กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 612.1 ลมกำลังจะก่อตัว
ฟ่านต้าเช่อยังคงไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรกลายเป็นโอสถทองคนหนึ่งได้
ต่อให้ฟ่านต้าเช่อจะดื่มเหล้ามากแค่ไหน แล้วยังเป็นเขาที่จ่ายเงินเลี้ยงคนอื่นทุกครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจฝึกหนังหนาให้หนาได้อย่างเถ้าแก่รอง เขายังคงรู้สึกละอายใจ รู้สึกผิดต่อลานประลองยุทธของจวนหนิงและหุ่นเชิดของบ้านเจ้าอ้วนเยี่ยนที่มาช่วยฝึกกระบี่ให้ ดังนั้นทุกครั้งที่มาดื่มเหล้า คนที่เลี้ยงจึงเป็นฟ่านต้าเช่อมาโดยตลอด นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ต่อให้ฟ่านต้าเช่อไม่นั่งอยู่บนโต๊ะเหล้า แต่ขอแค่เงินอยู่ก็พอ มาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างล้วนลงบัญชีไว้ในชื่อของฟ่านต้าเช่อ คนที่มาบ่อยที่สุดก็คือต่งฮว่าฝู แรกเริ่มฟ่านต้าเช่อยังมึนงงอยู่บ้าง ทำไมที่ร้านถึงเชื่อค่าเหล้าไว้ก่อนได้แล้วเล่า? พอถามถึงได้รู้ ที่แท้เป็นเฉินซานชิวที่ตัดสินใจเองวางเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งไว้ในร้านแทนเขา พอฟ่านต้าเช่อถามว่าเงินร้อนน้อยนี้ยังเหลืออีกมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ถามก็ยังดี พอถามแล้วก็บังเกิดความเศร้าใจ ถ้าไม่ทำก็ไม่ทำ พอได้ทำก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น ถึงกับสั่งเหล้าภูเขาชิงเสินมาหลายกาอย่างที่หาได้ยาก ถือโอกาสนี้ดื่มจนเมามาย
เด็กหนุ่มวัยเดียวกันสองคนที่เป็นลูกจ้างระยะยาวในร้านเหล้า จางเจียเจินแห่งตรอกหลิงซีกับเจี่ยงชวี่แห่งตรอกซัวลี่ ตอนนี้กลายเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และความฝันของแต่ละคนที่เล่าสู่กันฟังเป็นการส่วนตัวก็ล้วนไม่ได้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่นัก
จำนวนครั้งที่นักเล่านิทานจะยกม้านั่งมานั่งเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำก็น้อยลงไปทุกที
เด็กน้อยที่ในไหมีเงินเก็บส่วนตัว เด็กคนที่พ่อของเขามาช่วยทำบะหมี่หยางชุนที่ร้านเหล้า รู้สึกว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่เข้าที ต่อให้เรื่องเล่าจะไม่น่าฟังก็ยังเป็นเรื่องเล่านะ หากไม่ได้จริงๆ เขาก็จะจ่ายเงินซื้อเรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน หนึ่งเหรียญทองแดงพอหรือไม่? ตอนนี้พ่อของเขาได้เงินมาเยอะ ทุกๆ สามวันห้าวันก็จะมอบให้เขาสามเหรียญห้าเหรียญ อย่างมากสุดผ่านไปอีกปี ไหของเฝิงคังเล่อคงเก็บไว้ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเงินเยอะความกล้าหาญก็ตามมา เฝิงคังเล่อที่กอดไหไว้ในอ้อมอกจึงปลุกความกล้า แอบวิ่งไปที่ถนนใหญ่ที่ตั้งจวนหนิงซึ่งไม่เคยไปเยือนมาก่อนเพียงลำพัง เพียงแต่ว่าเดินวนเวียนอยู่นานก็ยังไม่กล้าเคาะประตู ประตูใหญ่เกินไป ตัวเด็กน้อยเล็กเกินไป เฝิงคังเล่อจึงรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองเคาะประตูเต็มแรง คนด้านในก็ไม่มีทางได้ยิน
