กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 601.1 ลูกศิษย์กับนักเรียนไปพบครูและอาจารย์
ฤดูใบไม้ร่วงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีลมพัดใบอู๋ถง ฝนราตรีพรมใบกล้วย นกร้องบนใบบัวแห้งเหี่ยว ลมตะวันตกม้วนตลบ ยวนยางเกาะแผ่นน้ำแข็ง ดอกกุ้ยลอยล่องบนผืนน้ำ
แต่กลับมีสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มปลิดปลิวลงจากขั้ว ยามดึกสายลมเยือกเย็น ทั่วทั้งเมืองถูกส่องสว่างด้วยแสงจันทรา
ในใต้หล้าไพศาล เวลานี้กลับเป็นช่วงของลมฝนฤดูใบไม้ผลิ กลอนคู่วันปีใหม่ ภูเขาสายน้ำให้กำเนิดพืชหญ้า ใต้หล้าเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียนแจกันสมบัติทวีป ในช่วงเวลาที่แมลงตื่นจากการจำศีล เทวดาบนสวรรค์พลันเปลี่ยนสีหน้า แสงแดดที่สาดส่องกลายมาเป็นเมฆดำทะมึน จากนั้นก็มีฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำลงมา
แม่นางน้อยสามคนนอนฟุบอยู่บนราวระเบียงชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ชมสายฝนไปด้วยกัน
ฝั่งซ้ายขวาของแม่นางน้อยชุดดำวางไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตที่สีสดปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้ และไม้คานหาบสีทองเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ในฐานะผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่แท้จริงของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว โจวหมี่ลี่แอบตั้งฉายาให้กับไม้เท้าเดินป่าและไม้คานหาบอันเล็กนี้ว่า ‘ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาน้อย’ ‘ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายน้อย’ เพียงแต่ไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับเผยเฉียน เผยเฉียนชอบตั้งกฎมากมายนัก น่ารำคาญ มีหลายครั้งที่นางไม่อยากเล่นเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายแล้ว
ทว่าเมื่อครั้งที่ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันนั้น เพิ่งจะผ่านไปได้แค่ไม่กี่วัน โจวหมี่ลี่ก็เริ่มนับนิ้วรอให้เผยเฉียนมาเล่นกับนางแล้ว
เฉินหน่วนซู่เป็นกังวลเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเฉินหลิงจวินเพิ่งจะตัดสินใจว่า ขอแค่เขาเลื่อนสู่โอสถทอง ก็จะเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปเพื่อเลียบลำน้ำลงมหานที
เผยเฉียนเปลี่ยนท่าใหม่เป็นนอนหงายหน้า ใช้สองมือรองสอดกันต่างหมอน นอนไขว่ห้างแล้วแกว่งเท้าเบาๆ คิดดูแล้วก็ขยับร่างเล็กน้อย เปลี่ยนทิศทางหันปลายเท้าไปทางม่านฝนที่อยู่นอกชายคาเรือนไม้ไผ่ ช่วงนี้เผยเฉียนเองก็หงุดหงิดอยู่เหมือนกัน ฝึกวิชาหมัดกับพ่อครัวเฒ่า นางมักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง จืดชืดไร้รสชาติ มีครั้งหนึ่งนางร้อนใจจึงหันไปคำรามใส่พ่อครัวเฒ่าอย่างเดือดดาล จากนั้นก็ถูกพ่อครัวเฒ่าเตะจนสลบอย่างไม่เกรงใจกันสักเท่าไร หลังจบเรื่องอันที่จริงเผยเฉียนรู้สึกผิดต่อพ่อครัวเฒ่าไม่น้อย แต่ไม่ยินดีจะพูดคำว่าขอโทษ นอกจากประโยคนั้นที่นางพูดค่อนข้างตรงไปหน่อย อื่นๆ ก็ล้วนเป็นพ่อครัวเฒ่าที่ทำไม่ถูกก่อน ป้อนหมัดก็ควรเหมือนท่านปู่ชุยที่ซ้อมนางอย่างเอาเป็นเอาตายสิ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ฆ่านางให้ตายจริงๆ เสียหน่อย โดนซ้อมนางไม่กลัวอยู่แล้ว แค่หลับตาแล้วก็ลืมตา หาวไม่กี่ทีก็เป็นวันใหม่แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อครัวเฒ่าจะกลัวอะไร
