กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 604.2 คนที่กำลังต่อสู้ คืออาจารย์พ่อของข้า
นักพรตน้อยหันหน้ากลับไป มองไกลไปยังเงาร่างที่อยู่บนยอดเขาเดียวดายด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคิดจะใช้กฎเกณฑ์มาห้ามปรามการกระทำของข้างั้นหรือ?”
เทียนจวินใหญ่ที่อยู่คนละสายกับนักพรตน้อยหัวเราะเสียงเย็น “กฎเกณฑ์? กฎเกณฑ์ล้วนมีข้าเป็นคนตั้ง เจ้าไม่ยอมรับเรื่องนี้มานานหลายปี แต่ข้าเคยใช้กฎเกณฑ์มาข่มเจ้าสักครั้งไหม? ก็มรรคกถาต่างกันเท่านั้น”
นักพรตน้อยเดือดดาลหนัก เดินวนอยู่ที่เดิม
แล้วจู่ๆ ก็มีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ถูกคนต่างถิ่นทำให้รำคาญใจ ถูกคนของตัวเองทำให้อึดอัดใจ โมโหจะตายอยู่แล้ว มันน่าโมโหให้ตายจริงๆ”
เมื่อนักพรตน้อยโกรธาอย่างแท้จริงก็ชักนำให้ฟ้าดินเกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติ ทะเลเมฆเหนือภูเขาห้อยหัวพลิกตลบ คลื่นยักษ์โถมตัวอยู่บนมหาสมุทร เทพเซียนตีกัน แต่กลับเดือดร้อนให้เรือจำนวนนับไม่ถ้วนที่จอดเทียบท่าโยกคลอนขึ้นลง ผู้คนพากันแตกตื่น แต่กลับไม่รู้สาเหตุ
เทียนจวินใหญ่แห่งภูเขาห้อยหัวที่สร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมาตรงประตูใหญ่ตีนเขานานแล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “หยุดเมื่อพอสมควรเถอะ”
ชุยตงซานถึงได้เดินเข้าไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ เสียที
หลักการเหตุผลบางอย่างที่เล็กเท่าเมล็ดงาเมล็ดถั่ว เมื่อเอามาโต้เถียงกับหมัดที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาห้อยหัวจนได้คำตอบอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องยุ่งยากนับหมื่นที่อยู่ตรงหน้าก็ล้วนมีคนคอยช่วยคลี่คลายปัญหาให้เอง
แต่กระนั้นอารมณ์ของชุยตงซานก็ยังไม่ใคร่จะดีนัก
นักพรตน้อยคนนั้นก็มีมรรคกถาเพียงเท่านั้น ทว่าประวัติความเป็นมากลับไม่ธรรมดา ไม่พูดถึงอาจารย์ของนักพรตน้อย แต่ใครบางคนที่มีความเกี่ยวข้องกับนักพรตน้อยอย่างลึกล้ำยังเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่ในจุดสูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง ซึ่งอันที่จริงชุยตงซานเกลียดขี้หน้าเขามานานหลายปีแล้ว
เพียงแต่พอคิดว่าตนได้แต่เกลียดขี้หน้า แต่กลับไม่สามารถกดอีกฝ่ายลงบนพื้นแล้วสั่งสอนให้รู้ว่าเป็นคนควรทำตัวอย่างไรได้ทันที ได้แต่รอคอยไปก่อน รอให้โอกาสนั้นมาถึง ชุยตงซานก็ให้รู้สึกอึดอัดขัดใจยิ่งนัก
ตนเป็นคนมีเหตุผลขนาดนี้ คบหาสหายกว้างขวางไปทั่วใต้หล้า ใต้หล้านี้ก็ไม่ควรมีความแค้นใดที่ปล่อยให้ค้างคาข้ามคืนสิ
พอคิดถึงขอบเขตของเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานในทุกวันนี้ ชุยตงซานก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
ดังนั้นสีหน้าจึงไม่ค่อยน่ามองนัก
เผยเฉียนถามอย่างเป็นกังวลใจ “พูดจาไม่น่าฟังก็เลยถูกคนซ้อมเข้าให้? ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก เสียเปรียบบ้างเล็กน้อยก็ต้องอดทนให้มาก”
ชุยตงซานส่ายหน้า ไม่ได้พูดสัพยอกกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก
สายของเหวินเซิ่ง บุญคุณความแค้นก็ดี การอบรมสั่งสอนก็ช่าง ระหว่างอาจารย์และศิษย์ ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่ว่าใครทำอะไรก็ล้วนควรให้เป็นเรื่องในบ้านตัวเองที่ปิดประตูตีกันอยู่ภายใน
สายเหวินเซิ่งของข้า นับตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ เคยทำร้ายใครเพียงเพราะความปรารถนาส่วนตัวบ้างหรือไม่?
