กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 610.1 กลัวว่าจะเป็นเพียงความฝัน
เฉินผิงอันกับชุยตงซาน อาจารย์และลูกศิษย์ที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองเหมือนกันเดินไปที่ร้านเหล้าต่างบ้านต่างเมืองที่ถือว่าเป็นกิจการบ้านตัวเองครึ่งตัวหนึ่งพร้อมกัน
ชุยตงซานถามเสียงเบาว่า “อาจารย์เกลี้ยกล่อมเขาไม่สำเร็จหรือ? เถาเหวินยังคงไม่ยินดีจะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดึงดันว่าจะตายอยู่ที่นี่?”
ข้าวหนึ่งชนิดเลี้ยงคนได้ร้อยแบบ ในเมื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวยที่ไม่อยากตาย แน่นอนว่าก็ต้องมีเซียนกระบี่อย่างเถาเหวินที่อยากตายอยู่ในบ้านเกิดของตัวเอง
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จำนวนของทั้งสองฝ่ายนี้ อันที่จริงล้วนไม่น้อย
เซียนกระบี่ผู้อาวุโส เซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ระดับสูงสุดจำนวนเพียงหยิบมือ ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกหรือรบตายไปแล้ว เหตุใดแต่ละคนถึงไม่ยินดีให้ความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักของใต้หล้าไพศาลหยั่งรากแตกหน่อ เผยแพร่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มากนัก? แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล อีกทั้งยังไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ว่าดูแคลนความรู้พวกนี้ เพียงแต่ว่าคำตอบของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับเรียบง่ายยิ่งกว่า และคำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือหากความรู้เยอะไป ผู้คนใคร่ครวญขบคิดมากเกินไป จิตใจคนก็จะซับซ้อน การฝึกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ก็ยากที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่อง กำแพงเมืองปราณกระบี่ย่อมไม่มีทางยืนหยัดมาได้ถึงหนึ่งหมื่นปีแน่นอน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงเซียนกระบี่ทั่วไปในท้องถิ่นที่รู้เรื่องก็มีอยู่น้อยมาก เมื่อหลายปีก่อนบนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินชิงตูเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองอยู่ด้วยตัวเอง เขาสร้างฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมา จากนั้นเมื่ออริยะของแต่ละฝ่ายมารวมตัวกันก็มีการร่วมปรึกษาพูดคุยเกิดขึ้น ทว่าจุดจบกลับไม่ค่อยดีนัก นับแต่นั้นมานักปราชญ์ วิญญูชน อริยะของหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งสองสายที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก่อนจะจากไป ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ ก็ล้วนจะได้รับคำสั่งจากทางสถานศึกษาสำนักศึกษา หรือควรพูดให้ถูกคือได้รับคำสั่งอย่างเข้มงวดว่า อย่างมากสุดก็แค่รับผิดชอบคอยสังเกตการณ์สงครามการศึกเท่านั้น ระหว่างนี้ด้วยคิดอยากจะทำเรื่องหลายๆ อย่างให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนยอมเสี่ยงถูกลงโทษ แต่ก็ต้องลงมือเองโดยพลการให้จงได้ พวกเซียนกระบี่ก็ไม่เคยจงใจข่มกำราบหรือผลักไส เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อพวกนี้ก็ต้องหมดอาลัยตายอยากเหมือนกันแทบทั้งหมด
เฉินผิงอันเอ่ย “พอนั่งบนโต๊ะเหล้าแล้วก็เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว ไม่ทันได้เอ่ยโน้มน้าว ดื่มเหล้าทำให้เสียเรื่องจริงๆ เสียด้วย”