ทุกครั้งที่ลงมือเจ้าพ่อครัวเฒ่ากลับไม่ได้ออกแรงอะไรเลย นี่จะนับเป็นอะไรได้ ทุกครั้งที่นางแช่ถังยาจะต้องใช้เงินของอาจารย์ไปมากน้อยแค่ไหน? นางกับหน่วนซู่เคยช่วยกันคำนวณ หากอิงตามวิธีการฝึกวรยุทธของนางในเวลานี้ ต่อให้เผยเฉียนไปที่ร้านของตรอกฉีหลงแล้วลากพี่หญิงสือโหรวมาทำการค้าด้วยกัน ต่อให้เปิดร้านถึงตอนกลางคืน ด้วยเศษเงินน้อยนิดที่นางได้มานั่นก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ร้อยปีถึงจะได้กำไรกลับคืนมา ดังนั้นพ่อครัวเฒ่าเจ้าจะทำอิดๆ ออดๆ ไปไย ทำท่าไม่มีแรงราวกับคนกินข้าวไม่อิ่มอย่างนั้นแหละ ป้อนหมัดก็ต้องตั้งใจออกหมัด ถึงอย่างไรนางก็ต้องมีจุดจบคือสลบเหมือดอยู่แล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้นางเองก็อดทนข่มกลั้นมาหลายครั้งแล้ว สุดท้ายทนไม่ไหวถึงได้ระเบิดโทสะออกมา
ดังนั้นวันนั้นพอนางตื่นขึ้นมากลางดึกถึงได้วิ่งไปเรียกให้พ่อครัวเฒ่าทำอาหารมื้อดึกให้ แล้วยังกินข้าวได้มากกว่าเดิม พ่อครัวเฒ่าก็น่าจะเข้าใจว่านี่คือการขอโทษของนางแล้วกระมัง ตอนนั้นพ่อครัวเฒ่าผูกผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอว ยังช่วยคีบกับข้าวให้นาง ท่าทางไม่เหมือนคนโกรธ พ่อครัวเฒ่าคนนี้ อาจจะแก่ไปสักหน่อย ขี้เหร่ไปสักนิด แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ดีที่สุดก็คือไม่จดจำความแค้น
และยังมีเรื่องชวนหงุดหงิดใจที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือเผยเฉียนเป็นกังวลว่าหากตนทำหน้าหนาติดตามอาจารย์จ้งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ พ่อครู*จะไม่พอใจ
เผยเฉียนเหลือกตามองบน เจ้าหมอนั่นมาที่บ่อน้ำขนาดเล็กด้านหลังเรือนไม้ไผ่อีกแล้ว
เว่ยป้อทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลียืนอยู่กลางระเบียง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เผยเฉียน ช่วงนี้อุดอู้หรือไม่?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างระอาใจ “อุดอู้สิ จะไม่อุดดู้ได้อย่างไร อุดอู้จนปวดกบาลแล้ว”
เผยเฉียนเอาฝ่ามือตบลงบนพื้นเบาๆ ดีดตัวขึ้นยืนจากท่านอนหงาย ฝ่ามือนั้นตบลงได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม้เท้าเดินป่าจึงดีดตามขึ้นมาด้วย ถูกนางจับไว้ในมือ นางกระโดดขึ้นไปบนราวระเบียงแล้วเริ่มร่ายวิชากระบี่มารคลั่งคำรบหนึ่ง หยดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนถูกตีแตกกระจาย มีหยดน้ำไม่น้อยกระเซ็นมาทางระเบียง เว่ยป้อโบกมือปัดทิ้ง ไม่ได้รีบร้อนเปิดปากเอ่ยธุระของตัวเอง เผยเฉียนออกกระบี่อย่างเต็มคราบพลางแผดเสียงไปด้วยว่า “นภาสีครามฟ้าผ่าเสียงฆ้องดัง ฝนตกกระหน่ำเหมือนเงินพุ่งมาปะทะใบหน้า รวยแล้วเจ้าข้าเอ้ย รวยแล้วเจ้าข้าเอ้ย…”
ภูเขาลั่วพั่วขาดเงินจริงๆ ข้อนี้ไม่ผิด เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
แต่ถึงขั้นคิดอยากให้เงินร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเช่นนี้ ก็น่าจะมีแต่เด็กหญิงที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นตัวขาดทุนผู้นี้เท่านั้นแหละที่จะคิดได้
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ข้ามีจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง ใครอยากอ่าน?”
