กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 613.2 ศัตรูมาถึง เซียนกระบี่อยู่
แม่นางน้อยพลันยื่นมือออกมา ส่งเมล็ดแตงกำหนึ่งให้นักเล่านิทาน “อย่ารอไปเล่าครั้งหน้าเลย เล่าวันนี้แหละ เล่าวันนี้เลย มีเมล็ดแตง แถมยังมีอีกมากด้วย”
เด็กหนุ่มคนที่เอ่ยเนื้อความครึ่งหนึ่งบนกลอนคู่หน้าประตูศาลเทพอภิบาลเมืองกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “อย่าไปขอร้องเขา อยากเล่าก็เล่า ไม่อยากเล่าก็ตามใจ ถึงอย่างไรหลังจากฟังเรื่องนี้จบ วันหน้าข้าก็จะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”
เห็นเพียงว่านักเล่านิทานรับเมล็ดแตงไปจากมือของแม่นางน้อย จากนั้นก็โบกกิ่งไม้ไผ่อย่างแรง “พอมองอย่างละเอียด เพียงชั่วพริบตานั้น จุดแสงที่เล็กอย่างยิ่งก็พลันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เพียงไม่นานก็มีแสงจำนวนมากกว่าเดิมปรากฏขึ้น ทีละจุดทีละเสี้ยว มารวมตัวกันจนกลายเป็นเหมือนดวงจันทร์ดวงใหม่ เส้นแสงเหล่านี้แหวกอากาศยามราตรีอยู่เหนือถนน เจอทะเลเมฆก็ฝ่าทะเลเมฆ ประหนึ่งเซียนที่เดินอยู่บนเส้นทาง เมื่อเทียบกับห้าขุนเขาแล้วยังสูงยิ่งกว่า และบนผืนดินกว้างใหญ่แห่งนั้น พวกผู้ฝึกตนน้อยใหญ่ พวกชาวบ้านคนธรรมดาทั้งหลายต่างก็ต้องสะดุ้งตื่นจากความฝัน ออกจากประตูหรือไม่ก็เปิดหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมา พอมองเห็นแล้วก็ต้องตะลึงงันกันไปเลย!”
พูดมาถึงตรงนี้ นักเล่านิทานรีบแทะเมล็ดแตงทันที “อย่าเร่งๆ ขอแทะเมล็ดแตงสักสองสามเมล็ดก่อน”
พอแทะเมล็ดแตงไปแล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยต่อว่า “ยิ่งขยับเข้าใกล้ศาลเทพอภิบาลเมือง บัณฑิตก็ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังชัดเจน ราวกับว่ามีเทพมารัวตีกลองสายฟ้าอยู่เหนือศีรษะไม่หยุด ทั้งกังวลว่าท่านเทพอภิบาลเมืองจะเป็นพวกตะเภาเดียวกับท่านเทพภูเขา แต่ขณะเดียวกันในใจก็เกิดความหวังขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง หวังว่าฟ้าดินที่กว้างใหญ่นี้จะมีใครสักคนที่ยินดีช่วยทวงความเป็นธรรมให้แก่ตน ต่อให้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็พร้อมน้อมรับ ถึงอย่างไรเส้นทางในโลกมนุษย์ก็ไม่ได้มีแต่โคลนเละไปเสียทั้งหมด ถึงอย่างไรจิตใจของผู้อื่นก็สามารถปลอบประโลมจิตใจของข้าได้”
ทุกคนที่อยู่รอบม้านั่งตัวเล็กกลั้นหายใจ เงี่ยหูรอฟัง
“บัณฑิตต้องยกมือข้างหนึ่งบังตาอย่างห้ามไม่ได้ นั่นเป็นเพราะแสงนั้นยิ่งนานก็ยิ่งเจิดจ้าแสบตา เป็นเหตุให้บัณฑิตที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่อาจจ้องมองได้อีก อย่าว่าบัณฑิตเลยที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่เทพอภิบาลเมืองและขุนนางผู้ช่วยของเขาก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่อาจเพ่งมองแสงสว่างเจิดจ้าที่อยู่ระหว่างฟ้าดินนั่นโดยตรงได้ แสงสว่างนั้นกว้างแค่ไหน พวกเจ้าลองเดาดูสิ? มันกว้างมากจนถึงขนาดสาดส่องไปรอบรัศมีร้อยลี้ของศาลเทพอภิบาลเมือง ประหนึ่งเวลากลางวันที่ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางนภา หากเป็นเทพภูเขาตัวเล็กๆ ที่ออกเดินทาง จะมีขบวนที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
เฝิงคังเล่อถามหยั่งเชิง “หรือจะมีเซียนกระบี่ผ่านทางมา?”