เฉินผิงอันเดินฝีเท้าไม่เร็ว ชุยตงซานก็ยิ่งไม่รีบร้อน
คนทั้งสองจึงเดินช้าๆ ไม่เร่งรีบไปดื่มเหล้าใหม่ที่โต๊ะกันเช่นนี้
ถนนใหญ่ตรอกเล็กต่างก็ซ่อนเรื่องราวน้อยใหญ่ที่จุดจบไม่ค่อยดีเอาไว้
ชุยตงซานเอ่ยปลอบว่า “มอบตราประทับให้แล้ว ในใจของอาจารย์ย่อมรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง แต่หากไม่มอบให้ อันที่จริงกลับดียิ่งกว่า เพราะเถาเหวินจะรู้สึกดีมากกว่า เหตุใดอาจารย์ต้องทำเช่นนี้ เหตุใดอาจารย์ถึงทำเช่นนี้ อาจารย์ไม่ควรทำเช่นนี้”
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อคุย “หลินจวินปี้ผู้นั้นเล่นหมากล้อมกับเจ้า ผลออกมาเป็นอย่างไร?”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ บนร่างของคนทั้งสองก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อม ประหนึ่งดอกบัวสีทองอ่อนหลายดอกที่หุบๆ บานๆ เกิดๆ ดับๆ เพียงแต่ว่าถูกชุยตงซานร่ายเวทอำพรางตาวิชาเฉพาะตัวเอาไว้ จำเป็นต้องเห็นดอกไม้นี้ก่อน ไม่ใช่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนก็อย่าได้หวังเด็ดขาด จากนั้นถึงจะสามารถแอบฟังบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายได้ เพียงแต่ว่ามองเห็นดอกไม้แล้วคิดจะฝ่าทำลายค่ายกล ก็เท่ากับเปิดเผยพิรุธของตัวเอง ชุยตงซานก็จะสามารถตามเบาะแสนี้ไปมอบของขวัญกลับคืนตามมารยาทได้ ไปถามเซียนกระบี่ท่านนั้นว่ารู้หรือไม่ว่าตนคือใคร หากไม่รู้ก็จะต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเป็นใคร
เหยื่อล่อก็คือเรื่องที่ว่าสรุปแล้วเขาชุยตงซานคือใครกันแน่ แล้วจุดจบของหลินจวินปี้ล่ะเป็นอย่างไร แนวโน้มของสถานการณ์ราชวงศ์เส้าหยวนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินหรือไม่ จากนั้นก็นำสิ่งนี้มาพิสูจน์ว่าสรุปแล้วเขาชุยตงซานเป็นใครกันแน่
ถึงอย่างไรคนที่จะติดกับก็ล้วนเป็นคนที่ยินดีทั้งนั้น
เขาชุยตงานไม่ได้ขอร้องให้ใครมางับเหยื่อเสียหน่อย จุดจบจากการที่ควบคุมปากตัวเองไม่ได้ เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว หากขนาดนี้แล้วยังไม่ถอดใจ ก็คงต้องชั่งน้ำหนักควันธูปของสายเหวินเซิ่งดูอีกครั้ง แล้วก็อย่ามาโทษหากเขาชุยตงซานไปขอกำลังเสริม เรียกให้อาจารย์ลุงใหญ่มาช่วยหนุนหลังศิษย์หลานอย่างตน
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หลินจวินปี้เป็นคนฉลาด ก็แค่อายุน้อย เลยหน้าบาง ประสบการณ์ยังไม่โชกโชน แน่นอนว่าศิษย์ต้องฉลาดกว่าเขา คิดจะทำลายจิตแห่งเต๋าของเขาอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่เรื่องยาก เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ถือโอกาสทำไปพร้อมกันได้ แต่ไม่มีความจำเป็น ถึงอย่างไรศิษย์กับเขาก็ไม่มีความอาฆาตแค้นกันเป็นการส่วนตัว คนที่ผูกปมแค้นกับข้าจริงๆ คืออาจารย์ซีหลูที่เขียน ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ เล่มนั้น เขาก็จริงๆ เลย ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกขนาดนั้นก็ยังกล้าเขียนหนังสือสอนวิธีเล่นหมากล้อมให้คนอื่น ว่ากันว่าหนังสือนี่ยังขายดีอีกด้วย อยู่ในราชวงศ์เส้าหยวนก็ขายดีจนแทบจะเทียบได้กับ ‘ตำราเมฆหลากสี’ แล้ว ทนได้หรือ? ศิษย์ย่อมทนไม่ได้อยู่แล้ว นี่คือการถ่วงเส้นทางการหาเงินของศิษย์เลยนะ ตัดขาดเส้นทางความรวยของคนอื่น มันน่าแค้นจะตายไป ถูกไหม?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ตัดขาดเส้นทางความรวยของเจ้า หมายความว่าอย่างไร?”