เผยเฉียนรีบเก็บไม้เท้าเดินป่า กระโดดลงมาจากราวระเบียง โบกมือหนึ่งที เฉินหน่วนซู่ที่ลุกขึ้นยืนต้อนรับซานจวินแห่งขุนเขาเหนืออยู่นานแล้ว รวมไปถึงโจวหมี่ลี่ที่ขยับตัวลุกขึ้นอย่างอืดอาดก็พากันค้อมเอวก้มหัวพร้อมกับเผยเฉียน พูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “นายท่านซานจวินอุตส่าห์มาเยือนกระท่อมซอมซ่อ นับเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง ขอให้ท่านมีเงินทองไหลมาเทมา!”
เว่ยป้อพยักหน้ารับพร้อมยิ้มตาหยี แล้วถึงได้มอบจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรแบบบจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันไว้บนหน้าซองว่า ‘หน่วนซู่เป็นผู้เปิด เผยเฉียนเป็นผู้อ่าน หมี่ลี่เป็นผู้เก็บ’ ให้แก่แม่หนูหน่วนซู่
เฉินหน่วนซู่รีบเช็ดมือกับชายแขนเสื้อ ยื่นสองมือไปรับจดหมายมาแล้วแกะออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงมอบจดหมายให้เผยเฉียน เผยเฉียนรับจดหมายมาแล้วก็นั่งขัดสมาธิ ยืดเอวตรงอย่างสำรวม แม่นางน้อยอีกสองคนก็นั่งตามไปด้วย ศีรษะเล็กๆ ทั้งสามแทบจะชนกัน เผยเฉียนหันหน้ามาบ่นคำหนึ่งว่าหมี่ลี่เจ้าจับเบาๆ หน่อยสิ ถ้าจดหมายมีรอยยับจะทำอย่างไร หากเจ้ายังซุ่มซ่ามแบบนี้ วันหน้าข้าจะกล้ามอบหมายงานใหญ่ให้เจ้าไปทำได้อย่างไร?
แม่นางน้อยชุดดำหน้าเบ้ทันที น้ำตาคลอเจียนจะหยด เผยเฉียนจึงรีบคลี่ยิ้ม ลูบศีรษะเล็กของหมี่ลี่น้อยเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจอยู่สองสามคำ
เพียงครู่เดียวโจวหมี่ลี่ก็ยิ้มออก
เว่ยป้อฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ทอดสายตามองไปทิศไกล ฝนตกถี่กระชั้น ฟ้าดินสลัวราง มีเพียงระเบียงแห่งนี้ที่ทัศนียภาพแจ่มกระจ่าง
แม่นางน้อยทั้งสามคนอ่านจดหมายช้ามาก ต่างก็ไม่ยินดีจะพลาดไปแม้แต่คำเดียว แล้วก็รอคอยให้ชื่อของตัวเองปรากฎบนหน้าจดหมาย ต่อให้จะมีแค่ประโยคสองประโยค พวกนางก็น่าจะดีใจได้อีกเป็นนาน
หลังจากเผยเฉียนอ่านอย่างละเอียดไปแล้วหนึ่งรอบ โจวหมี่ลี่ก็เอ่ยว่า “อ่านอีกรอบสิ”
เผยเฉียนพูดเสียงขุ่น “พูดเหลวไหลอะไร”
จากนั้นก็อ่านวนไปอีกสามรอบ แล้วเผยเฉียนก็เก็บจดหมายที่มีแค่สองแผ่นสอดกลับในซองจดหมาย กระแอมอยู่สองสามทีแล้วเอ่ยว่า “พ่อครูบอกไว้ในจดหมายว่าอย่างไร อ่านชัดเจนแล้วหรือยัง? พ่อครูไม่ให้พวกเจ้าสองคนไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงอย่างไรเหตุผลก็เขียนไว้อย่างชัดเจนจนไม่เหลือพื้นที่ให้ตอบโต้ สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ปัญหาก็มาแล้ว ในใจพวกเจ้ารู้สึกไม่พอใจหรือไม่? หากมีก็ต้องพูดออกมาดังๆ ในฐานะที่ข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของพ่อครู ข้าจะต้องช่วยอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจกระจ่างชัดให้จงได้”
