อยๆ ไม่เหมือนการฝึกหมัดกับป๋ายหมัวมัว แต่อันที่จริงการออกกระบี่ของน่าหลันเย่สิงกลับมีการกะน้ำหนักหนักเบาอย่างดีเยี่ยม แค่มองดูว่าเฉินผิงอันมีบาดแผลเหวอะหวะเท่านั้น เพราะเนื้อหนังที่ปริแตกนั้นล้วนเป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย แต่ป๋ายหมัวมัวกลับสงสารเขามาก มีครั้งหนึ่งที่เฉินผิงอันบาดเจ็บค่อนข้างหนัก การฝึกกระบี่ยามจื่อผ่านไป ตามกฎเดิมแล้วจะต้องดื่มเหล้ากับท่านปู่น่าหลันสองจอก ผลกลับกลายเป็นว่าป๋ายหมัวมัวกลับด่าน่าหลันเย่สิงเสียจนไม่เหลือชิ้นดี ด่าจนหูชา น่าหลันเย่สิงก็ได้แต่ยื่นมือมาปิดปากจอกเหล้า ไม่กล้าเถียงสักคำ อันที่จริงเรื่องการฝึกกระบี่นี้ เฉินผิงอันเคยบอก หนิงเหยาเองก็เคยช่วยพูด พวกเขาต่างก็ไม่ต้องการให้ป๋ายหมัวมัวเป็นกังวล แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด หญิงชราที่เรียกได้ว่ารอบรู้มีความสามารถ กลับมีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไรนัก ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ คนลำบากก็มีแต่น่าหลันเย่สิงแล้ว
ภายหลังได้ยินว่าคอขวดปราณกระบี่สิบแปดหยุดของเฉินผิงอันเริ่มคลายตัว มีลางว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต หญิงชราถึงได้ข่มกลั้นความสงสาร พอจะยอมปล่อยผ่านน่าหลันเย่สิงที่ไม่มีคุณความดี มีเพียงคุณความเหนื่อยยากไปได้บ้าง
เกี่ยวกับสิบแปดหยุดที่อาเหลียงเคยปรับปรุงแก้ไขมาก่อนนี้ เฉินผิงอันเคยถามหนิงเหยาเป็นการส่วนตัวว่าเหตุใดจึงสอนให้กับคนแค่ไม่กี่คน
หนิงเหยาสีหน้าเคร่งเครียด บอกว่าไม่ใช่ว่าอาเหลียงไม่อยากสอนคนมากกว่านี้ แต่ไม่กล้า
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ในศาลาขนลุกชันด้วยความตกใจ เหงื่อเย็นๆ ผุดออกจากทั่วร่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หากสอนมากไป ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจรุ่นเยาว์ของตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนสามารถยกวิถีกระบี่ให้สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งได้พร้อมเพรียงกัน!
หนิงเหยามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกล่าว “จนถึงทุกวันนี้ ข้าเพิ่งเคยสอนเผยเฉียนไปคนเดียว”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ถามว่านอกจากตำราสองเล่มที่จัดพิมพ์แล้ว ในนครแห่งนี้ยังมีผลงานส่วนตัวของเซียนกระบี่ที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้านบ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นผลงานของผู้ฝึกกระบี่ในท้องที่หรือต่างถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนถึงประสบการณ์การเข่นฆ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือบันทึกภูเขาสายน้ำในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ได้หมด หนิงเหยาบอกว่าหนังสือเบ็ดเตล็ดจำพวกนี้ ทางจวนหนิงมีเก็บไว้ไม่มาก ในหอเก็บตำราส่วนใหญ่จะเป็นตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนัก แต่สามารถไปลองเสี่ยงดวงดูที่หอมายาทางเหนือของนครแห่งนั้นได้
แต่เฉินผิงอันกลับเกิดลังเลขึ้นมา