แม่นางน้อยสองคนที่นั่งขนาบซ้ายขวาของเฝิงคังเล่อพยักหน้ารับอย่างแรง “ต้องใช่แน่นอน ท่านเฉินเคยบอกว่าเหล่าเซียนกระบี่มีจิตใจใสสะอาด กระบี่ปลดปล่อยแสงเจิดจ้า”
เฉินผิงอันกล่าว “ถูกต้องแล้ว ก็คือเซียนกระบี่ที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์! แต่ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นผู้นำขี่กระบี่มาถึงศาลเทพอภิบาลเมืองก่อนใคร จากนั้นจึงเก็บกระบี่บิน พลิ้วกายยืนนิ่ง บังเอิญนัก คนผู้นี้ก็มีแซ่เฝิง นามว่าคังเล่อเช่นกัน คือเซียนกระบี่คนใหม่ที่เพิ่งจะมีชื่อเสียงของใต้หล้า ชอบผดุงความเป็นธรรมเป็นที่สุด เขาพกกระบี่ออกท่องยุทธภพ ตรงเอวห้อยไหใบเล็กๆ ส่งเสียงเคร้งคร้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้านในบรรจุสิ่งใดไว้ จากนั้นก็บังเอิญยิ่งกว่า ข้างกายเซียนกระบี่ท่านนี้ยังมีเซียนกระบี่หญิงที่งดงามอยู่อีกคนหนึ่ง และนางก็มีนามว่าซูซิน ทุกครั้งที่ขี่กระบี่ลงจากภูเขาจะชอบพกเมล็ดแตงไว้ในชายแขนเสื้อ ยามที่ลงจากภูเขามาแล้วเจอเรื่องไม่เป็นธรรม เมื่อขจัดความอยุติธรรมได้เรียบร้อยแล้ว นางก็จะกินเมล็ดแตง หากมีใครซาบซึ้งในตัวนาง เซียนกระบี่หญิงท่านนี้ก็ไม่ต้องการเงิน แค่มอบเมล็ดแตงให้นางสักเล็กน้อยก็พอ”
เฝิงคังเล่ออึ้งงันเป็นไก่ไม้ พอคืนสติกลับมาก็รีบยืดเอวตั้ง อีกนิดก็เกือบจะหลั่งน้ำตาแล้ว เขากล่าวอย่างซาบซึ้งว่า “เรื่องเล่านี้สนุกยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
แม่นางน้อยที่มีชื่อว่าซูซินรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางหน้าแดงก่ำ แล้วยังรู้สึกละอายใจด้วย วันนี้นางพกเมล็ดแตงมาน้อยไปหน่อย
ได้ยินนักเล่านิทานเอ่ยต่ออีกว่า “สวบๆๆ มีเซียนกระบี่พากันพลิ้วกายลงพื้นไม่หยุด แต่ละท่านมีมาดสง่างาม บุรุษหากไม่หน้าตาหล่อเหลาดุจหยกก็มีพลังอำนาจน่าตื่นตะลึง ส่วนสตรีหากไม่งดงามปานบุปผาก็มีท่วงท่าองอาจเปี่ยมชีวิตชีวา ดังนั้นท่านผู้เฒ่าเทพอภิบาลเมืองที่พอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจมากพอจึงตกใจไม่น้อย พวกขุนนางผู้ช่วยและขุนนางผีตนอื่นๆ ก็ยิ่งจิตวิญญาณแกว่งไกว แต่ละตนพากันโค้งคำนับ ไม่กล้าเงยหน้ามองมา พวกเขาตกใจกันยิ่งนัก เหตุใด…เหตุใดถึงมีเซียนกระบี่โผล่มาทีเดียวมากมายขนาดนี้? และในบรรดาเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเหล่านั้น นอกจากเฝิงคังเล่อกับซูซินแล้ว ยังมีโจวสุ่ยถิง จ้าวอวี่ซาน หม่าเซี่ยงเอ๋อร์…”
ลำพังเพียงแค่ชื่อแซ่ก็ร่ายออกมายาวเหยียด ระหว่างนี้นักเล่านิทานยังมองไปยังเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้ชื่อ เด็กคนนั้นจึงรีบตะโกนอย่างร้อนใจว่า “ข้าชื่อสือทั่น”
นักเล่านิทานจึงเพิ่มชื่อเซียนกระบี่สือทั่นเข้าไปอีกคนหนึ่ง
