กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 599.1 หมัดเดียวต่อยให้เถ้าแก่รองล้มคว่ำ
ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยคารวะแม่นางหนิง”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ดีใจมากที่ได้พบกับอาจารย์หลิว”
ป๋ายโส่วยื่นมือมาปัดนิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันที่วางไว้บนศีรษะตัวเองออก เขารู้สึกมึนงงสับสน คำเรียกขานเช่นนี้ ชวนให้ขบคิดแหะ
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตามไปด้วย
ส่วนกาเหล้าที่วางไว้บนม้านั่งตัวยาวนั้น ก่อนที่เขาจะเอาสองมือสอดกันก็แอบยื่นนิ้วข้างหนึ่งผลักมันไปไว้ข้างกายป๋ายโส่วก่อนแล้ว อาจารย์และศิษย์คู่นี้ เป็นคู่ผีขี้เหล้าน้อยใหญ่ ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย ต้องเกลี้ยกล่อมสักหน่อยแล้ว
หนิงเหยานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน
ป๋ายโส่วขยับไปนั่งข้างกายฉีจิ่งหลง ตอนที่ลุกขึ้นยังไม่ลืมหยิบเหล้ากานั้นมาด้วย
หนิงเหยาเป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุยว่า “ในอดีตข้าเคยไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปมาก่อน เพียงแต่ว่าไม่เคยไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย ส่วนใหญ่ล้วนท่องอยู่ด้านล่างภูเขา”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “วันหน้าสามารถหวนกลับไปยังอุตรกุรุทวีปพร้อมกับเฉินผิงอันได้ ทัศนียภาพบนยอดเขาเพียนหรานไม่เลวเลยจริงๆ”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ช่วงนี้คงจะยาก”
ฉีจิ่งหลงตอบ “ก็จริง”
หนิงเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก็หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มป๋ายโส่ว
ป๋ายโส่วรีบขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวมทันที
หนิงเหยาเอ่ย “ในเมื่อเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของอาจารย์หลิว เหตุใดไม่ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”
แม้ว่าในประโยคจะมีคำว่า ‘ทำไม’ แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้แสดงการซักไซ้
ป๋ายโส่วตอบอย่างระมัดระวังราวกับกำลังตอบคำถามของอาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน “พี่หญิงหนิง ข้าจะตั้งใจ!”
หนิงเหยาเอ่ย “ฝึกกระบี่เรียนกระบี่ จำเป็นต้องถามเจตนาเดิมของตัวเอง ถามกระบี่ ถามกระบี่ คือการที่ตนคิดร้อยพันตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ จึงต้องใช้กระบี่ถามฟ้าดินโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด ต้องสอนให้ฟ้าดินรู้ว่า ไม่อยากตอบก็ต้องตอบ”
เด็กหนุ่มน้อยใจแต่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า ได้แต่พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
แต่คำพูดของพี่หญิงหนิงก็ช่างเต็มไปด้วยความองอาจกล้าหาญจริงๆ เวลานี้ฟังคำสอนของพี่หญิงหนิง เขาก็ถึงขั้นอยากดื่มเหล้าแล้ว จะต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีๆ แน่นอน
ฉีจิ่งหลงไม่คิดว่าคำพูดของหนิงเหยามีอะไรไม่เหมาะสม
หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่พูดประโยคนี้ บางทีอาจไม่ถูกกาลเทศะ แต่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หนิงเหยาชี้แนะวิชากระบี่ให้แก่ผู้อื่น ก็ไม่ต่างจากเซียนกระบี่ถ่ายทอดความรู้ให้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หนิงเหยายังยินดีจะเอ่ยเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าหนิงเหยาต้องการจะพิสูจน์ข่าวลือ แต่เป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางคือเพื่อนของเฉินผิงอัน และลูกศิษย์ของเพื่อน ขณะเดียวกันก็เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้ฝึกกระบี่