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ต้องตกอยู่ในสถานะที่ได้แต่ให้คนอื่นซึ่งอยู่สูงส่งเกินใครบนฟ้าร่วมมือกันมาเจ้ากี้เจ้าการ ชี้ไม้ชี้มือบงการ?
สายของเหวินเซิ่งจะยังมีควันธูปให้พูดถึงอีกได้อย่างไร?
นี่เป็นคำพูดที่กล่าวผิดจริงๆ หรือ?
ไม่เลย!
อย่าว่าแต่ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลเลย พูดถึงแค่แจกันสมบัติทวีปที่เล็กที่สุด จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าบนภูเขาลั่วพั่วแขวนภาพเหมือนของใครเอาไว้บ้าง?
ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา ความผิดอยู่ที่ชุยฉานผู้นั้น แน่นอนว่าก็ต้องอยู่ที่เขาชุยตงซานด้วย!
แล้วก็อยู่ที่ซิ่วไฉเฒ่าตกอับที่ขังตัวเองอยู่ในสวนกงเต๋อหลิน! อยู่ที่จั่วโย่วที่ไปหลบอยู่ในมหาสมุทรเพื่อเยี่ยมเยียนเซียนกับมารดาอะไรนั่น! แล้วก็อยู่ที่เจ้าคนโง่เง่าที่สุดที่เอาแต่กินข้าวไม่ออกแรง สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าหายหัวไปอยู่ที่ไหน!
หากในอนาคตอาจารย์ของข้าชุยตงซาน ลูกศิษย์ของเจ้าซิ่วไฉเฒ่า ศิษย์น้องเล็กของเศษสวะอย่างพวกเจ้าสองคนที่มีแต่ตบะและขอบเขตเสียเปล่า แต่กลับไม่เคยรู้ว่าควรจะแบ่งเบาภาระให้สำนักอย่างไร ต้องมามีจุดจบเช่นนี้เหมือนกัน? ควรจะทำอย่างไร?
ยังจะเห็นทุกคนบนโลกเป็นศัตรู นั่งหยัดหลังตั้งตรง เงยหน้ามองแต่ละคนที่อยู่บนฟ้าเพียงลำพังแบบนั้นอีกหรือ?
ข้าชุยตงซาน?
วันหน้าหากต้องพิทักษ์แจกันสมบัติทวีปจนตัวตาย หากมีภัยใหญ่จากการที่แผ่นดินของทั้งทวีปจมดิ่ง สุดท้ายเจ้าตะพาบเฒ่าก็ยังไม่อาจตายได้ แต่เขาชุยตงซานสามารถตายได้
เผยเฉียนถามเสียงเบา “เป็นอะไรไป? เจ้าบอกข้ามาเถอะ หากข้าช่วยได้ก็จะช่วย ต่อให้ช่วยเจ้าไม่ได้ก็ยังคอยโบกธงร้องไห้กำลังใจเจ้าได้”
ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “พอคิดว่ายังสามารถได้มาพบกับอาจารย์อีกครั้ง ข้าก็ดีใจ ดีใจจริงๆ”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยสั่งสอนด้วยท่าทางจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เก็บเอาไว้หน่อย อย่าดีใจครั้งเดียวหมด ต้องเอาความดีใจในวันนี้เหลือไว้ใช้วันพรุ่งนี้ วันมะรืน วันมะเรื่องบ้าง ทำแบบนี้หากวันหน้ามียามใดที่เสียใจก็สามารถเอาออกมาทำให้ดีใจได้แล้ว”
ชุยตงซานพลันหัวเราะ คราวนี้เขาอารมณ์ดีจริงๆ แล้ว
เพราะจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า เรื่องหนึ่งที่อาจารย์ของตนเชี่ยวชาญที่สุดในชีวิตนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการมีชีวิตอยู่ต่อไป
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้นมอง
กำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาเพิ่งเคยมาเยือนครั้งแรกจริงๆ
ได้ยินมาว่าเจ้าคนที่ลืมไปแล้วว่าแซ่จั่วนามโย่วหรือแซ่โย่วนามจั่วผู้นั้น ทุกวันนี้ก็มานั่งกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่บนหัวกำแพง? ลมทะเลกินไม่อิ่มก็วิ่งมากินพายุลมกรดอีก สมองจะไม่เลอะเลือนได้หรือ?