ตอนที่นักเล่านิทานนั่งอยู่บนม้านั่ง เด็กที่เอ่ยทักทายพูดคุยกับเถ้าแก่รองเป็นคนแรกผู้นี้ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย แต่เมื่อนักเล่านิทานไปหลบอยู่ในกำแพงสูงของจวนหนิง เด็กน้อยกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา ดังนั้นจึงนั่งตากแดดอยู่ในมุมกำแพงเป็นครึ่งๆ วัน ก่อนฟ้าจะมืดก็ออกมาจากถนนใหญ่ที่ปูด้วยหินเขียวซึ่งแวววับจนส่องแทนกระจกได้ เด็กชายแอบบิดข้อเท้า พื้นรองเท้าก็จะส่งเสียงดังเอี๊ยด เดินไปได้ระยะหนึ่งก็จะแอบเล่นครั้งหนึ่ง ไม่กล้าเล่นมาก กลัวว่าจะไปทำให้ใครหนวกหูแล้วจะโดนตี เดินไปตลอดทางจนกระทั่งไปถึงถนนดินเหลืองในตรอกบ้านตัวเอง ความสนุกนี้ก็หายไป รองเท้าเปื้อน ท่านพ่อไม่สนใจ แต่ท่านแม่กลับสน โดนตีจนก้นลายสนุกนักหรือ หลายๆ ครั้งท่านแม่ตีไปตีมา นางก็ร้องไห้เสียเอง ส่วนท่านพ่อจะนั่งเงียบอยู่หน้าประตูไม่เอ่ยคำใด เวลานั้นเด็กน้อยจะรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมที่สุด คนที่เจ็บคือตน พ่อกับแม่เป็นอะไรกันเล่า พวกผู้ใหญ่อย่างพ่อแม่นี้ เหตุใดถึงไร้เหตุผลยิ่งกว่าเด็กที่ยังไม่โตเสียอีก
เฝิงคังเล่อกลับไปถึงตรอกบ้านตัวเอง ที่นั่นมีพวกเด็กๆ ที่ชะเง้อคอรอเขาอยู่ไม่น้อย ต่างก็คาดหวังว่าพรุ่งนี้จะได้ฟังเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นห่างไกลจากบ้านเกิดซึ่งไม่ต้องจ่ายเงินอีกครั้ง
เฝิงคังเล่อหมดหนทาง จะให้บอกว่าตนขี้ขลาด ได้เห็นแค่ประตูใหญ่ไม่เห็นนักเล่านิทานก็คงไม่ได้กระมัง จึงแอบขอโทษนักเล่านิทานอยู่ในใจสองสามคำ จากนั้นก็พูดอย่างเจ็บปวดว่า เถ้าแก่รองขี้งกเกินไปแล้ว รังเกียจที่เงินในไหของเขามีน้อยเกินไป ตอนนี้จึงไม่ยินดีจะมาเล่าเรื่องอีกแล้ว เจ้าหมอนี่หน้าเงินยิ่งนัก ไร้มโนธรรมจริงๆ พวกเด็กๆ จึงพากันด่าตามเฝิงคังเล่อไปด้วย ด่าไปถึงท้ายที่สุด พวกเด็กๆ กลับไม่โกรธสักเท่าไร กลับรู้สึกเสียดายมากกว่า
เพราะถึงอย่างไรเรื่องเล่าคราวก่อนก็ยังเล่าไม่จบ เป็นเรื่องที่เทพภูเขาบังคับแต่งภรรยาแล้วบัณฑิตไปตีกลองร้องทุกข์ที่ศาลเทพอภิบาลเมือง จะดีจะชั่วก็เล่าเรื่องนี้ให้จบก่อนสิ สรุปแล้วบัณฑิตคนนั้นได้ช่วยแม่นางน่าสงสารที่ตัวเองรักกลับมาได้หรือไม่? เถ้าแก่รองอย่างเจ้าไม่กลัวว่าบัณฑิตจะตีกลองไม่หยุด ทำเอากลองใหญ่หน้าประตูบ้านของท่านเทพอภิบาลเมืองพังจริงๆ หรือ?