เฉินหน่วนซู่ยิ้มกล่าว “ข้าไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ไหวหรอก ไกลเกินไป ออกจากภูเขาลั่วพั่วไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน แค่คืนเดียวข้าก็อยากกลับขึ้นมาบนภูเขาแล้ว”
นางเคยชินกับการอยู่อาศัยในที่แห่งหนึ่งนานๆ โดยไม่ย้ายถิ่นฐานไปไหนแล้วจริงๆ เมื่อก่อนอยู่หอเก็บหนังสือหลันจือของสกุลเฉาแคว้นหวงถิง ตอนนี้มาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ใหญ่ยิ่งกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อก่อนยังต้องคอยหลบเลี่ยงผู้คนราวกับเป็นโจรอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้ไม่เพียงแต่บนภูเขาลั่วพั่ว เวลาไปที่ตรอกฉีหลงของเมืองเล็ก ไปที่จังหวัดหลงเฉวียน ล้วนสามารถไปได้อย่างเปิดเผย ดังนั้นเฉินหน่วนซู่จึงชอบที่นี่ อีกอย่างนางยังชอบการที่มีงานให้ง่วนทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกด้วย
โจวหมี่ลี่ยกสองแขนกอดอก พยายามตีหน้าให้นิ่ง แต่ก็ยังคงยากที่จะปกปิดความลำพองใจเอาไว้ได้ “เจ้าขุนเขาบอกแล้วว่าต้องการให้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่างข้าคอยจับตามองบ่อน้ำน้อยนั่นให้ดี ภารกิจใหญ่หลวงขนาดนี้ ดังนั้นอีกเดี๋ยวพอลงไปจากเรือนไม้ไผ่ ข้าก็จะย้ายผ้าปูที่นอนไปไว้ข้างบ่อน้ำ”
อันที่จริงหากแม่นางน้อยชุดดำไม่พยายามอดทนไว้อย่างยากลำบาก เวลานี้คงยิ้มปากกว้างดุจดอกไม้ผลิบานไปนานแล้ว
เฉินผิงอันบอกไว้ในจดหมายแล้วว่า ตอนที่เขาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เล่าเรื่องราวขุนเขาสายน้ำที่เกี่ยวกับภูตน้ำใหญ่ของทะเลสาบคนใบ้ให้คนมากมายฟังแล้ว! อีกอย่างยังมีบทเยอะมากด้วย ไม่ได้เหมือนกับในนิยายหลายเรื่องที่แค่เผยโฉมก็ถูกคนตีตาย ข้าช่างแข็งแกร่งยอดเยี่ยมนัก ที่นั่นคือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งเชียวนะ เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนแม้แต่ฝันนางก็ยังไม่กล้าฝันเลย
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที เอ่ยเนิบช้าว่า “นี่หมายความว่าพวกเจ้าสองคนยังพอจะมีนโนธรรมในใจอยู่บ้าง วางใจเถอะ ข้าจะถือเสียว่าไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แทนพวกเจ้า วิชากระบี่มารคลั่งนี้ของข้า คนใต้หล้าไพศาลไม่รู้จักของดี คิดดูแล้วเมื่อไปถึงที่นั่น พอเซียนกระบี่ที่มากมหาศาลเหล่านั้นได้เห็นวิชากระบี่ล้ำโลกของข้าจะต้องมองจนตาถลนแน่นอน จากนั้นก็ร่ำร้องขอรับข้าเป็นศิษย์ แต่ข้าก็คงได้แค่ถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ขอโทษด้วย ข้ามีอาจารย์แล้ว พวกเจ้าคงได้แต่ต้องร้องไห้แล้ว สำหรับเซียนกระบี่ที่เกิดมาไม่ถูกเวลาพวกนี้ นี่ช่างเป็นเรื่องราวของความเสียใจที่น่าเศร้าน่าเวทนาน่าทอดถอนใจจริงๆ”
เฉินหน่วนซู่ยิ้มถาม “พอไปเจอนายท่าน เจ้ากล้าพูดแบบนี้กับเซียนกระบี่ไหม?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องไม่กล้าอยู่แล้ว ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า นี่เป็นแค่เรื่องราวหนึ่งเท่านั้น”
โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับอย่างแรง รู้สึกว่าบางครั้งพี่หญิงหน่วนซู่ก็สมองไปค่อยเฉียบไวนัก แย่กว่าตนเยอะเลย
เฉินหน่วนซู่ควักเมล็ดแตงกำหนึ่งออกมา เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ต่างก็คว้ากันมาคนละกำอย่างคุ้นเคย เผยเฉียนถลึงตา โจวหมี่ลี่ที่คิดว่าจะแอบกำเมล็ดแตงกำใหญ่ที่สุดมาได้ตัวแข็งทื่อโดยพลัน สีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยน ราวกับว่าถูกเผยเฉียนร่ายเวทกักตัวใส่อีกครั้ง จากนั้นก็คลายกำมือออกเล็กน้อย ทำให้เมล็ดแตงหลายเมล็ดหลุดรอดจากร่องนิ้วกลับคืนไปยังฝ่ามือของเฉินหน่วนซู่ เผยเฉียนถลึงตาอีกครั้ง โจวหมี่ลี่ถึงได้เอาคืนกลับไปอีกเกินครึ่ง แบมือออกเห็นว่ายังมีอยู่เยอะมากก็แอบชอบใจอยู่กับตัวเอง
เฉินหน่วนซู่หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาวางบนพื้น หากอยู่ในสถานที่อื่นของภูเขาลั่วพั่วก็ไม่เป็นไร แต่อยู่ที่เรือนไม้ไผ่ ไม่ว่าจะชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง ก็ห้ามทิ้งเมล็ดแตงส่งเดช
เผยเฉียนกล่าว “เว่ยป้อ เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าซึ่งเขียนบอกไว้บนจดหมาย หากเจ้าจำไม่ได้ ข้าก็สามารถไปเตือนเจ้าที่ภูเขาพีอวิ๋นทุกวันได้ ตอนนี้ข้าขึ้นเขาลงห้วยได้สบาย ไปมาเหมือนสายลม!”
เว่ยป้อยิ้มตอบ “ไม่ต้อง”
เผยเฉียนถามอย่างเป็นกังวล “ไม่ต้องจริงๆ หรือ? ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่เก็บไปใส่ใจ”
เว่ยป้อหันหน้ามาเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าไม่ควรเป็นกังวลว่าจะอธิบายให้พ่อครูของเจ้าฟังเรื่องการประลองยุทธระหว่างเจ้ากับป๋ายโส่วครั้งนั้นอย่างไรหรอกหรือ?”
เผยเฉียนทำสีหน้าเหลอหรา “อะไรนะ? ป๋ายโส่วคือใคร? ข้าไม่เคยเจอคนผู้นี้มาก่อนเลยนะ? เว่ยป้อเจ้าฝันอยู่หรือไร หรือว่าเป็นข้าที่ฝัน ตื่นมาก็เลยลืม?”
แม่นางน้อยสามคนสุมหัวปรึกษากันมานานขนาดนี้ สุดท้ายดันได้ข้อสรุปแบบนี้หรือ?
เว่ยป้อยกนิ้วโป้ง พูดชื่นชม “เฉินผิงอันต้องเชื่อแน่นอน”
โจวหมี่ลี่เอามือป้องปาก เอนตัวไปกระซิบอยู่ข้างหูเผยเฉียน พูดขอความดีความชอบเบาๆ “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าคำกล่าวนี้ใช้ได้ผลที่สุด ไม่ว่าใครก็เชื่อทั้งนั้น ซานจวินเว่ยป้อไม่ถือว่าเป็นคนที่โง่มากนักก็ยังเชื่อไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ลงบันทึกคุณความชอบเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง! แต่พวกเราตกลงกันไว้ก่อนว่า ต้องแยกเรื่องส่วนรวมและส่วนตัวอย่างชัดเจน ขอแค่เป็นการจดบันทึกลงในสมุดบัญชีเล่มเล็กของข้า ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา!”
วันนี้โจวหมี่ลี่อารมณ์ดีมาก นางโคลงศีรษะยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อะไรกันๆ จดบันทึกคุณความชอบอะไรกัน พวกเราคือเพื่อนรักกันนะ!”