พอคิดถึงว่าตนเคยมีศิษย์น้องเช่นนี้ก็ให้กลัดกลุ้มนิดๆ ขึ้นมาอีก
ชุยตงซานหรี่ตาลง “ไป ตรงไปที่หัวกำแพงเมืองเลย! ที่นั่นกำลังมีเรื่องสนุกให้ชม”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างเดือดดาล “เรื่องสนุกใหญ่แค่ไหนก็เทียบการไปพบอาจารย์พ่อของข้าได้หรือ?!”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “อาจารย์ของข้าอยู่ที่นั่นนี่นา ดูจากท่าทางแล้วกำลังจะต่อสู้กับผู้อื่นด้วย”
เผยเฉียนกระทืบเท้า พูดหน้าหมอง “คนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมดนะ ดีแต่จะรังแกคนนอกอย่างอาจารย์พ่อของข้า!”
เผยเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึก กำไม้เท้าเดินป่าแล้ววิ่งตะบึงนำหน้าทุกคนไปด้วยความเร็วราวกับบิน
ชุยตงซานหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ก่อนจะหันหน้าไปยิ้มบางๆ ให้นักพรตหญิงท่าทางมีอายุคนหนึ่งของเรือนซือเตา “ขอยืมหน่อยๆ อันที่จริงข้ายากจนมาก”
เรือยันต์ลำหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ตะโกนเรียก “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ทำอะไรน่ะ?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ห่านขาวใหญ่มีเงินขนาดนี้เชียวหรือ? จากนั้นนางก็กระโดดขึ้นสูง ใช้ไม้เท้าเดินป่าแตะรั้วของเรือเบาๆ ร่างก็พลิ้วกายเข้าไปในเรือได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่ขยับเข้าใกล้หัวเรือมากขึ้นเรื่อยๆ เผยเฉียนก็คีบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา เพียงแต่ว่าหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ใส่กลับไปในชายแขนเสื้อ
อาจารย์พ่ออยู่ที่นั่น จะต้องกลัวอะไร
หากอาจารย์พ่อเห็นเข้าก็ยังพูดง่าย ก็แค่กินมะเหงกทีหนึ่ง แต่หากอาจารย์แม่เห็นเข้า มอบความทรงจำที่ไม่ดีที่ทำให้นางเข้าใจตนผิดไปไกล แบบนั้นจะชดเชยกลับคืนมาได้อย่างไร?
แต่จะให้โขกหัวตึงๆๆ ให้อาจารย์แม่โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดูจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร
ชุยตงซานนั่งอยู่บนราวรั้วหัวเรือ แกว่งเท้าสองข้าง ชายแขนเสื้อใหญ่โบกสะบัด
เด็กหนุ่มเหมือนเมฆขาวก้อนใหม่เอี่ยมของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้
ผู้ฝึกกระบี่ ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่
จุดที่สายตามองไปเห็น ล้วนมีแต่ผู้ฝึกกระบี่
ผู้ฝึกลมปราณที่พลังพิฆาตรุนแรงที่สุด สังหารศัตรูได้เร็วที่สุดของใต้หล้า ก็คือเจ้าคนพวกนี้
เผยเฉียนได้แต่กล้ายื่นหัวออกจากรั้วไปครึ่งศีรษะ แล้วยังใช้สองมือกุมหัวเอาไว้ พยายามจะบดบังใบหน้าของตน จากนั้นก็เบิกตากว้าง ไล่มองหาเงาร่างของอาจารย์พ่อของตนบนหัวกำแพงเมืองอย่างละเอียด
วิชากระบี่มารคลั่งที่ตนสร้างขึ้นมาชุดนั้นน่าจะยังขาดกำลังไฟบางอย่างอยู่ ช้าสักหน่อยค่อยร่ายมันออกมาก็แล้วกัน
ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ตนมีลาน้อยที่อาจารย์พ่อรับปากว่าจะมอบให้ตนเสียก่อน แล้วค่อยพาพวกหลี่ไหวไปท่องยุทธภพด้วยกันหลายๆ รอบ จากนั้นค่อยเก็บเงินซื้อกระบี่ดีๆ ที่แท้จริงมาสักเล่ม ระหว่างนี้ยังต้องประลองบุ๋นกับคนหัวขาว (หมายถึงป๋ายโส่ว ป๋ายแปลว่าขาว โส่วแปลว่าหัว/ศีรษะ/ผู้นำ) อีกหลายรอบ จะรีบร้อนไปไย วันหน้าค่อยว่ากัน