หนิงเหยาลุกขึ้นเอ่ยขอตัว “ข้าไปปิดด่านต่อแล้ว”
ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นตาม “รบกวนการปิดด่านของแม่นางหนิงแล้ว”
หนิงเหยาหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “ในบ้านยังมีเหล้าที่เก็บเอาไว้เป็นอย่างดีอยู่อีก ไปขอจากท่านปู่น่าหลันได้เลย”
ฉีจิ่งหลงอึ้งตะลึง ก่อนจะอธิบายว่า “แม่นางหนิง ข้าไม่ดื่มเหล้า”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “อาจารย์หลิวไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ต่อให้สุราในจวนหนิงมีไม่มากพอ กำแพงเมืองปราณกระบี่นอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้วก็สุรานี่แหละที่มีเยอะ”
เฉินผิงอันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง พยักหน้ารับ “นั่นสิๆ”
แล้วแอบยกนิ้วโป้งให้หนิงเหยา
อันที่จริงในบันทึกภูเขาสายน้ำที่เฉินผิงอันเขียนด้วยตัวเองเล่มนั้น สรุปว่าฉีจิ่งหลงชอบดื่มเหล้าหรือไม่ เขาเขียนบอกไว้นานแล้ว แน่นอนว่าหนิงเหยาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
พอหนิงเหยาจากไป
ป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอนตัวพิงพังพาบอยู่กับราวรั้วของศาลา พูดด้วยสายตาที่มีแววตำหนิ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่กลัวพี่หญิงหนิงเลยหรือ? ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้พบกับเจ้าสำนักยังไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนเลย”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “กลัวอะไรกัน บุรุษตัวโตๆ จะกลัวภรรยาของตัวเองได้อย่างไร”
ฉีจิ่งหลงพลันหันหน้ามองไปยังจุดเชื่อมต่อระหว่างระเบียงทางเดินกับหน้าผาสังหารมังกร
เส้นเอ็นหัวใจเฉินผิงอันหดเกร็งทันใด ยื่นคอยืดยาวออกไปมอง แต่กลับไม่เห็นเรือนร่างของหนิงเหยา ถึงได้ด่าขำๆ ว่า “ฉีจิ่งหลง เจ้าตัวดี กลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว หลักการเหตุผลไม่เห็นมีเพิ่มขึ้น แต่ความคิดชั่วร้ายกลับมีเต็มท้อง!”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าบอกข้ามาตามตรง สรุปว่าทุกวันนี้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีกี่คนที่คิดว่าข้าเป็นผีขี้เหล้า? ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พูด”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเองก็เห็นว่าข้าเพิ่งจะมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้นานแค่ไหนกันเอง ทุกวันต้องยุ่งวุ่นวาย ต้องมานะขยันฝึกวิชาหมัด ใช่ไหม? แล้วยังต้องไปหาศิษย์พี่ที่หัวกำแพงเมืองเพื่อฝึกกระบี่บ่อยๆ อีก หากไม่ทันระวังก็จะต้องนอนบนเตียงสิบวันครึ่งเดือน แล้วทุกวันยังต้องหลอมลมปราณอีกสิบชั่วยามเต็ม ดังนั้นทุกวันนี้จึงฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณแล้ว เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตห้า อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่บนถนนทุกเส้นล้วนเต็มไปด้วยเซียนกระบี่ ข้าจะมีหน้าออกมาเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกบ่อยๆ หรือ? เจ้าลองถามใจตัวเองดูเถอะว่าหนึ่งปีมานี้ข้าจะได้รู้จักคนสักกี่คนกันเชียว?”
ฉีจิ่งหลงเอ่ย “ต้องอธิบายยาวขนาดนี้เชียว?”
เฉินผิงอันบื้อใบ้ไร้คำตอบโต้ อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีจริงๆ
ฉีจิ่งหลงยิ้มพูดพลางลุกขึ้นยืน “ได้ยินชื่อเสียงของแท่นสังหารมังกรและฟ้าดินเล็กเมล็ดงาของจวนหนิงมานานแล้ว แท่นสังหารมังกรได้เห็นแล้ว ลงไปดูลานประลองยุทธกัน”
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างกังขา “ได้เห็นแท่นสังหารมังกรที่ไหน อยู่ที่ไหน?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีหัวสุนัขน้อยๆ เสียเปล่า ตาสุนัขหรือไรเจ้า?”
ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เห็นแก่หน้าของพี่หญิงหนิง ข้าจะไม่ถือสาเจ้า!”
เฉินผิงอันกระทืบเท้า “ก้มหัวสุนัขลงมอง เบิกตาสุนัขให้กว้าง”
ป๋ายโส่วอึ้งงันเป็นไก่ไม้ “ภูเขาเล็กๆ ทั้งลูกด้านล่างศาลานี้ก็คือแท่นสังหารมังกรทั้งหมดเลยหรือ?!”
เฉินผิงอันเดินลงจากแท่นสังหารมังกรมุ่งหน้าไปยังฟ้าดินเล็กเมล็ดงาแห่งนั้นพร้อมกับฉีจิ่งหลงแล้ว
ป๋ายโส่วไม่ได้ไปร่วมวงความครึกครื้นด้วย ฟ้าดินเล็กเมล็ดงาอะไรกัน ไหนเลยจะทำให้เด็กหนุ่มสนใจได้มากกว่าอยู่บนแท่นสังหารมังกร ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คลังเจี่ยจ้าง แค่เคยได้ยินมาว่าที่นี่มีแท่นสังหารมังกรขนาดใหญ่มาก แต่ตอนนั้นจินตนาการของเด็กหนุ่มมีจำกัด คิดว่าอย่างมากก็น่าจะใหญ่เท่าโต๊ะตัวหนึ่ง ไหนเลยจะคิดได้ว่ามันจะมีขนาดพอๆ กับจวนหนึ่งหลัง! เวลานี้ป๋ายโส่วนอนคว่ำอยู่บนพื้น กระดกก้นขึ้น ยื่นมือไปลูบพื้นดิน จากนั้นก็เบี่ยงหน้าไปด้านข้าง งอนิ้วเคาะลงเบาๆ เพื่อฟังเสียงของมัน ผลคือไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ป๋ายโส่วใช้ข้อมือเช็ดพื้น พูดอย่างสะท้อนใจว่า “เด็กดี บ้านของพี่หญิงหนิงมีเงินจริงๆ!”
เดินเข้าไปในฟ้าดินเล็กเมล็ดงาพร้อมกับเฉินผิงอัน ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “ตอนอยู่ที่คลังเจี่ยจ้างได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาไม่น้อย ฉายาเถ้าแก่รองนี้ อย่าว่าแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลย ต่อให้ตอนข้าอยู่เรือนชุนฟานก็ยังได้ยิน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เรื่องดีไม่ทิ้งชื่อ เรื่องเลวร้ายแพร่ไปพันลี้”
ฉีจิ่งหลงถาม “คุยกันที่นี่หรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “หากเป็นคำพูดทั่วไป ไม่มีอะไรให้ต้องกริ่งเกรง”
มีน่าหลันเย่สิงคอยช่วยจับตามองให้อยู่ บวกกับที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในฟ้าดินเล็กเมล็ดงา ต่อให้มีเซียนกระบี่ลอบมองมาก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงพลังสังหารจากการรวมตัวกันของสามกองกำลัง
นอกจากเซียนกระบี่ของจวนหนิงที่ต่อให้ขอบเขตถดถอยก็ยังเป็นหยกดิบอย่างน่าหลันเย่สิงแล้ว เดิมทีฉีจิ่งหลงก็เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ เบื้องหลังยังมีหานไหวจื่อเจ้าสำนักและลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิง หรือควรจะพูดว่าตลอดทั้งอุตรกุรุทวีป ส่วนเฉินผิงอันก็มีศิษย์พี่จั่วโย่วที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมือง แค่นี้ก็เพียงพอ