ส่วนเด็กหนุ่มจ้าวอวี่ซานที่ได้ยินชื่อตัวเองก็ยิ้มกว้าง เพียงแต่ไม่นานก็ตีหน้าเคร่งอีกครั้ง
หากในเรื่องเล่าต่อจากนี้ของนักเล่านิทานยังมีเซียนกระบี่จ้าวอวี่ซานอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะลองฟังดู แต่หากไม่มี ก็ยังจะฟังอยู่ดี
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีเซียนกระบี่จ้าวอวี่ซานที่ชื่อแซ่เหมือนเขาหรือไม่ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจ้าวอวี่ซานจากตรอกยากจนก็ต้องฟังเรื่องเล่าดูก่อนถึงจะรู้ได้ว่ามีหรือไม่มี
อันที่จริงต่อจากนั้นมา เรื่องเล่าก็ยังคงมีจุดหักเหอยู่เรื่อยๆ พวกเด็กๆ ยังคงช่างเลือก จะฟังเฉพาะเรื่องที่ตัวเองอยากฟังเท่านั้น
ไม่ว่าจะอย่างไร ด้านข้างม้านั่งและจุดที่ห่างออกไปก็ยังไม่มีใครที่เดินจากไป ยังคงอยู่ฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำฉบับครบถ้วนสมบูรณ์จนจบ ในที่สุดบัณฑิตก็สมหวัง เซียนกระบี่ทุกคนเดินทางมาร่วมอวยพร บัณฑิตกับสตรีที่รักผ่านอุปสรรคนานาประการมาด้วยกัน ในที่สุดก็สามารถกราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกันได้ นับแต่นั้นก็มีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ เรื่องราวจึงจบลงเช่นนี้
ไม่เพียงเท่านี้ ปกติทุกครั้งที่เรื่องเล่าจบเรื่อง พวกเด็กน้อยและเด็กหนุ่มเด็กสาวก็จะแยกย้ายกันไป ทว่าครั้งนี้กลับไม่มีใครจากไปทันที นี่ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
เพียงแต่ครั้งนี้ นักเล่านิทานกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากเรื่องเล่าอีกแล้ว เพียงมองพวกเขาแล้วยิ้มกล่าวว่า “เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า แต่เรื่องเล่าที่อยู่ในตำราก็ไม่ได้มีอยู่แค่บนหน้ากระดาษเท่านั้น อันที่จริงพวกเจ้าก็จะมีเรื่องราวที่เป็นของตัวเอง ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งจะเป็นเช่นนี้ วันหน้าข้าจะไม่ได้มาเป็นนักเล่านิทานอยู่ที่นี่อีกแล้ว หวังว่าหากมีโอกาส พวกเจ้าจะมาเป็นคนเล่าเรื่องราว ส่วนข้าจะมาเป็นคนฟังพวกเจ้าเล่า”
เฉินผิงอันหยิบม้านั่งลุกขึ้นยืน
มีเด็กคนหนึ่งเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ท่านเฉิน ท่านจะต้องกลับบ้านเกิดแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เปล่า ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่ข้าจะไม่ใช่นักเล่านิทานที่แต่งเรื่องโกหกหลอกคน แล้วก็ไม่ใช่นักบัญชีที่ขายเหล้าหาเงินอะไรอีกแล้ว ดังนั้นจึงมีเรื่องอีกมากที่รอให้ข้าต้องไปทำ”
เฉินผิงอันเดินจากไปแล้ว หลังเดินออกไปได้ระยะหนึ่งก็พลันหันหน้ากลับมา ยิ้มกล่าว “หากอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?”