แม่นางน้อยที่หน้าตาไม่งดงาม ทว่าทุกครั้งกลับพกเมล็ดแตงมาอย่างเพียงพอคือคนที่ผิดหวังที่สุด เพราะหลังจากที่นักเล่านิทานคว้าเมล็ดแตงจากมือนางไปมากขึ้น ทุกวันนี้เวลาที่นางเล่นพ่อแม่ลูกก็ได้เป็นเจ้าสาวที่นั่งเกี้ยวแล้ว พวกเฝิงคังเล่อใช้มือต่อกันเป็นเกี้ยว นางนั่งอยู่ด้านบนตัวโยกไปโยกมา แต่พอนักเล่านิทานไม่หิ้วม้านั่งมาวางและถือกิ่งไผ่ติดมือมาเป็นเวลานานมากแล้ว คนที่ได้เป็นเจ้าสาวก็กลายเป็นคนที่พวกเฝิงคังเล่อชอบกันอีกครั้ง ส่วนนางก็ได้แต่เป็นสาวใช้ที่ติดตามเจ้านายไป
แล้วนับประสาอะไรกับที่นักเล่านิทานยังแอบรับปากนางว่า คราวหน้าพอหิมะตกแล้วเล่นปาหิมะกัน เขาจะอยู่ฝั่งเดียวกับตน เหตุใดพูดไม่เป็นคำพูดแบบนี้นะ นางต้องเปลืองแรงไปตั้งมากกว่าจะบอกให้พ่อแม่ซื้อเมล็ดแตงมาให้เยอะๆ ได้ ขนาดตัวเองยังตัดใจกินไม่ลง เพราะจะเก็บเอาไว้ตอนวันปีใหม่ ส่วนทางฝั่งบ้านเกิดนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือไม่ปีใหม่ก็เหมือนจะไม่ต่างกันเท่าไร ไม่ใช่บ้านเกิดของนักเล่านิทานที่ครึกครื้นอย่างมาก พวกเด็กๆ ได้ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ รับซองหงเปาจากพ่อแม่และพวกผู้อาวุโส ทุกบ้านล้วนติดกลอนคู่ภาพเทพทวารบาล ทำอาหารมื้อคืนข้ามปีเต็มโต๊ะ
แต่ทุกครั้งที่เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งจบหรือไม่ก็เล่าช่วงเล็กๆ ของเรื่องหนึ่งจบ เถ้าแก่รองที่ชอบเล่าเรื่องขุนเขาสายน้ำที่น่ากลัว แต่ตัวเขาเองไม่น่ากลัวแม้แต่น้อยผู้นั้น ก็จะเอ่ยถ้อยคำนอกเรื่องเล่าที่เวลานั้นจะไม่มีคนสนใจ ยกตัวอย่างเช่นพูดถึงข้อดีบางอย่างของกำแพงเมืองปราณกระบี่ บอกว่าแค่ดื่มเหล้าก็มีเซียนกระบี่กลุ่มใหญ่อยู่เป็นเพื่อน แค่หันหน้าไปมองก็เห็นว่าเซียนกระบี่กำลังกินบะหมี่หยางชุนและผักดอง นับว่าหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในใต้หล้าไพศาลก็ล้วนไม่ได้เห็นทัศนียภาพเช่นนี้ จ่ายเงินมากแค่ไหนก็หาไม่ได้ แล้วก็เอ่ยอีกประโยคหนึ่งว่า ใต้หล้านี้ไม่ว่าจะเดินทางผ่านที่ใด ไม่ว่าจะดีกว่าหรือแย่กว่าบ้านเกิด บ้านเกิดก็มีแค่แห่งเดียวเท่านั้น คือสถานที่ที่ทำให้คนคิดถึงได้มากที่สุด น่าเสียดายที่พอเล่าเรื่องจบ ทุกคนก็เหมือนฝูงนกที่แตกฮือ ไม่มีใครชอบฟังเรื่องพวกนี้
เรื่องเล็กที่ละเอียดยิบย่อยที่สุดในโลกมนุษย์พวกนี้ ตรอกเล็กที่พวกเด็กๆ อาศัยอยู่ สถานที่เล็กแคบเกินไป ไม่อาจรองรับได้มากนัก ลมฝนที่ใหญ่เพียงแค่นั้น พอฝนตกลมพัดเข้าหน่อยก็หายไปหมดแล้ว ขนาดพวกเด็กๆ เองยังจำไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องราวที่นักเล่านิทานซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งเล่าให้ฟัง ในเรื่องราวเหล่านั้นแม้แต่ผีพรายภูตภูเขาที่ยกเกี้ยวให้เทพภูเขาก็ยังถูกตั้งชื่อให้ แล้วยังเล่าถึงการแต่งกายของพวกมัน เปิดโอกาสให้พวกมันได้เผยโฉม แม้แต่ผักดองหน้าหนาวมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เคี้ยวกรุบกรอบแค่ไหนก็ยังต้องพูดถึง ทำเอาพวกเด็กๆ น้ำลายสออยากกินตามไปด้วย เพราะถึงอย่างไรที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ก็ไม่มีการฉลองวันปีใหม่ ทว่าก็มีหน้าหนาวที่ฟ้าดินเยียบเย็นทำให้คนมือเย็นเท้าชาให้ต้องข้ามผ่านเหมือนกันนี่นา
กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ติดกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตรงหัวกำแพงเมืองนั่น ใต้ฝ่าเท้าคือทะเลเมฆเป็นชั้นๆ ดุจบันไดที่ช่างผู้เมามายก่อขึ้นมา ทุกคำพูดทุกการกระทำของเหล่าเซียนกระบี่ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นเรื่องใหญ่แทบทั้งหมด แน่นอนว่าเรื่องที่เซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงโล้ชิงช้าอยู่ปีแล้วปีเล่า หมี่อวี้นอนหลับอยู่บนเตียงเมฆเรืองรองโดยไม่แยกกลางวันกลางคืน จ้าวเก้ออี๋และเฉิงเฉวียนสองศัตรูคู่อาฆาตที่ดื่มเหล้าไปแล้วก็ถ่มน้ำลายใส่กัน นั่นไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ได้สักเท่าไรเลยจริงๆ