ชุยตงซานตอบอย่างเขินอาย “ไม่พูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้น้อย โดยทั่วไปแล้ว ‘ตำราเมฆหลากสี’ ทุกเล่มที่ขายออกในใต้หล้าไพศาล ศิษย์ล้วนได้รับส่วนแบ่ง เพียงแต่ว่านครจักรพรรดิขาวไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าไม่เคยเปิดปากเรียกร้องด้วยตัวเองด้วย ล้วนเป็นแผนการที่พวกร้านหนังสือบนภูเขาปรึกษาหารือกันมาได้ เพื่อความปลอดภัย ไม่อย่างนั้นหาเงินมาได้แต่ต้องหัวขาดก็ไม่คุ้มค่า แน่นอนว่าศิษย์เคยบอกเป็นนัยๆ ด้วยกังวลว่าเจ้านครจักรพรรดิขาวใจกว้าง แต่คนที่อยู่ข้างกายเจ้านครกลับจิตใจคับแคบ หากไม่ทันระวัง อาจเป็นเหตุให้พวกคนที่จัดพิมพ์ตำราหมากล้อมถูกนครจักรพรรดิขาวคิดบัญชีย้อนหลังเอาได้ คนวิถีมารนั้นยากจะคาดเดานิสัยใจคอ ถึงอย่างไรระมัดระวังก็ขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี อีกอย่างสามารถมอบเงินให้กับนครจักรพรรดิขาวที่ยิ่งใหญ่ได้ ก็ถือเป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่ได้มาอย่างยากลำบาก”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ หากชุยตงซานไม่บอก เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องวงในของการหาเงินก้อนใหญ่ดั่งน้ำสายเล็กไหลยาวเช่นนี้อยู่ จึงพูดอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “อีกเดี๋ยวดื่มเหล้า เจ้าเป็นคนจ่ายเงิน หาเงินมาอย่างใจดำเช่นนี้ เจ้าก็ควรจะดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่หลายๆ ไหหน่อย จะได้ชำระล้างท้องล้างจิตใจให้สะอาดเสียบ้าง”
ชุยตงซานพยักหน้าขานรับว่าตกลง แล้วยังบอกว่าเหล้าพวกนั้นขายถูกเกินไปแล้ว บะหมี่หยางชุนก็อร่อยนัก อาจารย์มีคุณธรรมในการทำการค้าเกินไป จากนั้นก็เอ่ยต่ออีกว่า “อีกคนหนึ่งก็คืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาของหลินจวินปี้อย่างใต้เท้าราชครูราชวงศ์เส้าหยวนผู้นั้น ความไม่พอใจทั้งหลายของคนรุ่นเก่าไม่ควรจะถ่ายทอดมาถึงตัวของลูกศิษย์ คนอื่นรู้สึกอย่างไรล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่ว่าสายเหวินเซิ่งของพวกเราจะสามารถยืนหยัดในความรู้ที่เปลืองแรงแล้วก็ยังไม่ได้ดีนี้ไว้ได้หรือไม่ ในเรื่องนี้ไม่ต้องสอนเผยเฉียนมากนัก กลับกลายเป็นฉาฉิงหล่างที่ต้องให้เขาได้เห็นเรื่องให้มากขึ้น อธิบายหลักการเหตุผลกับเขาให้มากขึ้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สรุปแล้วว่าหลินจวินปี้เป็นอย่างไร?”
ชุยตงซานยิ้มตอบ “สรุปก็คือหลินจวินปี้ถูกศิษย์พร่ำสอนชี้แนะด้วยความหวังดี เขากระจ่างแจ้งได้โดยพลัน ยินดีจะกลายเป็นหมากของข้าอย่างอารมณ์ดี ความหนักแน่นของจิตแห่งเต๋ายิ่งขยับสูงขึ้นไปอีกขั้น อาจารย์วางใจได้ ข้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงจิตแห่งเต๋าของเขาแม้สักเสี้ยว ข้าก็แค่ช่วยให้เขากลายเป็นราชครูราชวงศ์เส้าหยวน และยิ่งสมกับเป็นบุคคลอันดับหนึ่งข้างกายจักรพรรดิได้เร็วขึ้น ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม ไม่เพียงแค่เรื่องของความรู้เท่านั้น ยังมีกองกำลังอำนาจในโลกมนุษย์อีกด้วย หลินจวินปี้สามารถได้รับสิ่งเหล่านี้มามากกว่าอาจารย์ของเขา สิ่งที่ศิษย์ทำไปก็คือการปักบุปผาลงบนผ้าแพร หลินจวินปี้คนนี้แบกรับโชคชะตาแคว้นของหนึ่งแคว้นในราชวงศ์เส้าหยวนเอาไว้ จึงมีคุณสมบัติที่จะคิดเช่นนี้ ปมของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าข้าพูดอะไรหรือทำอะไร แต่อยู่ที่ว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลินจวินปี้ถ่ายทอดมรรคาได้ไม่มากพอ เข้าใจผิดคิดว่าการที่ค่อยๆ อบรมสั่งสอนไปทีละขั้นตอนปีแล้วปีเล่าก็จะสามารถทำให้หลินจวินปี้กลายเป็นตัวเองอีกคนหนึ่งได้ สุดท้ายเติบโตกลายมาเป็นเสาเทพค้ำมหาสมุทรของราชวงศ์เส้าหยวน แต่กลับไม่รู้เลยว่าจิตใจของหลินจวินปี้ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เขาไม่ยินดีจะกลายเป็นเงาของใครทั้งนั้น ดังนั้นจึงมีโอกาสให้ศิษย์ลงมือ หลินจวินปี้ได้รับกำไรเป็นกอบเป็นกำอย่างที่เขาหวังว่าจะได้ ส่วนข้าก็ได้กำไรเท่าหัวแมลงวันที่อยากจะได้ ทุกคนต่างก็ชื่นบาน สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะหลินจวินปี้ฉลาดมากพอ ศิษย์ถึงได้ยินดีสอนวิชาหมากล้อมที่แท้จริงและหลักการวางตัวให้แก่เขา”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็เอ่ยว่า “อาจารย์ไม่ควรถามเช่นนี้ มีแต่จะถูกเรื่องสกปรกที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองพวกนี้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์อยากดื่มเหล้าเสียเปล่าๆ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องของอาจารย์คือเรื่องของลูกศิษย์ แล้วเรื่องของลูกศิษย์จะไม่ใช่เรื่องของอาจารย์ได้อย่างไร?”
ชุยตงซานยกชายแขนเสื้อขึ้น แสร้งทำท่าเค้นน้ำตา เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ยว่า “คำประจบสอพลอไม่ต้องพูดหรอก แต่จำไว้ว่าจากนี้ซื้อเหล้าหลายๆ ไหหน่อย”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยเตือนว่า “อวี้เจวี้ยนฟูนิสัยไม่เลว เจ้าอย่าได้หลอกนาง”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “สำหรับนางและตระกูลอวี้แล้ว บางทีอาจไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีสักเท่าไร แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ข้ากับตาแก่อวี้ที่ความสามารถในการล้มกระดานดีกว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน อาจารย์วางใจเถอะ ทุกวันนี้ศิษย์ทำอะไรล้วนรู้หนักรู้เบาอยู่เสมอ การที่อวี้เจวี้ยนฟูสามารถกลายมาเป็นคนที่อาจารย์มองว่า ‘ไม่เลว’ ได้นั้น แน่นอนว่าความตั้งใจของตัวนางเองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แล้วก็มีขนบธรรมเนียมประจำตระกูลที่บ่มเพาะมาเป็นปัจจัยเช่นกัน ส่วนขนบธรรมเนียมของราชวงศ์เส้าหยวนแห่งนั้นเป็นอย่างไร แน่นอนว่าหลักการก็ต้องคล้ายๆ กัน เลือกหมูก็ต้องดูที่เล้าหมูใช่ไหมล่ะ ขอแค่รอบคอบไม่ดูแค่กรณีพิเศษ ดูแค่จำนวนที่มาก หลักการเหตุผลก็ไม่มีทางผิดเป็นแน่”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามามอง ‘ห่านขาวใหญ่’ ที่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนเอ่ยเรียก ศิษย์พี่เล็กในใจของเฉาฉิงหล่าง แล้วคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ เอ่ยว่า “มีลูกศิษย์อย่างเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าสบายใจอย่างมาก”
ชุยตงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ศิษย์ไม่อาจอยู่เคียงข้างอาจารย์ได้ตลอด ไม่อาจช่วยอาจารย์คลายความกังวลกลัดกลุ้มเล็กๆ เท่าที่ตัวเองมีความสามารถได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือการฝึกตน เจ้าที่เป็นศิษย์พี่เล็กช่วยดูแลให้มากหน่อย คนที่มีความสามารถมากย่อมเหนื่อยกว่าคนอื่น ต่อให้ในใจเจ้าจะน้อยใจ ข้าก็จะแสร้งทำเป็นไม่รับรู้”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ใต้หล้านี้มีเพียงคนที่ฝึกฝนจิตใจตัวเองไม่มากพอเท่านั้น หากสืบสาวลงลึกไปแล้ว อันที่จริงก็ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจใดที่จะเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจได้”
เฉินผิงอันหันหน้ามาหา “จะสอนอาจารย์ว่าควรวางตัวอย่างไรด้วยหรือ?”