ฉีจิ่งหลงถึงได้เอ่ยว่า “มีอยู่สามเรื่องที่เจ้าทำได้ดีมาก ความรู้ที่ไม่เก็บเงินในใต้หล้า ความรู้ประเภทที่ว่าถูกโยนทิ้งไว้บนพื้นให้คนเก็บมาได้เปล่าๆ ส่วนใหญ่มักจะไม่มีคนสนใจ เก็บมาแล้วก็ไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า”
สีหน้าของเฉินผิงอันจริงจัง “พูดต่อได้เลย เจ้าเป็นคนนอกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ช่วยข้าทบทวนกระดานหมากย่อมดียิ่งกว่า”
ฉีจิ่งหลงเอ่ยเนิบช้า “เปิดร้านเหล้า ขายเหล้าหมักตระกูลเซียน แต่จุดสำคัญนั้นอยู่ที่คำโคลงคู่และคำกลอน รวมไปถึงชื่อและความในใจของทุกคนที่เขียนลงไปบนป้ายสงบสุข ต่อให้ไปดื่มเหล้าที่ร้านก็มองไม่เห็น”
“ทางฝั่งของร้านผ้าแพร จากตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ไปจนถึงตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ แล้วก็ไปถึงพัดพับ”
“นักเล่านิทานตรงมุมของถนนที่ขอขนมและเมล็ดแตงจากพวกเด็กๆ กิน”
ฉีจิ่งหลงพูดสามเรื่องนี้จบก็เริ่มให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลง “ผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้านี้ที่มีฐานะร่ำรวยที่สุด แล้วก็จนที่สุด ก็คือผู้ฝึกกระบี่ เพื่อเลี้ยงกระบี่ คอยเติมเต็มหลุมที่ไร้ก้นนี้ แต่ละคนยอมทุบหม้อขายเหล็กจนเหมือนคนล้มละลาย บางครั้งมีเงินเหลือบ้าง อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ บุรุษก็หนีไม่พ้นเอามาใช้ซื้อเหล้าดื่มและพนันขันต่อ ส่วนผู้ฝึกกระบี่หญิง เมื่อเทียบกันแล้วจะไม่มีเรื่องให้ทำมากกว่า นี่ก็หนีไม่พ้นอาศัยความชื่นชอบของแต่ละคนมาซื้อของที่ถูกตาต้องใจ เพียงแต่ว่าการจ่ายเงินประเภทนี้ มักจะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้สตรีรู้สึกว่ามีค่าควรให้เอามาพูดถึง เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ราคาถูก หรือควรจะเรียกว่าเหล้าภูเขาชิงเสิน โดยทั่วไปแล้วคงได้แค่ทำให้คนมาดื่มครั้งสองครั้ง แต่กลับไม่อาจรั้งคนเอาไว้ได้ ไม่อาจแย่งชิงลูกค้ามาจากร้านเหล้าน้อยใหญ่เหล่านั้น แต่ไม่ว่าความตั้งใจแรกจะเป็นอย่างไร ขอแค่ได้แขวนป้ายสงบสุขไว้บนผนังแล้ว ในใจก็จะมีความผูกพันเล็กๆ เกิดขึ้น มองดูเหมือนเบาบางมาก แต่ความจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะกับพวกเซียนกระบี่ที่มีนิสัยแตกต่างกันไป ใช้ปราณกระบี่ต่างพู่กัน ตวัดพู่กันจะเบาบางได้หรือ? คำพูดมากมายบนป้ายสงบสุข ไหนเลยจะเป็นถ้อยคำที่ไร้ความตั้งใจได้ สำหรับเซียนกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่บางคนก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการทิ้งคำสั่งเสียให้แก่ฟ้าดินแห่งนี้”