ตลาดแห่งนั้นประหลาดอย่างมาก รากฐานของมันคือสิ่งมายาภาพลวงตาที่แท้จริง แต่กลับรวมตัวอยู่อย่างยาวนานไม่สลายหายไปไหน จนกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง หอแก้วเสาหยก มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม ประหนึ่งจวนตระกูลเซียน คือกลุ่มสิ่งปลูกสร้างหลากหลายสีสันที่มีมากเกือบสี่สิบกว่าหลัง สามารถรองรับคนได้มากหลายพันคน เดิมทีตัวนครก็มีการป้องกันที่เข้มงวดอยู่แล้ว สำหรับคนต่างถิ่น เข้าออกล้วนไม่ง่าย ดังนั้นพ่อค้ารายใหญ่ของใต้หล้าไพศาลที่ทำการค้าอย่างยาวนานกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนจะต้องไปทำการค้าที่นั่น ของประหลาดแปลกตา ของโบราณหายาก สมบัติอาคมอาวุธหนัก มีสารพัดรูปแบบ ทุกๆ หนึ่งร้อยปีหอมายาแห่งนั้นจะกลายเป็นภาพมายา ผู้ฝึกตนที่พักอยู่ที่นั่นจะต้องย้ายออกมาครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะคนหรือวัตถุก็ล้วนต้องย้ายออก รอให้หอมายารวมตัวกลับเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงอีกครั้งถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ข้างในได้ใหม่
หนิงเหยาเคยถูกลอบฆ่าที่นั่นครั้งหนึ่ง
ป๋ายหมัวมัวก็ต้องขอบเขตถดถอยจากผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบมาเป็นขอบเขตยอดเขาที่นั่นเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจะไม่เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตถดถอยทั่วไป นี่จึงแสดงให้เห็นว่าการลอบฆ่าในปีนั้นอันตรายและโหดร้ายมากแค่ไหน
เฉินผิงอันไม่ได้รับปากว่าจะไปที่นั่นกับหนิงเหยา เขาแค่คิดจะให้คนช่วยรวบรวมตำรามาให้ ก็แค่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะทำงานเหนื่อยยากหาเงินมาอย่างลำบากเพื่ออะไร
หากไม่พูดถึงการเข่นฆ่าที่ทุ่มเอาทุกวิธีการที่มีออกมาใช้ พูดถึงแค่ความช้าเร็วในการฝึกตน
ต่อให้เฉินผิงอันไม่เปรียบเทียบกับหนิงเหยา ลำพังเพียงแค่เปรียบเทียบกับพวกเตี๋ยจ้าง เฉินซานชิว เขาก็ยังคงรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้อยู่ดี มีครั้งหนึ่งเยี่ยนจั๋วที่อยู่บนสนามประลองยุทธ บอกว่าจะ ‘ถ่ายทอดวิชาแทนอาจารย์’ จึงถ่ายทอดวิชาหมัดล้ำโลกชุดนั้นให้แก่แม่นางน้อยกวอจู๋จิ่ว เฉินผิงอันนั่งมองอยู่ด้านข้าง ไม่สนใจหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กที่ก่อเรื่องเหลวไหล เพียงแค่เหลือบตามองไปยังภาพบรรยากาศการหลอมปราณวิญญาณของเฉินซานชิวกับต่งฮว่าฝูที่อยู่ในศาลา พวกเขาใช้สะพานแห่งความเป็นอมตะเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างฟ้าดินเล็กใหญ่ ปราณวิญญาณไหลวนอย่างรวดเร็วจนทำให้คนต้องมองตามตาไม่กะพริบ เฉินผิงอันมองแล้วก็ให้กลัดกลุ้มเล็กน้อย มักรู้สึกว่าการเข้าฌานทำสมาธิของตนในทุกวันนี้ผิดต่อสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมอย่างหน้าผาสังหารมังกรแห่งนี้ยิ่งนัก
หนิงเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยปลอบใจว่า “สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้ายังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งพวกเขาสองคนยังเป็นผู้ฝึกตนโอสถทอง เจ้าถึงได้รู้สึกว่าห่างชั้นไกลมาก รอให้เจ้ารวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตครบห้าชิ้น ห้าธาตุช่วยสนับสนุนส่งเสริมกันและกัน ตอนนี้วัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสามชิ้นอย่างตราประทับอักษรน้ำ ดินของขุนเขาทั้งห้าแห่งแจกันสมบัติทวีป เทวรูปไม้ ระดับขั้นของวัตถุทั้งสามสิ่งนี้ล้วนดีมากพอ จึงทำให้มีเค้าโครงของฟ้าดินขนาดเล็กแล้ว ต้องรู้ว่าต่อให้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีห้องโอสถที่ซับซ้อนขนาดนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ดีพอเล่มหนึ่งก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากมายขนาดนี้มาช่วยประคับประคองเสียหน่อย”
หนิงเหยาเอ่ย “ข้าก็กำลังพูดปลอบใจเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รับน้ำใจไว้แล้ว”