พวกเด็กๆ หลายคนที่ลุกขึ้นยืนและเดินจากไปแล้วพากันหัวเราะครืน มีเพียงเสียงของคนไม่กี่คนที่เอ่ยคล้อยตาม แต่เสียงนั้นไม่ถือว่าเบาเลยจริงๆ “โปรดรอฟังตอนถัดไป!”
เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “เหลือไว้ เหลือไว้ก่อน”
……
เผยเฉียนตั้งใจฝึกหมัดอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากปีนั้นที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เพราะกลัวว่าวันใดจู่ๆ อาจารย์พ่อจะไล่ให้ตนกลับไป ภูเขาลั่วพั่วดีมาก แต่ขอแค่ไม่มีอาจารย์พ่ออยู่ ก็ไม่ค่อยดีมากพอ
วันนี้ตอนฝึกหมัดป๋ายหมัวมัวออกแรงไม่มากนัก คาดว่าคงกินข้าวไม่อิ่มกระมัง
แต่เผยเฉียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะนางรู้สึกว่าตนใกล้จะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสี่แล้ว! นี่ทำให้เผยเฉียนเบิกบานใจอย่างยิ่ง ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง พูดถ้อยคำน่าฟังมากมายกับป๋ายหมัวมัว
เพราะเผยเฉียนรู้สึกว่าในที่สุดตนก็มีเหตุผลพอให้อยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกหลายวันแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันบอกเรื่องน่ายินดีกับอาจารย์พ่อ อาจารย์พ่อก็พาชุยตงซานเดินลงมาจากศาลาบนหน้าผาสังหารมังกร มาที่ลานประลองยุทธ บอกว่าสามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้แล้ว และต้องกลับตอนนี้เลย
เผยเฉียนมองห่านขาวใหญ่ ห่านขาวใหญ่ส่ายหน้าอย่างจนใจ ช่วยไม่ได้ อาจารย์ตัดสินใจแล้ว ศิษย์พี่เล็กก็ห้ามไว้ไม่อยู่
เผยเฉียนไม่ได้งอแง นางไม่กล้าแล้วก็ไม่อยากทำอย่างนั้น เพียงติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์พ่อไปเก็บสัมภาระที่เรือนของนางเงียบๆ หลังจากสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กเรียบร้อยก็หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาถือไว้
ฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ แดดจะแรงขนาดนี้ไปทำไม หากมีฝนตกลงมาหนักๆ ก็ดีน่ะสิ นางจะได้ออกจากจวนหนิงช้าหน่อย ได้หลบฝนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ก็ยังดีนะ
เฉาฉิงหล่างเองก็ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ สะพายห่อสัมภาระไว้บนไหล่ ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูเรือนพร้อมกับอาจารย์ผู้เฒ่าจ้ง
เฉินผิงอันพาพวกเขาออกมาจากจวนหนิงด้วยกัน เดินเท้ากันไปตลอดทาง กระทั่งไปถึงประตูใหญ่ที่มีนักพรตหญิงวัยชราจากเรือนซือเตาและเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฝ้าพิทักษ์อยู่