เว่ยป้อกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เคยมีประโยคขึ้นต้นของบทกลอนเขียนไว้ว่า ‘ส่งสหายออกจากด่านแร้นแค้น’ ซึ่งขานรับอยู่กับประโยค ‘ข้าจึงคิดถึงบ้านเกิด’ อยู่ไกลๆ เป็นเหตุให้นักประพันธ์รุ่นหลังขนานนามว่าเป็น ‘การขึ้นต้นที่สูงที่สุด’”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วบางๆ ของตนเป็นปม “หมายความว่าอย่างไร?”
เผยเฉียนตอบ “ก็แค่พูดประโยคสองประโยคให้เข้ากับสถานการณ์จะได้ขอเมล็ดแตงพวกเรากินน่ะสิ”
——
*เกี่ยวกับคำเรียกเฉินผิงอันของเผยเฉียนกับชุยตงซาน
เนื่องจากช่วงต้นผู้แปลไม่ได้แยกคำเรียกขานเฉินผิงอันของเผยเฉียนกับชุยตงซาน โดยให้ทั้งสองคนเรียกเฉินผิงอันเป็นอาจารย์ทั้งคู่ เพราะหากแปลจากภาษาจีนโดยไม่ได้ลงรายละเอียดลึกถึงรากศัพท์ คำที่ตัวละครทั้งสองใช้ แม้ภาษาจีนจะแตกต่าง แต่กลับสามารถแปลได้ว่าอาจารย์เหมือนกัน อีกทั้งนิยายแปลจีนส่วนใหญ่ หากเป็นคำที่ความหมายโดยรวมเหมือนกันเช่นคำว่าอาจารย์นี้ ก็จะใช้คำว่าอาจารย์มากกว่าคำอื่นๆ อย่างเช่นคำว่าครู และเข้าใจว่าเนื้อเรื่องไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดข้อนี้
แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องในตอนต่อๆ ไปอาจมีการดำเนินเรื่องหรือบทสนทนาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายละเอียดนี้ เพื่อให้ไม่ผู้อ่านขาดอรรถรสและสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ลึกซึ้งขึ้น จึงขอเปลี่ยนคำเรียกเฉินผิงอันของเผยเฉียนจากอาจารย์เป็นพ่อครู ส่วนชุยตงซานยังคงเรียกอาจารย์ดังเดิม และเพราะตอนนี้เป็นตอนที่เนื้อหาแสดงให้เห็นความต่างของคำเรียกขานของคนทั้งสองได้ชัดเจนที่สุด จึงจะเริ่มมีการปรับใช้คำจากตอนนี้เป็นต้นไป
ในภาษาจีนชุยตงซานเรียกเฉินผิงอันว่าเซียนเซิง (先生)เผยเฉียนเรียกเฉินผิงอันว่า ซือฟู่ (师父)ซึ่งคำว่าซือฟู่นี้หากแปลแยกทีละคำตามรากศัพท์จะได้คำว่าครูและคำว่าพ่อ จึงให้เผยเฉียนเรียกว่าพ่อครู อีกทั้งยังสอดคล้องกับเนื้อหาช่วงต้นๆ ที่เผยเฉียนมักกล่าวกับคนอื่นว่าเฉินผิงอันเป็นพ่อของตน
ทั้งนี้คำว่าครูหรืออาจารย์ในภาษาจีนมีอีกหลายคำซึ่งใช้ต่างกันไปตามช่วงยุคสมัย ส่วนคำว่าเซียนเซิง (先生)กับ ซือฟู่ (师父)นั้น หากแปลอย่างลึกซึ้งแล้ว เซียนเซิงคือผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ เป็นผู้รอบรู้เชี่ยวชาญสรรพวิชา ให้ความรู้สึกเป็นทางการ เป็นคำเรียกขานที่ให้เกียรติ ส่วนซือฟู่ก็คือผู้ที่ถ่ายทอดทักษะวิชาความรู้เช่นเดียวกัน เพียงแต่จะให้ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่า ระหว่างเผยเฉียนกับชุยตงซาน หากอิงตามคำเรียกขานนี้แล้ว เผยเฉียนจึงจะมีความใกล้ชิดกับเฉินผิงอันมากกว่าชุยตงซาน
สุดท้ายนี้ผู้แปลต้องกราบขออภัยผู้อ่านเป็นอย่างสูงในความไม่รอบคอบนี้และจะระมัดระวังไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นอีก