ชุยตงซานพูดอย่างน้อยใจ “ศิษย์น้อยใจจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ผู้ที่เชี่ยวชาญการอ่านใจคน ยิ่งขยับเข้าใกล้ใจสวรรค์มากเท่าไร ก็ยิ่งง่ายที่จะถูกสวรรค์เล่นงานมากเท่านั้น ตัวเจ้าเองก็ระวังให้มาก มีเพียงใส่ใจตัวเองทุกเรื่องเท่านั้นถึงจะสามารถใส่ใจคนอื่นได้อย่างยาวนาน”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ศิษย์มีแผนการแล้ว ย่อมต้องใคร่ครวญให้รอบคอบ”
อันที่จริงประโยคสุดท้ายของทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความนัยที่ไม่ได้เอ่ยออกมา
คำว่าใส่ใจตัวเองทุกเรื่องของสายเหวินเซิ่ง แน่นอนว่าต้องมีเงื่อนไขที่ว่าไม่ทำร้ายคนอื่นและไม่ผิดต่อวิถีทางโลก เพียงแต่ว่าคำพูดเช่นนี้ยากที่จะเอามาพูดกับชุยตงซานได้ เฉินผิงอันไม่ยินดีจะเอาเหตุผลยิ่งใหญ่ที่แม้แต่ตัวเองก็ยังเข้าใจไม่กระจ่างและคุณธรรมของตัวเองมากดข่มคนอื่น
คำตอบของชุยตงซานก็ใช่ว่าจะเป็นการรับปากอาจารย์ เพราะเขาเองไม่อาจรับประกันได้ว่าจะ ‘ใส่ใจตัวเองทุกเรื่อง’ ยิ่งไม่อาจรับรองคำว่า ‘ยาวนาน’ ได้
วิถีทางโลกใบนี้ การใช้เหตุผลกับคนอื่นล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่มากก็น้อยอยู่เสมอ
ถ้าเช่นนั้นการใช้เหตุผลและไม่ใช้เหตุผลเพื่อปกป้องคนมากมายบนโลก ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายจึงมีแต่จะมากยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้ชุยตงซานวางเรื่องใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปที่มีมากมายขนาดนั้นเอาไว้ก่อนชั่วคราว แล้วเร่งรุดเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาเองก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นกัน อันที่จริงชุยฉานไม่ได้เอ่ยอะไร ยิ่งไม่ได้ต่อรองราคา ในจดหมายเอ่ยแค่สี่คำว่ารีบไปรีบกลับ ถือเป็นการตอบตกลงกับการแอบอู้ของชุยตงซานแล้ว แต่ตัวชุยตงซานเองก็รู้ดีว่า ตนยินดีทำให้มากขึ้นอีกหน่อย ในเมื่อเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานยอมถอยให้ข้าหนึ่งก้าว ถ้าอย่างนั้นข้าชุยตงซานที่ไม่ใช่เจ้าชุยฉานก็จะให้ตัวเองได้เดินออกไปสองก้าว
ชุยตงซานรู้ดีถึงสิ่งที่อาจารย์ตัวเองทำลงไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่
ไม่เพียงเท่านี้ ยังสามารถดึงเอาฉีจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาร่วมด้วย
ชุยตงซานจึงทำแค่เรื่องที่น่าสนใจ ทั้งยังมีความหมาย ขณะเดียวกันยังมีประโยชน์ให้ฉกฉวยอีกด้วย
ดังนั้นของเขาจึงได้แต่ดึงเอาคนฉลาดอย่างพวกหลินจวินปี้มาอยู่ข้างกาย ไม่อาจกลายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับคนอย่างฉีจิ่งหลง จงขุยได้ตลอดกาล
แต่อาจารย์กลับไม่ได้เป็นเช่นนี้
ลูกศิษย์มากมายบนโลกมักจะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากบนร่างของอาจารย์ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ชื่อเสียง การปกป้องมรรคา ขั้นบันได เงิน
ชุยตงซานคร้านจะพูดถึงสิ่งที่ดีและไม่ดีเหล่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ตน ไม่เกี่ยวอะไรกับตน ถ้าอย่างนั้นอยู่นอกบ้านก็แขวนพวกมันไว้ให้สูง