บนหัวกำแพงเมือง
พวกนักพนันน้อยใหญ่ทั้งหลายอึ้งงันเป็นไก่ไม้
เคยพบเจออาเหลียงที่ใจดำมากมาแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอเถ้าแก่รองที่ใจดำจนทำให้คนโกรธจนผมชี้ตั้งชันเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ
พวกนักพนันที่เดิมพันว่าหนึ่งหมัดจะล้มอวี้เจวี้ยนฟูได้ต่างก็แพ้กันแล้ว คนที่เดิมพันว่าจะชนะได้ภายในสามหมัดห้าหมัดก็แพ้เช่นกัน ส่วนพวกที่เดิมพันว่าห้าหมัดขึ้นไปแต่อยู่ภายในสิบหมัดก็ยังคงแพ้อยู่ดี คนที่เดิมพันภายในร้อยหมัด มารดามันเถอะ ก็ยังแพ้เสียยับเยิน ยังไม่ต้องพูดถึงพวกคนที่ลงเดิมพันบนโต๊ะพนันเหล่านี้ ต่อให้เป็นพวกเจ้ามือ แต่ละคนก็ยังหน้าดำทะมึน ไม่มีใครมีสีหน้าดีได้เลยสักคน สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าพวกคนมีเงินที่สมองมีรูมากมายขนาดนั้นโผล่มาจากไหน จำนวนคนมีไม่มาก มีแค่เพียงหยิบมือเท่านั้น พวกเขาดันเดิมพันว่าเฉินผิงอันจะเอาชนะอวี้เจวี้ยนฟูได้หลังจากผ่านไปร้อยหมัด! แถมยังไม่ได้ทุ่มเดิมพันก้อนใหญ่แบบธรรมดาด้วย!
ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่ลงเดิมพันกับอาเหลียง จะดีจะชั่วเจ้ามือก็ยังพอจะชนะได้เงินมาบ้าง แต่ตอนนี้กลับดีนัก ทุกครั้งนอกจากพวกที่โผล่มาอย่างกะทันหันซึ่งมีเพียงน้อยนิดแล้ว ทั้งนักพนันและเจ้ามือล้วนถูกฆ่าตายเกลี้ยง!
ตั้งแต่ต้นจนจบเถ้าแก่รองผู้นั้นยังไม่ได้ออกหมัดสักครั้ง กลับปล่อยให้อวี้เจวี้ยนฟูออกหมัดรวดเร็วน่าครั่นคร้าม ตอนนี้นางปล่อยหมัดออกไปไม่ต่ำกว่าร้อยหมัดแล้ว
แต่เถ้าแก่รองกลับไม่มีมโนธรรมสักนิด เพราะจิตสำนึกของเขาถูกหมาข้างทางของใต้หล้าไพศาลคาบไปกินหมดแล้ว ส่วนพวกเขา หากพูดจาที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ หากยินดีพูดออกมาตามความรู้สึกที่แท้จริง ถ้าอย่างนั้นถึงแม้เถ้าแก่รองจะแค่ป้องกันไม่โจมตี ไม่ออกหมัดสักครั้งเดียว แต่การต่อสู้ครั้งนี้ เขาก็ดูดีจริงๆ
ผู้ฝึกยุทธหนุ่มขอบเขตร่างทอง สามารถหลบพายุหมัดหรือรับหมัดหนึ่งที่พุ่งใส่อย่างจังได้ แล้วยังทำได้เหมือนเมฆคล้อยน้ำไหล เปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม หากว่ากันแค่ท่วงท่าและพลังอำนาจก็เหมือนเซียนกระบี่ออกกระบี่ ทำได้เช่นนี้ก็นับว่ามีเถ้าแก่รองคนเดียวแล้ว
ทว่าพวกเขาต่างก็มาเพื่อโกยเงินเข้ากระเป๋ากันนะ ต่อให้เจ้าเถ้าแก่รองเฉินผิงอันจะต่อสู้ได้ดูดีแค่ไหน แต่สามารถเอามาใช้แทนเงินได้ไหม? สามารถดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่สิบการ้อยไหได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินหรืออย่างไร?
มีผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่แพ้พนันจนหมดตัวเริ่มยุแยงเหล่าพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันว่า “หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านไป พวกเรามาหาโอกาสเอากระสอบป่านครอบหัวเฉินผิงอันแล้วซ้อมเขาหนักๆ สักรอบดีไหม?”
