กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 602.2 ถุงเงินใบเล็กของเผยเฉียน
คำตอบสุดท้ายของเฉาฉิงหล่างคือ ทำไปดูไป คิดไปทำไป
จ้งชิวรู้สึกปลาบปลื้ม แล้วก็ไม่ถามอะไรอีก
ตอนนี้ความคิดส่วนใหญ่ของอาจารย์จ้งท่านนี้ยังเป็นเรื่องที่ว่า หลังจากที่คนทั้งสองเดินทางออกจากพื้นที่มงคลรากบัวและภูเขาลั่วพั่วของต้าหลีแล้ว ควรจะศึกษาหาความรู้อย่างไร ส่วนเรื่องการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณนั้น จ้งชิวจะไม่ก้าวก่ายเฉาฉิงหล่างมากเกินไป ฝึกตนเพื่อพิสูจน์มรรคาและความเป็นอมตะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจ้งชิวถนัด ถ้าอย่างนั้นก็พยายามอย่าไปเจ้ากี้เจ้าการกับเฉาฉิงหล่างจะดีกว่า
อันที่จริงเฉาฉิงหล่างคือนักเรียนที่ควรค่าแก่การวางใจอย่างแท้จริง แต่ถึงอย่างไรตัวจ้งชิวเองก็ไม่เคยเห็นทัศนียภาพของใต้หล้าแห่งนั้นมาก่อน บวกกับที่เขาฝากความหวังไว้กับเฉาฉิงหล่างมาก ดังนั้นจึงอดพูดประโยคแรงๆ บางอย่างออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ใต้หล้าน้อยใหญ่ทั้งสองแห่งมีทัศนียภาพไม่เหมือนกัน ทว่าหลักการเหตุผลกลับใช้ด้วยกันได้ การสำรวจบนเส้นทางของชีวิตคนทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยซึ่งสำคัญอย่างถึงที่สุด หรือกลยุทธวิธีการในการศึกษาหาความรู้ที่เล็กแคบมากกว่า ล้วนต้องมีปัญหายากไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ปรากฎขึ้น จ้งชิวไม่คิดว่าความรู้อันน้อยนิดของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตการเรียนวรยุทธที่ต่ำเตี้ยนั้นจะสามารถปกป้องและถ่ายทอดวิชาให้เฉาฉิงหล่างที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลได้มากนัก ในฐานะคนที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต นอกจากติงอิงแล้ว คงจะมีแต่เขาจ้งชิวและอดีตสหายรักอย่างอวี้เจินอี้เท่านั้นที่ถือว่าเป็นคนกลุ่มน้อยซึ่งพอจะอาศัยเส้นทางของแต่ละคนก้าวเดินไปบนที่สูงได้อย่างมั่นคง บุคคลที่ปีนจากก้นบ่อขึ้นมาที่ปากบ่อ เมื่อเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของฟ้าดินได้อย่างแท้จริง ก็สามารถจินตนาการได้ว่ามรรคกถาจะสูงส่งเพียงใด
เรือข้ามฟากมาถึงภูเขาห้อยหัว ชุยตงซานก็พาคนทั้งสามไปที่โรงเตี๊ยมของเรือนหลิงจือโดยตรง อันดับแรกเขาเลือกห้องพักสี่ห้องที่แพงที่สุดอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก ถามว่ามีห้องที่แพงกว่านี้ดีกว่านี้หรือไม่ ทำเอาผู้ฝึกตนของเรือนหลิงจือไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี มังกรข้ามแม่น้ำที่มาเยือนภูเขาห้อยหัว พวกคนรวยที่ไม่ขาดแคลนเงินเทพเซียนนั้นมีอยู่ไม่น้อยจริงๆ แต่คนที่พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับมีไม่มาก ดังนั้นผู้ฝึกตนหญิงจึงบอกว่าไม่มีหรอก คงเป็นเพราะทนรับกับสายตาท้าทายของเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นไม่ไหวจริงๆ กล้าทำตัวเป็นพวกที่กินอิ่มว่างงานอยู่ในภูเขาห้อยหัว คิดว่าตัวเองเป็นบุคคลใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ งั้นหรือ? ผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองที่ดูแลงานทั่วไปของโรงเตี๊ยมจึงตอบโต้กลับไปประโยคหนึ่งว่า ในภูเขาห้อยหัวนี้หากจะให้ดีกว่าโรงเตี๊ยมของตนก็มีแค่เรือนพักส่วนตัวสี่แห่งอย่างจวนหยวนโหรว เรือนชุนฟาน สวนดอกเหมยและตำหนักสุ่ยจิงแล้ว
เด็กหนุ่มคนนั้นใช้หมัดทุบฝ่ามือ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่าถ้าอย่างนั้นก็บอกแต่แรกสิ แล้วก็พาอีกสามคนที่เหลือออกมาจากโรงเตี๊ยมเรือนชุนฟานโดยตรง เผยเฉียนเดินตามห่านขาวใหญ่ออกจากประตูของโรงเตี๊ยมไปอย่างฉงนสนเท่ห์ อันที่จริงเมื่อครู่นี้นางพอใจกับโรงเตี๊ยมมาก ทอดสายตามองไป สิ่งที่แขวนไว้บนผนัง ปูไว้บนพื้น และยังมีบนร่างของสตรีผู้นั้น ดูเหมือนจะเป็นของที่มีค่าทั้งสิ้น ดังนั้นนางจึงถามเบาๆ ว่าเจ้ารู้จักเรือนสี่แห่งนั่นหรือ? ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก บอกว่าไม่ถือว่ารู้จักทั้งหมด แต่เทพแห่งโชคลาภหลิวของจวนหยวนโหรวและเจ้าของสวนดอกเหมย ในอดีตเคยคบค้าสมาคมกันมาก่อน พบเจอกันแล้วพูดคุยกันอย่างถูกคอ ชนจอกสุราพลางหัวเราะแย้มยิ้ม เป็นมารยาทที่จำเป็นต้องมี แต่ในใจกลับขอให้อีกฝ่ายตายเร็วๆ แล้วก็กลับมาเกิดใหม่เร็วๆ ในใต้หล้าไพศาลเขาชุยตงซานมีเพื่อนที่ดีแบบนี้อยู่มากมาย
เผยเฉียนจึงยิ่งอัดอั้น ถ้าอย่างนั้นจะเข้าพักกินดื่มแบบไม่ต้องจ่ายเงินได้อย่างไร ผลคือชุยตงซานเดินอ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายพาคนทั้งสามเดินเข้าไปในตรอกเล็ก เข้าพักในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยแห่งนั้น!
จ้งชิวกับเฉาฉิงหล่างย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
แรกเริ่มเผยเฉียนยังโมโหอยู่บ้าง ผลคือพอชุยตงซานมานั่งในห้องของนาง รินน้ำชาให้นางหนึ่งถ้วย แล้วเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เงินของนักเรียน ใช่เงินของอาจารย์หรือไม่ ถ้าเป็นเงินของอาจารย์ แล้วใช่เงินของอาจารย์พ่อเจ้าหรือเปล่า ถ้าเป็นเงินของอาจารย์พ่อเจ้า เจ้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ควรจะช่วยประหยัดหรือไม่
ดวงตาเผยเฉียนพลันเป็นประกาย คิดดูแล้วทุกอย่างนี้เชื่อมโยงติดต่อกัน ไร้ช่องโหว่ ช่างมีเหตุผลยิ่งนัก!
นางร้องเรียกหนึ่งคำ ไม้เท้าเดินป่าก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือ ครั้นจึงร่ายวิชากระบี่มารคลั่งอยู่ในห้องอย่างอารมณ์ดี
ต่อมาชุยตงซานก็ออกจากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยไปอย่างลับๆ ล่อๆ
เผยเฉียนเองก็คร้านจะสนใจเขา หากห่านขาวใหญ่ถูกคนรังแกอยู่ด้านนอกแล้วมาร่ำร้องระบายทุกข์กับศิษย์พี่ใหญ่อย่างนางก็ไม่มีประโยชน์
เพราะนางคือนักฆ่าความรู้สึกผู้ร้ายกาจ
ตอนที่ชุยตงซานกลับมาถึงโรงเตี๊ยมอย่างลับๆ ล่อๆ พอๆ กับตอนที่จากไปก็เป็นช่วงเวลากลางดึกแล้ว เขายืนอยู่กลางระเบียงนอกห้องของเผยเฉียน พบว่านางยังคงฝึกท่าเดินนิ่งอยู่ในห้อง
เผยเฉียนเดินนิ่งไปอย่างเชื่องช้า กึ่งหลับกึ่งตื่น ฝุ่นผงรอบด้านและเส้นแสงจันทร์รอบกายที่ยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าราวกับว่าถูกปณิธานหมัดของนางบิดให้บิดเบือน
ตรงกรอบหน้าต่าง หน้าต่างพลันเปิดออกด้วยตัวเอง ชุดสีขาวหิมะแถบใหญ่ร่วงพลิ้วลงมา เผยให้เห็นผีแขวนคอตายที่ห้อยหัวลงมาจากเบื้องบน คอหักเอียงลิ้นจุกปาก
เผยเฉียนที่ยังคงสะลึมสะลืออาศัยสัญชาตญาณใช้ความเร็วราวฟ้าร้องไม่ทันยกมือป้องหูแปะยันต์แผ่นหนึ่งไว้บนหน้าผาก ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ยื่นมือมาคว้าจับ ไม้เท้าเดินป่าที่วางเอียงพิงโต๊ะถูกคว้ามาอยู่ในมือ ครั้นจึงใช้ไม้เท้าต่างกระบี่ ทิ่มออกไปยังหว่างคิ้วของผีที่แขวนคอตายตนนั้น เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ผีชุดขาวถูกกระบี่โจมตีให้ล่าถอย เผยเฉียนดีดปลายเท้า ปล่อยไม้เท้าหลุดออกจากมือ กระโดดออกไปจากหน้าต่าง ตั้งท่าหมัดเตรียมจะออกหมัด แน่นอนว่าต้องใช้กระบวนท่ากองทัพม้าเหล็กทะลวงขบวนรบเปิดทาง จากนั้นค่อยใช้ท่าเทพตีกลองสายฟ้ามาแบ่งแพ้ชนะ ส่วนแบ่งเป็นตายนั้นอยู่ที่ว่าเผยเฉียนจะสามารถประคับประคองตัวไว้ได้นานแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่คู่ต่อสู้ เพราะท่านปู่ชุยเคยบอกว่า ผู้ฝึกยุทธออกหมัด เบื้องหน้าไร้คน
ทุกอย่างนี้ทำเสร็จในรวดเดียวดุจสายน้ำไหลเมฆเคลื่อนคล้อย สำหรับเผยเฉียนแล้วถึงขั้นที่ว่านางไม่ต้องครุ่นคิดถึงสิ่งใดด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นเหตุให้การออกหมัดบริสุทธิ์มากเป็นพิเศษ
ผลคือได้เห็นเจ้าห่านขาวใหญ่ผู้นั้นกำลังยืนหาวอยู่ ชุยตงซานเหลียวซ้ายแลขวา “ศิษย์พี่หญิงใหญ่เองหรือ ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ออกมาชมทัศนียภาพหรือไร?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างมีโทสะ “ดึกดื่นแกล้งทำมาหลอกเป็นผี หากถูกข้าต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียวจะโทษใคร”
ชุยตงซานยิ้มถาม “ออกหมัดเร็วเกินไป เร็วกว่าความคิดของผู้ฝึกยุทธ จะดีเสมอไปหรือ? ถ้าอย่างนั้นคนที่ออกหมัดคือใครกันแน่?”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างสงสัย “นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร?”
ชุยตงซานเหลือกตามองบน “ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ บอกว่าเจ้าตีข้า”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้ามาหลอกข้าก่อนนะ!”
สุดท้ายคนทั้งสองก็กลับมาคืนดีกัน พากันมานั่งบนกำแพงของลานบ้าน มองดวงจันทร์ของใต้หล้าไพศาล
ใบหน้าของชุยตงซานประดับรอยยิ้มน้อยๆ ได้ยินว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกวันนี้น่าสนใจอย่างมาก ถึงขั้นมีคนกล้าพูดว่าสายของเหวินเซิ่งทุกวันนี้ นอกจากจั่วโย่วแล้ว มีเฉินผิงอันเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วอย่างไร สายของเหวินเซิ่ง อริยะอักษรไม่ใช่อริยะอักษร ส่วนระบบสายบุ๋นก็ยิ่งน่าสงสาร แล้วยังจะมีควันธูปให้พูดถึงอีกหรือ?