เหล่าผู้ฝึกกระบี่ของสำนักใหญ่ๆ มากมายซึ่งรวมถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นหนึ่งในนั้น ได้เตรียมที่จะทยอยกันถอนกำลังออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว สำหรับเรื่องนี้แซ่ใหญ่ๆ ในนครของกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งรวมแซ่เฉิน ต่ง ฉีเป็นหนึ่งในนั้นและยังรวมถึงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอง ต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง เพราะถึงอย่างไรเมื่อผ่านศึกใหญ่เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นไปแล้วหนึ่งครั้ง แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้สองศึกใหญ่เกิดขึ้นติดต่อกันเกินไป ถึงได้ถ่วงเวลาให้พวกคนต่างถิ่นไม่อาจหวนคืนบ้านเกิดได้เสียที
เคยมีคนยิ้มกล่าวว่า ความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมไว้กับเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คือความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่มีค่าที่สุดในใต้หล้า อย่าได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ใครคิดจริงจัง คนนั้นก็คือคนโง่ ทว่าพวกคนที่พูดจาเหมือนผายลมแบบนี้กลับเป็นคนที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสังหารปีศาจได้มากที่สุด แล้วก็เป็นปีศาจที่ตัว ‘ใหญ่’ ที่สุด หากน้ำหนักของปีศาจใหญ่ตัวนั้นไม่มากพอ จะสามารถสลักตัวอักษรใหญ่ใหม่เอี่ยมบนหัวกำแพงเมืองได้อย่างไร?
แต่ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มีคนของอุตรกุรุทวีปมากที่สุดนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะกลับใต้หล้าไพศาลอันเป็นบ้านเกิด อย่างหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ยังอยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ท่านอื่นๆ ของอุตรกุรุทวีปก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คนที่จากไปล้วนเป็นคนหนุ่มสาว คนที่อยู่ต่อล้วนเป็นผู้เฒ่าที่ขอบเขตสูง แน่นอนว่าก็มีคนที่เดินทางมาเยือนที่แห่งนี้เพียงลำพัง อย่างเช่นลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง หยวนชิงสู่เซียนกระบี่แห่งทักษิณาตยทวีป นอกจากเซียนกระบี่แล้ว ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินจำนวนมากที่มาจากต่างสำนักในเก้าทวีปใหญ่ ส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ต่อ
ก็โชคดีที่กิจการร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างขยับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พอควบรวมสองร้านที่อยู่ติดกันไว้ได้แล้ว จึงมีผนังสองฝั่งที่เอาไว้แขวนป้ายสงบสุขโดยเฉพาะเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่มีคนของอุตรกุรุทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นหลักกลุ่มี้ ถึงได้พากันมาเขียนชื่อและเขียนข้อความไว้ที่ร้านเหล้า อีกทั้งเวลาคนเหล่านี้ไปดื่มเหล้าที่ร้านก็มักจะลากเอาผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ที่เคยร่วมศึกใหญ่ด้วยกันสองครั้งไปด้วย คนกลุ่มนี้จึงสร้างบรรยากาศอย่างใหม่ให้เกิดขึ้น ด้านหน้าและด้านหลังของป้ายสงบสุขหนึ่งแผ่นจึงมักจะเขียนชื่อและข้อความของผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นกับผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาไว้คู่กัน ต่างคนต่างเขียนกันคนและด้าน บ้างก็เขียนถ้อยคำมีมารยาทเกรงใจ บ้างก็เขียนถ้อยคำหยาบคายด่ากันเอง และยังมีถ้อยคำบ้าบอของคนที่เมามาย รวมไปถึงถ้อยคำที่คัดมาจากตำราตราประทับสองร้อยกระบี่และบนหน้าพัดพับ เรียกได้ว่ามีสารพัดทุกรูปแบบ
ป้ายสงบสุขแผ่นหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนักฝูเหยาทวีป นอกจากจะเขียนชื่อไว้ด้านหน้าแผ่นป้ายแล้ว ยังเขียนประโยคว่า ‘ข้าผู้อาวุโสอ่ายป้ายสงบสุขมาหมดแล้ว กล้าพูดเลยว่า ผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าไพศาลของพวกเรา เวทกระบี่สู้กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้แล้วอย่างไร เพราะตัวอักษรของพวกเรา เขียนได้ดีกว่ามากนัก!’