“หากเปลี่ยนมาเป็นข้าฉีจิ่งหลง ตอนที่ไปดื่มเหล้าที่ร้านแห่งนั้น ต่อให้จะนั่งอยู่บนโต๊ะเก่าๆ ดื่มเหล้าชั้นเลว กินบะหมี่หยางชุนกับผักดองที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ถึงขั้นไปนั่งดื่มเหล้าข้างทาง แต่คนที่นั่งเคียงข้างข้าอย่างแท้จริงคือปณิธานอันแจ่มชัดของเซียนกระบี่ คือผู้ฝึกกระบี่ร้อยกว่าท่าน คือจุดศูนย์รวมของปณิธานกระบี่ตลอดทั้งชีวิต คือความจริงในใจที่เอ่ยออกมาหลังเมามาย และยิ่งหวังว่าในอนาคตจะมีวันหนึ่งที่คนรุ่นหลังจะมาพลิกเปิดป้ายสงบสุขเหล่านั้นแล้วได้รู้ว่า ระหว่างฟ้าดินเคยมีปราชญ์ผู้ล่วงลับได้มาออกกระบี่ที่นี่”
“แน่นอนว่าเมื่อมีร้านเหล้าแล้ว ขอแค่กิจการไม่เลว เถ้าแก่รองอย่างเจ้าที่อยู่ที่นั่นก็สามารถใช้วิธีการเป็นธรรมชาติที่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้มากที่สุดมารับฟังเรื่องราวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้มากที่สุด ทำให้เจ้าสามารถเข้าใจกระดานหมากของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่สถานการณ์ซับซ้อนด้วยความเร็วสูงสุด”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นอกจากนี้แล้ว ข้ายังช่วยหาลูกค้ามาให้กับแม่นางเตี๋ยจ้างที่เป็นเพื่อนของหนิงเหยา และตอนนี้ก็เป็นเพื่อนของข้าด้วย นี่ต่างหากจึงจะเป็นเจตนาแรกเริ่มสุดของข้า ความคิดต่อมาจึงทยอยกันเกิดขึ้น เจตนาเดิมกับอุบาย อันที่จริงระหว่างสองอย่างนี้ห่างกันแค่นิดเดียว แทบจะเป็นว่าเมื่อมีความคิดแรกผุดขึ้นมาก็มีความคิดต่อมาตามมาติดๆ”
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “สามารถพูดจาตรงไปตรงมาแบบนี้ได้ วันหน้าเมื่อได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ จิตแห่งกระบี่เดินไปบนเส้นทางที่สะอาดสว่าง ก็มากพอจะมาแขวนชื่อไว้ในสำนักกระบี่ไท่ฮุยของข้าแล้ว”
เฉินผิงอันถาม “ไม่ได้ลองเกลี้ยกล่อมเจ้าสำนักหานดูหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เกลี้ยกล่อมแล้ว ก็แค่หาเรื่องให้ตัวเองโดนด่าเท่านั้น ยังจะทำอย่างไรได้อีก อันที่จริงตัวข้าเองไม่ได้อยากจะเกลี้ยกล่อมเขา แต่เป็นเพราะบรรพจารย์หวงถงเกลี้ยกล่อมข้าให้มาเกลี้ยกล่อมเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสเรียกร้องมา มิกล้าปฏิเสธ”
ก่อนหน้านี้ฉีจิ่งหลงลืมเหล้ากาที่อยู่บนม้านั่งยาวไปแล้ว เฉินผิงอันจึงช่วยหิ้วมาให้เขา ยามนี้จึงได้เวลาใช้งาน เขายื่นส่งมันไปให้อีกฝ่าย “ตามคำกล่าวของที่แห่งนี้ เซียนกระบี่ไม่ดื่มเหล้า ก่อกำเนิดจะจากไป รีบดื่มเร็วเข้า หากไม่ระวังแอบฝ่าทะลุขอบเขตอีกรอบ กลายเป็นขอบเขตเซียนเหรินเหมือนกันแล้ว แล้วค่อยอาศัยวัยที่น้อยกว่า ให้เจ้าสำนักหานกดขอบเขตมาประลองฝีมือกับเจ้า ถึงเวลานั้นซ้อมจนเจ้าสำนักหานของพวกเจ้าเป็นฝ่ายหนีกลับไปที่อุตรกุรุทวีปเอง นั่นจะไม่ยิ่งดีหรอกหรือ?”