คนผู้หนึ่งเอ่ยอย่างระอาใจว่า “คนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก ถึงเวลานั้นใครจะเป็นครอบกระสอบใส่หัวใครก็ยังไม่แน่ แต่พวกเราสามารถรวบเงินกันจ้างให้เซียนกระบี่ลอบออกกระบี่ได้ แบบนั้นคงจะน่าเชื่อถือมากกว่า”
ดังนั้นจึงมีคนเสนอความเห็นแบบหยั่งเชิงว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้เซียนกระบี่เถาเหวินแตกหักกับเถ้าแก่รองแล้ว คล้ายว่าจะแบ่งส่วนแบ่งกันไม่ลงตัว อีกทั้งเถาเหวินยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น ไม่สู้จ่ายเงินจ้างให้เขาลงมือ? ไม่อย่างนั้นหากเป็นเซียนกระบี่ทั่วไปคงไม่ค่อยยินดีออกกระบี่เพียงเพื่อเงินเทพเซียนแค่เท่านี้ เพราะถึงอย่างไรเถ้าแก่รองที่สมควรโดนแทงเป็นพันครั้งผู้นี้ก็ยังมีศิษย์พี่ใหญ่เป็นเซียนกระบี่ใหญ่นะ”
แล้วก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่ทั้งฉลาดเฉลียวและประสบการณ์โชกโชนคนหนึ่งเอ่ยคล้อยตามขึ้นว่า “นั่นสิๆ ขอบเขตเซียนเหรินต้องไม่มีทางลงมือแน่ ขอบเขตก่อกำเนิดก็อาจไม่สำเร็จเสมอไป ดังนั้นจึงยังต้องเป็นขอบเขตหยกดิบนั่นแหละดี ข้าว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่มีนิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาอย่างเถาเหวินไม่มีทางฉี่ลงกาเดียวกับเถ้าแก่รองหรอก ให้เถาเหวินลงมือต้องสำเร็จได้แน่! แล้วนับประสาอะไรกับที่เถาเหวินยังขาดเงินมาโดยตลอด ราคาคงไม่สูงสักเท่าไร”
แต่กระนั้นก็ยังมีคนบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “หากเถาเหวินผู้นั้นไม่ได้แตกหักกับเถ้าแก่รองจริงๆ เล่า ถึงเวลานั้นพวกเราจะไม่ถูกเถ้าแก่รองเล่นงานกันหมดหรอกหรือ?”
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็รู้สึกขุ่นเคือง เริ่มช่วยกันระดมความคิด เพียงไม่นานก็มีคนเสนอขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นหยวนชิงสู่เซียนกระบี่จากทักษินาตยทวีป? ทักษินาตยทวีปคือพื้นที่อิทธิพลของสายหย่าเซิ่ง ไม่ค่อยถูกกับสายของเถ้าแก่รองสักเท่าไร พอจะเป็นไปได้ไหม? จะปลอดภัยกว่าเถาเหวินหรือเปล่า? ทุกคนต่างก็พูดกันว่าหยวนชิงสู่รังเกียจร้านเหล้าที่หลอกลวงคนไม่ใช่หรือ?”
“หยวนชิงสู่น่าจะเสี่ยงไปสักหน่อย ข้าว่าเกาขุยก็ไม่เลว สนิทสนมกับผังหยวนจี้ขนาดนั้น คาดว่าคงเกลียดขี้หน้าเถ้าแก่รองไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว”
จู่ๆ ก็มีคนบ่นขึ้นว่า “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านี่จะเป็นหลุมใหญ่ที่ขุดไว้รอพวกเรากระโดดลงไปอีกหรือไม่?”
มีคนถอนหายใจแล้วกัดฟันพูด “ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง ทุกวันนี้ยามข้าผู้อาวุโสเดินอยู่บนถนน เห็นใครก็คิดว่าเป็นหน้าม้าของเจ้าเถ้าแก่รองใจดำผู้นั้นไปเสียหมด!”
คนอื่นๆ ต่างก็พากันเงียบงัน
นอกจากคำพูดเปิดโปงความลับสวรรค์ของคนสุดท้ายและพวกคนที่ร้องเฮโลตามคนอื่นอย่างส่งเดชแล้ว อย่างน้อยที่สุด เจ้าพวกคนที่เปิดปากเสนอความคิดเห็นนั่นก็น่าจะมีสักครึ่งหนึ่งที่เป็นหน้าม้าของเถ้าแก่รองผู้นั้นจริงๆ