ด้านหลังคือชื่อและถ้อยคำของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในส่วนของชื่อยังเขียนได้เป็นระเบียบงดงาม ทว่าอักษรตัวอื่นๆ บนป้ายสงบสุขกลับเผยพิรุธเสียได้ เพราะแกะสลักได้อย่างบิดเบี้ยวยิ่งนัก ‘คนของใต้หล้าไพศาลที่เขียนตัวอักษรไม่เป็นอย่างเจ้า แล้วยังมีคนที่ขายเหล้าไม่เป็นอย่างเถ้าแก่รอง ลองมาตีกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราอีกสักทีสิ หรือจะตีกันมากกว่านั้นก็พร้อมเสมอ’
……
จั่วโย่วกำลังพูดคุยเรื่องความเข้าใจที่มีต่อเวทกระบี่ให้เว่ยจิ้นฟัง หลังจากที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสปรากฏตัว เว่ยจิ้นก็ขอตัวลากลับไป
ทว่าเฉินชิงตูกลับโบกมือ “อยู่ต่อเถอะ ในสายตาของข้า เวทกระบี่ของพวกเจ้าสูงพอๆ กัน”
เว่ยจิ้นได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่า ท่านอยากจะปลุกความฮึกเหิมให้ผู้อาวุโสจั่วโย่วก็อย่าลากผู้น้อยไปเกี่ยวด้วยสิ
เฉินชิงตูเอ่ยเข้าประเด็นทันที “อันที่จริงมีเรื่องอยากจะขอร้อง พูดว่าขอร้องก็ไม่ค่อยถูก หนึ่งคือคำสั่งของอาจารย์เจ้า อีกหนึ่งคือความคาดหวังของข้า จะฟังหรือไม่ฟังก็แล้วแต่พวกเจ้า ทว่าหลังจากแล้วแต่พวกเจ้าแล้ว ก็ถึงคราวแล้วแต่กระบี่ของข้าบ้าง”
เว่ยจิ้นจนใจยิ่งนัก
พูดแบบนี้ก็แสดงว่าไม่มีที่ให้ปรึกษากันแล้ว อย่างน้อยที่สุดตนก็คิดเช่นนี้ แต่ผู้อาวุโสจั่วโย่วจะตัดสินใจอย่างไร ตอนนี้ยังบอกได้ยาก
จั่วโย่วถาม “ทำไมอาจารย์ถึงไม่พูดกับข้าเอง?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “อาจารย์พูดไปศิษย์ก็ไม่ฟัง แล้วยังจะพูดอีกทำไม? จะให้ข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกว่า ซิ่วไฉเฒ่าที่ชอบใช้เหตุผลที่สุดในโลกกลับกลายเป็นคนที่อบรมลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องอย่างนั้นหรือ?”
จั่วโย่วเอ่ย “ลูกศิษย์อย่างข้าทำให้อาจารย์เป็นกังวลจริงๆ”
ขอแค่พูดถึงอาจารย์ตนดีๆ ก็ล้วนใช้ได้ผลกับจั่วโย่วทั้งสิ้น แล้วก็เป็นสิ่งเดียวที่ใช้ได้ผลที่สุดอีกด้วย