ฉีจิ่งหลงรับกาเหล้ามา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า เขาไม่อยากต่อบทสนทนาเรื่องนี้เลยสักนิด จึงเอ่ยหัวข้อก่อนหน้านี้ต่อว่า “วัตถุอย่างตราประทับนั้น เดิมทีคือเครื่องประดับที่วางไว้บนโต๊ะของปัญญาชน สอดคล้องกับความรู้และจิตดั้งเดิมของแต่ละบุคคลมากที่สุด ในใต้หล้าไพศาล อย่างมากสุดบัณฑิตก็ยืมมือคนอื่น ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างผู้เชี่ยวชาญมาแกะสลักตัวอักษรและริมขอบตราประทับให้ น้อยครั้งที่จะมอบทั้งตราประทับและให้คนอื่นคิดตัวอักษรที่จะสลักไปพร้อมกันทีเดียว ดังนั้นการที่เจ้าทำตราประทับออกมาสองร้อยชิ้นโดยที่ไม่สนใจสิ่งใด ตอนแรกก็เป็นตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ก่อน ภายหลังจึงมีตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ อยากอ่านหรือไม่ก็ตามใจ อยากซื้อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า อันที่จริงนี่เป็นการทดสอบเรื่องของการซื้อขายที่อาศัยการถูกชะตามากที่สุด ดังนั้นจึงถือว่าเจ้ามีความตั้งใจอย่างมาก แต่หากไม่มีเรื่องเล่าและข่าวลือเล็กๆ มากมายที่แพร่จากร้านเหล้าช่วยปูพื้นให้เจ้า ทำให้เจ้ามีเป้าหมาย การที่ต้องคาดเดาความคิดจิตใจเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่เซียนดินตั้งมากมายขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาดเดาเรื่องเส้นทางชีวิตของพวกเขา เจ้าย่อมมีทางได้ผลลัพธ์อย่างทุกวันนี้แน่นอน การที่ทำให้คนยอมอดทนรอคอยตราประทับชิ้นถัดไป ต่อให้ตัวอักษรจะไม่ตรงใจ แต่ก็ยังถูกคนกวาดเอาไปเกลี้ยงได้อย่างทุกวันนี้ นั่นก็เพราะไม่ว่าใครล้วนรู้ดีว่า ตราประทับของร้านผ้า เดิมทีก็ไม่แพงอยู่แล้ว ซื้อตราประทับมาสิบชิ้น ขอแค่ขายไปได้สักชิ้นก็ได้กำไรแล้ว ดังนั้นตอนที่เจ้าจะรวมเล่มตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ อันที่จริงเจ้าก็เป็นกังวล กังวลว่าตราประทับนี้เป็นเพียงแค่การค้าเล็กๆ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากมีตราประทับชุดที่สาม จะทำให้วัตถุชิ้นนี้ล้นตลาด ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อแรงใจที่ทุ่มเทลงไปกับตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ก่อนหน้านี้ นี่จึงเป็นเหตุให้เจ้าไม่ได้เดินไปบนเส้นทางสุดโต่ง ไม่ได้ทุ่มเทจิตใจทุ่มแรงกายทั้งหมดแกะสลักตราประทับอีกร้อยชิ้น แต่หันไปเลือกวิธีอื่นด้วยการขายพัดพับแทน เนื้อหาตัวอักษรบนหน้าพัดก็ยิ่งเขียนไปเรื่อยเปื่อยตามใจชอบ ‘ผลงานลายมือแท้ลำดับรองลงมา’ ประเภทนี้ ไม่เพียงแต่สามารถดึงให้สตรีมาซื้อ ในทางกลับกันยังทำให้พวกคนซื้อที่ตราประทับไปเก็บสะสมไว้มีการนำมาเปรียบเทียบกัน แล้วก็จะรู้สึกว่าตราประทับที่ได้มาอยู่ในมือก่อนหน้านี้ ซื้อมาเก็บไว้ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”