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เตี๋ยจ้างต้องยุ่งอยู่กับกิจการของร้านทุกวัน จะไม่ถ่วงเวลาการฝึกตนของนางจริงๆ หรือ?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่หรอก นอกจากการเลื่อนขั้นจากห้าขอบเขตล่างสู่ขอบเขตถ้ำสถิตและขอบเขตโอสถทองที่ต้องมาอยู่ในจวนหนิงแล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตของเตี๋ยจ้างครั้งอื่นๆ ล้วนอาศัยตัวเองทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ผ่านการขัดเกลาบนสนามรบ เตี๋ยจ้างก็จะฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วมาก นางคือผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาก็เหมาะแก่เข่นฆ่าสังหารที่มีรูปแบบใหญ่มากที่สุด คราวก่อนที่นางประมือกับต่งฮว่าฝู อันที่จริงเจ้ายังไม่ได้เห็นรอบด้าน รอจนลงสนามรบอย่างแท้จริง ได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเตี๋ยจ้างเมื่อไหร่ เจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่าเหตุใดเตี๋ยจ้างถึงถูกพวกเฉินซานชิวมองเป็นเพื่อนตาย นอกจากข้าแล้ว ทุกครั้งที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง เฉินซานชิวจะต้องถามเจ้าอ้วนเยี่ยนกับต่งด่านดำว่า มองท้ายทอยของเตี๋ยจ้างชัดเจนดีหรือยัง สรุปว่าสวยหรือไม่”
หนิงเหยาเอ่ย “นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้อาวุโสของต่ง เฉินสองตระกูลชื่นชอบเตี๋ยจ้างที่มีชาติกำเนิดไม่ค่อยดีอยู่มาก โดยเฉพาะทางฝั่งของตระกูลต่งที่ยังตั้งใจจะให้คนหนุ่มมากความสามารถในตระกูลคนหนึ่งมาสู่ขอเตี๋ยจ้าง พี่ชายของเฉินซานชิวคนนั้นพยักหน้าตอบตกลงแล้ว เพียงแต่เตี๋ยจ้างเองที่ไม่ตกลง ท่านปู่ต่งยินดีมาเลี้ยงอำลาหวงถงเซียนกระบี่แห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยโดยเลือกร้านของเตี๋ยจ้าง นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า แต่เป็นเพราะเตี๋ยจ้างเคยช่วยชีวิตต่งถ่านดำเอาไว้ เตี๋ยจ้างเคยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘หากข้าต้องตาย ไม่จำเป็นต้องช่วยข้า’ ท่านปู่ต่งจึงชื่นชมนางอย่างมาก”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “เรื่องพวกนี้ข้าไม่ได้พูดอะไรกับเตี๋ยจ้างมากนัก นางเป็นคนละเอียดอ่อน มักจะคิดมากอยู่เสมอ ข้ากลัวว่านางจะเสียสมาธิ นางเลื่อมใสพวกเซียนกระบี่อาวุโสที่มีผลงานการรบเลื่องลือมากเกินไป ซึ่งอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในร้านเจ้าก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นจั่วโย่วหรือท่านปู่ต่ง หรือไม่ก็พวกหานไหวจื่อ ลี่ไฉ่ พอเตี๋ยจ้างเห็นพวกเขาก็จะต้องมีท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สังเกตเห็นอยู่จริงๆ หากเจ้าตอบตกลง วันหน้าข้าสามารถคุยกับนางเรื่องนี้ได้ ข้าค่อนข้างจะมั่นใจ”
หนิงเหยาจ้องเฉินผิงอัน ถามว่า “เรื่องแบบนี้มีอะไรให้ต้องไม่ตอบตกลงกันเล่า หรือจะบอกว่า เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนไร้เหตุผล?”
เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมาบีบแก้มหนิงเหยา “จะเป็นไปได้อย่างไร”
เจ้าอ้วนเยี่ยนที่คอยตาดูหูฟังรอบทิศอยู่ตลอดเวลาไม่ทันระวังโดนแม่นางน้อยที่เรียนวิชาฝ่าเท้าจากเขาไปเตะเข้าที่ใบหน้า เยี่ยนจั๋วไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิด เขาหันไปขยิบตาให้กวอจู๋จิ่ว แม่นางน้อยจึงหันไปมอง แล้วก็ต้องสูดลมหายใจดังเฮือก อาจารย์ช่างใจกล้ายิ่งนัก สมกับเป็นยอดฝีมือผู้กล้าหาญจริงๆ! ส่วนตนก็ยิ่งฉลาดเฉลียวและโชคดีอย่างถึงที่สุด กราบอาจารย์ขอเรียนวิชาครั้งนี้ มีแต่กำไรไม่มีขาดทุน!
หนิงเหยายืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้เจ้าคนผู้นั้นใช้สองนิ้วหนีบแก้มสองข้าง “เก่งขนาดนี้ ไม่สู้ไปที่ฟ้าดินเล็กเมล็ดงา ให้ข้าช่วยฝึกซ้อมมือให้เจ้าดีไหม?”
เฉินผิงอันรีบดึงมือกลับมา แต่เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายไปยังลานฝึกยุทธ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เชิญ”
หนิงเหยาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง แล้วทะยานร่างเข้าไปในฟ้าดินเล็กเมล็ดงาสนามประลองยุทธที่อยู่ทางใต้สุดแห่งนั้น พอพลิ้วกายหยุดยืนนิ่งแล้วก็บิดหมุนข้อมือเบาๆ
เฉินผิงอันวิ่งหายไปไม่เหลือเงา
หนิงเหยาเองก็ไม่ได้ไล่ตามเขาไป เพียงแค่เรียกกระบี่บินออกมา เดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่ในฟ้าดินเล็กเมล็ดงา ไม่ถือว่าเป็นการฝึกกระบี่ แค่ให้กระบี่บินของตัวเองออกมาเจอฟ้าดินภายนอกหลังจากที่ไม่ได้ออกมานานก็เท่านั้น
เรื่องของการฝึกตน สำหรับหนิงเหยาแล้ว ไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย
กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างเหม่อลอยว่า “รู้จักประเมินสถานการณ์ ยืดได้หดได้ อาจารย์ของข้าสมกับเป็นชายชาตรีจริงๆ”
เยี่ยนจั๋วถาม “ลวี่ตวน ข้าสอนวิชาหมัดให้เจ้า เจ้าวิชาประจบสอพลอนี้ให้ข้า ตกลงไหม?”
แม่นางน้อยเลียนแบบอาจารย์มือดาบชุดเขียวตอนอยู่ในศึกใหญ่บนถนนที่ก่อนเผชิญหน้ากับศัตรูจะต้องตั้งท่าอันสง่างามด้วยการเอามือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้เบื้องหน้า อีกมือหนึ่งไพล่ไว้ด้านหลัง ก่อนส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าไม่จริงใจมากพอ คุณสมบัติก็ยิ่งแย่”
เยี่ยนจั๋วอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
หนิงเหยากวักมือเรียก “ลวี่ตวน มาโดนซ้อม”
กวอจู๋จิ่วร้องรับคำหนึ่งว่าได้เลย จากนั้นก็เริ่มเผ่นหนี จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง ทะยานลมหลบหนีจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าไม่ได้คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหลเหมือนว่าที่อาจารย์ของนางก็เท่านั้น
ศิษย์สู้อาจารย์ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องอับอาย
น่าเสียดายก็แต่หนิงเหยาได้ยื่นมือมาคว้าจับ ใช้ปราณกระบี่เล็กๆ เสี้ยวหนึ่งที่กะน้ำหนักอย่างพอดีมาห่อหุ้มร่างของกวอจู๋จิ่วเอาไว้ แล้วกระชากอีกฝ่ายมาอยู่ข้างกายตัวเองได้อย่างง่ายดาย
กวอจู๋จิ่วเดินเซไปก้าวหนึ่งก่อนจะหยุดยืนนิ่ง นางตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ประกบสองมือเข้าด้วยกัน จากนั้นนิ้วทั้งสิบก็ทำมุทราตัดสลับกัน “ฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ดินศักดิ์สิทธิ์ พี่หญิงหนิงมองไม่เห็น โดนตีก็ไม่เจ็บ!”
เยี่ยนจั๋วยกสองมือปิดหน้าแล้วขยี้หน้าตัวเองอย่างแรง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “หากจะให้ข้ารับคนอย่างลวี่ตวนเป็นลูกศิษย์ ข้ายอมกราบนางเป็นอาจารย์ดีกว่า”
หากกวอจู๋จิ่วคิดว่าเพียงแค่นี้ก็สามารถหลบพ้นหายนะไปได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นนางก็ดูแคลนหนิงเหยาเกินไปหน่อยแล้ว