พอไปถึงร้านเหล้าก็เห็นว่ามีคนอยู่เต็มแน่น เฉินผิงอันพาชุยตงซานเดินไปหิ้วเหล้าสองกามานั่งข้างทาง ข้างกายมีผู้ฝึกกระบี่หน้าใหม่มาเพิ่มอยู่หลายคน
ตอนนี้ชื่อเสียงของชุยตงซานในกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ถือว่าน้อยแล้ว ฝีมือการเล่นหมากล้อมเลิศล้ำ ว่ากันว่าเอาชนะหลินจวินปี้ได้หลายครั้งติด ครั้งที่มากที่สุดนั้นวางหมากกันไปถึงสี่ร้อยกว่าตัว
เซียนกระบี่ในท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญการประลองกระบี่ต่างก็พูดกันว่าชุยตงซานลูกศิษย์รุ่นที่สามของสายเหวินเซิ่งผู้นี้มีวิชาหมากล้อมเลิศล้ำค้ำฟ้า อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ต้องไร้ศัตรูเทียมทานอย่างแน่นอน
ดังนั้นในใจของพวกผีขี้เหล้าผีพนันทั้งหลายจึงรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก คิดดูแล้วเถ้าแก่รองที่เป็นอาจารย์ของชุยตงซานต้องมีวิชาหมากล้อมสูงกว่าแน่ๆ ดังนั้นถูกเถ้าแก่รองขายเหล้าเป็นเจ้ามือหลอกเอาเงินไป ก็ถือว่าไม่น่าอายแล้วใช่หรือไม่? ขณะเดียวกันก็มีคนไม่น้อยรู้สึกว่าตนเองเข้าใจเถ้าแก่รองผิดไปจริงๆ แม้จะบอกว่าพฤติกรรมการดื่มเหล้าและการเดิมพันแย่ไปสักหน่อย แย่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงอย่างไรนิสัยการเล่นหมากล้อมก็ดี ทั้งๆ ที่มีวิชาหมากล้อมสูงส่งขนาดนี้ แต่กลับไม่เคยเอาเรื่องนี้มาโอ้อวด ไม่นึกว่าจะยังเหลือมโนธรรมอีกน้อยนิดที่ยังไม่ถูกสุนัขของใต้หล้าไพศาลคาบไปกินทั้งหมด
ตอนนี้กิจการของร้านเหล้าดีมากจริงๆ เถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้างจึงคิดจะซื้อร้านสองร้านที่อยู่ติดกัน แรกเริ่มนางกลัวมากกว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการกระทำที่เกินความจำเป็น จึงเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจต้องถูกอบรมสั่งสอน หลังจากบอกความคิดนี้แก่เถ้าแก่รองอย่างระมัดระวัง คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่รองจะพยักหน้ารับบอกว่าทำได้ เตี๋ยจ้างจึงรู้สึกว่าตัวเองพอจะเข้าใจการทำการค้าขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อมีความคิดเช่นนี้ เตี๋ยจ้างจึงปรึกษากับจางเจียเจินที่มาช่วยงานเป็นลูกจ้างระยะสั้น เมื่อเด็กหนุ่มตอบตกลงก็จะได้ทำงานระยะยาวอยู่ในร้านเหล้า นอกจากจางเจียเจินจากตรอกหลิงซีแล้ว ยังมีเจี่ยงชวี่คนวัยเดียวกันจากตรอกซัวลี่ด้วย เขาเป็นฝ่ายมาหาเตี๋ยจ้าง หวังว่าจะช่วยงานในร้านเหล้าได้ ยังบอกอีกว่าเขาไม่ต้องการเงินเดือน ขอแค่มีข้าวให้กินอิ่มก็พอแล้ว แน่นอนว่าเตี๋ยจ้างไม่ตกลง ยังยืนกรานว่าจะจ่ายเงินเดือนให้เขา แต่แรกๆ จะไม่ได้ให้เงินมากนัก วันหน้าหากกิจการดีกว่าเดิมค่อยเพิ่มเงินเดือนให้ ดังนั้นช่วงนี้เจี่ยงชวี่จึงมักจะมาหาจางเจียเจินบ่อยๆ เพื่อสอบถามเรื่องงานจุกจิกในร้านเหล้า จางเจียเจินเองก็บอกทุกเรื่องที่ตัวเองรู้แก่คนวัยเดียวกันที่คุ้นเคยมานานแล้วผู้นี้ไปจนหมดเปลือก เด็กหนุ่มสองคนที่มาจากตรอกเก่าโทรมคนละแห่ง แต่มีชาติกำเนิดพอๆ กันจึงยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น