เพียงแต่ว่าเดินไปได้ครึ่งทาง ชุยตงซานก็แวะไปที่อื่น บอกว่าจะไปรวมตัวกับพวกเขาที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยของภูเขาห้อยหัว
เฉินผิงอันหยุดเดิน “ข้าคงไม่ไปส่งพวกเจ้าแล้ว เดินทางระวังกันด้วย”
เผยเฉียนก้มหน้า
เฉาฉิงหล่างมอบตราประทับชิ้นนั้นให้อาจารย์ เฉินผิงอันรับไว้ด้วยรอยยิ้ม
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ข้าทิ้งของบางอย่างไว้บนโต๊ะของอาจารย์แม่ ฝากท่านบอกอาจารย์แม่ยามที่นางออกจากด่านมาด้วยนะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าไม่ลืมหรอก กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว เวลาพูดถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่กับหน่วนซู่และหมี่ลี่ ห้ามเอาแต่โอ้อวดบารมีของตน อย่าพูดจาเหลวไหลกับพวกนาง เรื่องเป็นอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ดวงตาแดงก่ำ “ล้วนฟังอาจารย์พ่อ”
ประหลาดมาก เมื่อก่อนล้วนเป็นนางที่อยู่ที่เดิม คอยส่งอาจารย์พ่อออกเดินทางไปไกล มีเพียงครั้งนี้ที่อาจารย์พ่ออยู่ที่เดิม แล้วเป็นคนส่งนางจากไป
กลับกลายเป็นว่าเสียใจมากกว่าเดิมเสียอีก
ถ้าอย่างนั้นวันหน้าตนจะยังออกจากภูเขาลั่วพั่วไปท่องยุทธภพตามลำพังอีกหรือไม่? ทิ้งอาจารย์พ่อไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วคนเดียว น่าสงสารจะตายไป
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง มีแม่นางน้อยคนหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงตรงมา
ในที่สุดเผยเฉียนก็อารมณ์ดีขึ้นได้บ้างแล้ว ในใจคิดว่าหากศิษย์น้องหญิงเล็กกล้าไม่มาพบตน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
กวอจู๋จิ่วพลันรวบสองเท้ายืนนิ่ง จากนั้นก็กระโดดดึ๋งมาหยุดอยู่ข้างกายเผยเฉียน ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเล็ก จะต้องจากลากับอาจารย์พ่อแล้ว ร้องเถิด รีบร้องไห้ออกมา! ร้องเสร็จแล้วก็จะสบายใจขึ้น เพราะข้างกายอาจารย์พ่อมีข้าคอยดูแลอยู่แล้วไงล่ะ”
ต่อให้เผยเฉียนอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออกเสียแล้ว นางปลดหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่แท้จริงแล้วภายในว่างเปล่า ยื่นส่งให้กวอจู๋จิ่ว แล้วเอ่ยว่า “ตกลงกันไว้ก่อนว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่แค่ให้เจ้ายืมเท่านั้น ไม่ได้ยกให้เจ้าเลย คราวหน้าที่พบกัน เจ้าห้ามคืนหีบไม้ไผ่ที่ผุพังมาให้ข้าล่ะ มีรอยเสียหายนิดเดียวก็ไม่ได้ หากเจ้าไม่รับปาก ข้าก็จะไม่ให้เจ้ายืม”
กวอจู๋จิ่วรับหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาแล้วสะพายไว้บนหลังทันที นางพยักหน้ารับอย่างแรง “ศิษย์พี่หญิงใหญ่วางใจได้เต็มที่เลย หีบไม้ไผ่ใบเล็กอยู่บนร่างข้า มองแล้วสวยงามยิ่งกว่า หากหีบไม้ไผ่ใบเล็กพูดได้ เวลานี้คงต้องยิ้มกว้างไม่หุบแล้ว แม้จะพูดได้ก็ถึงขั้นพูดไม่ออกแล้ว เพราะมัวแต่มีความสุข”