ชุยตงซานหัวเราะ พูดกับเผยเฉียนว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปเที่ยวภูเขาห้อยหัวกันรอบหนึ่งก่อน วันมะรืนค่อยไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าก็ได้จะไปพบอาจารย์พ่อแล้ว”
เผยเฉียนเอ่ย “ภูเขาห้อยหัวมีอะไรให้น่าเดินเที่ยวกัน พรุ่งนี้พวกเราไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลยเถอะ”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ภูเขาห้อยหัวมีของดีมากมายขนาดนั้น พวกเราจะไม่ซื้อของขวัญติดไม้ติดมือกันไปหน่อยหรือ?”
เผยเฉียนรู้สึกว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็ถูก จึงหยิบเอาถุงหอมที่เป็นถุงเงินซึ่งน้ากุ้ยแห่งนครมังกรเฒ่ามอบให้ออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มนับเงินของตัวเอง
ชุยตงซานเอาสองมือสอดรองใต้ท้ายทอย ยิ้มกล่าวว่า “ข้ามีเงิน ไม่ต้องให้เจ้าจ่ายหรอก”
เผยเฉียนนับเหรียญทองแดงทุกเหรียญ แม้แต่เศษก้อนเงินก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่านไป นางนับอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะถึงอย่างไรเงินส่วนตัวของนางตอนนี้ก็มีเงินเทพเซียนอยู่น้อยนิด น่าสงสารยิ่งนัก ดังนั้นทุกครั้งที่นับเงินนางจะต้องลูบพวกมันให้นานหน่อย พูดกระซิบกับพวกมันเบาๆ เวลานี้พอได้ยินคำพูดของชุยตงซาน นางก็ส่ายหน้าพูดเสียงเบาโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น “เป็นของขวัญที่ซื้อให้อาจารย์พ่อนะ ข้าไม่ต้องการเงินเทพเซียนของเจ้าหรอก”
ชุยตงซานพูดหยอก “เหรียญทองแดงน้อย เศษก้อนเงินน้อยและเงินเทพเซียนที่อยู่เป็นเพื่อนเจ้ามานานขนาดนี้ เจ้าตัดใจปล่อยให้พวกมันออกไปจากรังเล็กๆ อย่างถุงหอมได้ลงคอหรือ? หากแยกจากกันคราวนี้ ชั่วชีวิตนี้อาจไม่ได้พบหน้าพวกมันอีกแล้ว ไม่สงสาร ไม่เสียใจหรือ?”
เผยเฉียนคีบเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งที่นางตั้งชื่อให้มันชูขึ้นสูงแล้วแกว่งส่ายเบาๆ “ก็ช่วยไม่ได้นี่นา หากเจ้าตัวน้อยพวกนี้ต้องจากไปก็คือต้องไป ถึงอย่างไรข้าก็จะคิดถึงพวกมันอยู่แล้ว บนสมุดบัญชีเล่มเล็กของข้าได้เขียนชื่อพวกมันเอาไว้โดยเฉพาะ ต่อให้พวกมันจากไปแล้ว ข้าก็ยังสามารถช่วยพวกมันหาลูกศิษย์และนักเรียนมาเพิ่มได้ ถุงหอมใบนี้ของข้าก็คือศาลบรรพจารย์เล็กๆ แห่งหนึ่งนะ เจ้าคงไม่รู้กระมัง เมื่อก่อนข้าเคยเล่าให้แค่อาจารย์พ่อฟัง แม้แต่กับพวกหมี่ลี่หน่วนซู่ก็ยังไม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นอาจารย์พ่อยังชมข้า บอกว่าข้ามีความตั้งใจดีมาก เจ้าไม่รู้หรอก เพราะฉะนั้นย่อมเป็นอาจารย์พ่อที่สำคัญที่สุด มีแต่อาจารย์พ่อที่จะขาดไปไม่ได้”
เผยเฉียนวางเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นกลับลงถุงแล้วเอาถุงหอมใบเล็กใส่กลับไปไว้ในชายแขนเสื้อ นางแกว่งเท้าเอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นข้าจึงขอบคุณสวรรค์ที่ส่งอาจารย์พ่อมาให้ข้า”
เผยเฉียนคิดแล้วก็เอ่ยอีกว่า “แต่หากวันใดสวรรค์กล้าเอาอาจารย์พ่อกลับไป…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็อ้าปากกว้างร้องคำรามเลียนแบบหมี่ลี่น้อย พูดอย่างเดือดดาลว่า “ข้าดุร้ายนักล่ะ!”