เผยเฉียนยื่นมือออกมา “คืนหีบหนังสือมาให้ข้า”
กวอจู๋จิ่วไม่รับคำ แต่กลับถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ให้ข้ายืมไม้เท้าเดินป่าด้วยเลยสิ หีบหนังสือใบเล็กบวกกับไม้เท้าเดินป่า เข้ากันได้ดียิ่งนัก ข้าจะต้องสะพายหีบหนังสือใบเล็ก ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ทุกวันแน่นอน พื้นหินเขียวและพื้นดินตามตรอกเล็กถนนใหญ่จะต้องถูกข้าทิ่มสวบๆๆ ให้ครบทุกหนแห่ง ข้าถึงจะยอมเลิกรา”
ใบหน้าเผยเฉียนเต็มไปด้วยอารมณ์ของคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรม ให้ยืมหีบหนังสือใบเล็กแล้ว ได้คืบแล้วยังจะเอาศอก มีศิษย์น้องหญิงเล็กคนใดที่เป็นแบบนี้บ้าง ดังนั้นจึงรีบหันหน้าไปมองอาจารย์พ่อทันที
เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่า “คราวหน้าที่ได้พบกับกวอจู๋จิ่วอีกครั้ง เมื่อนางคืนหีบไม้ไผ่ให้แล้ว เจ้าค่อยให้นางยืมไม้เท้าเดินป่าก็ได้”
เผยเฉียนหันไปเลิกคิ้วให้กวอจู๋จิ่ว
กวอจู๋จิ่วพยักหน้า “แบบนั้นก็ได้”
จากนั้นกวอจู๋จิ่วก็ดึงมือเผยเฉียนมาอยู่ข้างกาย แม่นางน้อยสองคนซุบซิบกันเบาๆ กวอจู๋จิ่วมอบกล่องไม้ใบเล็กใบหนึ่งให้กับเผยเฉียน บอกว่าเป็นของขวัญกราบภูเขาที่ศิษย์น้องหญิงเล็กมอบให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เผยเฉียนไม่กล้ารับของมาส่งเดช จึงหันไปมองอาจารย์พ่ออีกครั้ง อาจารย์พ่อพยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันเอ่ยกับจ้งชิวว่า “อาจารย์จ้ง กลับไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้วไม่ต้องรีบร้อนกลับแจกันสมบัติทวีป สามารถพาพวกเขาไปท่องเที่ยวที่ทักษินาตยทวีปก่อนได้ ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่งชื่อว่าหลิวเสี้ยนหยาง ตอนนี้กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้ แต่คราวนี้ชุยตงซานน่าจะติดตามพวกท่านไปไม่ได้แล้ว ที่บ้านเกิดยังมีเรื่องอีกมากรอให้เขาไปทำ ดังนั้นพอไปถึงภูเขาห้อยหัวก็ยืมเงินเทพเซียนจากเขาให้มากหน่อย บนเส้นทางการทัศนศึกษามีเรื่องงดงามอยู่มากมาย เอาแต่ชมภูเขาสายน้ำอย่างเดียวก็คงไม่ได้”
จ้งชิวยิ้มกล่าว “ยืมเงินเขามาครั้งหนึ่งแล้ว หากจะยืมอีกครั้งก็คงไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันเอ่ย “เดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ ข้าไม่ได้พิจารณาเรื่องการเรียนวรยุทธของอาจารย์จ้งมากนัก ต้องขอโทษด้วย”
จ้งชิวส่ายหน้า “คำพูดเกรงใจเหลวไหลประเภทนี้ วันหน้าพูดกับข้าให้น้อยหน่อย”