กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 620 ไม่มีข้าหลิวเสี้ยนหยางไม่ได้หรอก
บทที่ 620 ไม่มีข้าหลิวเสี้ยนหยางไม่ได้หรอก
ชิวหล่งและหลิวเอ๋อต่างก็ตื่นตะลึงอย่างมาก เพราะเถ้าแก่รองแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยถูกคนรังแกเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่ามีแต่เถ้าแก่รองเท่านั้นที่จะหลอกลวงต้มตุ๋นคนอื่น
เถาป่านที่เป็นเด็กดื้อรั้นขนาดนั้น เขาที่คอยปกป้องกิจการของร้านเหล้า สามารถทำให้พี่หญิงเตี๋ยจ้างกับเถ้าแก่รองได้เงินมาทุกวันก็คือความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของเถาป่านในทุกวันนี้ ทว่าเถาป่านในเวลานี้ก็ยังล้มเลิกโอกาสที่จะเอ่ยคำพูดผดุงความเป็นธรรม เขายกถ้วยจานออกมาจากโต๊ะเงียบๆ อดไม่ไหวหันกลับไปมองครั้งหนึ่ง เด็กน้อยก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบุรุษหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่ที่สวมชุดเขียวคนนั้นร้ายกาจจริงๆ วันหน้าตนจะต้องกลายเป็นคนแบบนี้ อย่าได้เป็นคนแบบเถ้าแก่รองเด็ดขาด ต่อให้เขามักจะพูดคุยยิ้มแย้มกับคนอื่นๆ ที่มาดื่มเหล้าที่ร้าน ทั้งๆ ที่ทุกวันสามารถหาเงินมาได้มากมายขนาดนั้น อีกทั้งชื่อเสียงในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็โด่งดังมากแล้ว แต่ยามที่มีคนน้อยกลับมีสภาพอย่างวันนี้ มีเรื่องในใจให้ต้องกังวลมากมาย ดูแล้วไม่ค่อยมีความสุขนัก
หลิวเสี้ยนหยางปล่อยตัวเฉินผิงอัน นั่งลงบนม้านั่งตัวยาวข้างกายเฉินผิงอันที่ขยับที่ว่างให้เขา ก่อนหันไปกวักมือเอ่ยกับเถาป่าน “เจ้าตัวน้อยนั่น เอาเหล้าดีๆ มา หนึ่งกาและชามมาหนึ่งใบ ลงในบัญชีของเฉินผิงอันเอาไว้”
เถาป่านมองเถ้าแก่รอง เถ้าแก่รองพยักหน้าให้เบาๆ เถาป่านถึงได้ไปหยิบเหล้า ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาที่ถูกที่สุดมา แม้จะไม่ค่อยอยากเป็นคนอย่างเถ้าแก่รองสักเท่าไร แต่คัมภีร์การค้าของเถ้าแก่รอง ไม่ว่าจะเป็นขายเหล้าหรือเป็นเจ้ามือ ถามกระบี่หรือถามหมัดก็ล้วนร้ายกาจทั้งสิ้น เถาป่านคิดว่าเรื่องพวกนี้สามารถเรียนรู้ได้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าตนจะแย่งภรรยากับเฝิงคังเล่อได้อย่างไร
เหล้ากานั้นของเฉินผิงอันยังมีเหลืออยู่ เขาจึงช่วยรินให้หลิวเสี้ยนหยางหนึ่งชาม ถามว่า “ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”
หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบ เขาจิบเหล้าหนึ่งคำแล้วตัวสั่นเยือก ก่อนจะทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม “ยังคงดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนพวกนี้ไม่ชินจริงๆ ชะตาอาภัพ ชั่วชีวิตคงได้แต่รู้สึกว่าเหล้าหมักข้าวเหนียวนั้นอร่อยที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหล้าหมักข้าวเหนียวของต่งสุ่ยจิง อันที่จริงข้าก็เอามาด้วย เพียงแต่ว่าข้าดื่มไปหมดแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางเอาศอกถองไหล่เฉินผิงอัน “แล้วเจ้าจะพูดกับผายลมอะไรเล่า”
เฉินผิงอันนวดไหล่ แล้วดื่มเหล้าของตัวเองไป
หลิวเสี้ยนหยางกระดกเหล้าดื่มอีกอึกใหญ่ ยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก ชูหัวแม่โป้งชี้ ไปยังถนนใหญ่ด้านหลังตัวเอง “ติดตามพวกสหายร่วมเรียนมาหาประสบการณ์ที่นี่ ระหว่างทางที่มาถึงเพิ่งรู้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีสงครามอีกแล้ว ทำเอาข้าตกใจแทบตาย กลัวว่าเลือดร้อนจะพุ่งขึ้นหัวพวกอาจารย์ แล้วพวกเขาจะเอาบทกลอนบทประพันธ์ทั้งหลายที่มีอยู่เต็มท้องออกมาให้พวกลูกศิษย์ได้เห็นความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็พาพวกเราขึ้นหัวกำแพงเมืองไปสังหารปีศาจ ข้าก็อยากจะหลบอยู่ในเรือนชุนฟานหนึ่งในสี่เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว ตั้งใจอ่านตำรา คอยมองดูจวนหยวนโหรว สวนดอกเหมยและตำหนักสุ่ยจิงที่ชื่อเสียงเทียบเท่ากับเรือนชุนฟานอยู่หรอก แต่พวกอาจารย์และเพื่อนร่วมเรียนดันมีคุณธรรมยิ่งใหญ่ ข้าคนนี้รักศักดิ์ศรีหน้าตาเป็นที่สุด ชีวิตถูกคนตีจนหายไปครึ่งหนึ่งได้ แต่ใบหน้าจะถูกคนตบให้บวมแดงไม่ได้ ก็เลยแข็งใจตามมาด้วย แน่นอนว่าตอนอยู่ที่เรือนชุนฟานก็ ได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาไม่น้อย นี่ก็คือเหตุผลที่สำคัญที่สุด ข้าต้องมาห้ามปรามเจ้า ไม่ให้เจ้าทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีกแล้ว”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ดื่มเหล้าเท่านั้น
คนที่ขี้บ่นที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือหลิวเสี้ยนหยาง
เฉินผิงอันมีประสบการณ์ตรงมาหลายปีแล้ว
ปีนั้นคนทั้งสามอยู่ด้วยกัน ก็คงเป็นเพราะพูดจาไม่เข้าหูกัน หลิวเสี้ยนหยางกับกู้ช่านจึงเริ่มด่าเริ่มตีกันทันที ขนาดเฉินผิงอันยังคร้านจะห้ามปราม ถ้าอย่างนั้นก็ทนฟังไปแล้วกัน ถึงอย่างไรหนึ่งเด็กโตหนึ่งเด็กเล็กก็ทะเลาะกันได้ไม่ถึงไหน เวลาทะเลาะกัน ดูเหมือนว่าหลิวเสี้ยนหยางจะไม่เคยแพ้ให้ใครมาก่อน เพราะว่าเขาไม่สนใจ แพ้ชนะของการทะเลาะถกเถียงแม้แต่น้อย เขาจะเอาแต่หัวเราะร่าอย่างเบิกบาน ส่วนใหญ่มักจะเป็นกู้ช่านที่ปากเถียงชนะแล้ว ขุดเอาบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของ หลิวเสี้ยนหยางมาด่าครบไปแล้วหนึ่งรอบ ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุดก็ยังเป็นกู้ช่านเองที่คับแค้นใจ ก็เลยไล่ตีหลิวเสี้ยนหยาง พอโมโหหนักๆ เข้า กู้ช่านก็จะฟาด กิ่งไม้ ขว้างก้อนหิน ส่วนหลิวเสี้ยนหยางที่ต่อให้จะโดนหินที่ขว้างมาโดยไม่ทันระวัง แต่กลับไม่เคยโกรธ กู้ช่านเคยบอกว่า หลิวเสี้ยนหยางคนนี้ไม่มีอะไรดีเลยสักนิด ชะตาอาภัพยากจนต้องขึ้นคาน แต่เรื่องเดียวที่พอจะใช้ได้ก็คือไม่เคยอาฆาตแค้นใคร ยิ่งไม่อาศัยพละกำลังที่มากกว่ามาซ้อมคนอื่น
เวลานั้นคนทั้งสามที่พึ่งพากันและกันด้วยชีวิต อันที่จริงต่างก็มีวิธีการใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ว่าหลักการเหตุผลของใครก็ไม่ใหญ่ไปกว่าใคร แล้วก็ไม่มีถูกผิดที่เห็นได้ชัดเจนอะไร หลิวเสี้ยนหยางชอบพูดหลักการส่งเดช เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจเรื่องหลักการเหตุผลแม้แต่น้อย ส่วนกู้ช่านคิดว่าเหตุผลก็คือหากมีแรงมากหมัด ก็จะแข็ง ในบ้านมีเงิน ลูกสมุนข้างกายมีมากแล้ว คนผู้นั้นก็จะคือคนที่มีเหตุผล หลิวเสี้ยนหยางกับเฉินผิงอันก็แค่อายุมากกว่าเขาเท่านั้น คนยากจนสองคนที่ชาตินี้ จะหาเมียได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก จะเอาหลักการเหตุผลที่ไหนมาได้
ทว่าเวลานั้น ขึ้นไปจับนกในรังบนต้นไม้ ลงน้าจับปลา ปลูกข้าวแย่งน้าเข้านาด้วยกัน เด็ดต้นอ่อนถั่วที่ขึ้นในร่องหินของลานตากธัญพืช ช่วงเวลาที่มีความสุขของคนทั้งสามกลับมีมากกว่า
เฉินผิงอันถามคำถามระหว่างที่หลิวเสี้ยนหยางกำลังดื่มเหล้า “ไปขอศึกษาต่อที่สกุลเฉินผู้รอบรู้ ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เป็นอย่างไรไม่เป็นอย่างไรอะไรกัน นี่มันตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ก็ล้วนผ่านมันมาได้ไม่ใช่หรือ ต่อให้แย่แค่ไหนแต่จะแย่กว่าตอนอยู่เมืองเล็ก ได้หรือ?”
ดูเหมือนว่าหลิวเสี้ยนหยางจะไม่ชินกับการดื่มเหล้าถ้าสวรรค์จู๋ไห่ จึงมักจะจิบ คำเล็กๆ มากกว่า “ดังนั้นข้าจึงไม่เสียใจเลยสักนิดที่ได้ออกมาจากเมืองเล็ก อย่างมากสุดตอนที่เบื่อก็จะคิดถึงทิวทัศน์ของบ้านเกิดอย่างพวกผืนไร่ผืนนา ที่พักในเตาเผามังกรที่รกรุงรัง ขี้หมาขี้ไก่ในตรอกก็คิดถึงเหมือนกัน แต่ก็แค่คิดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก หากไม่เป็นเพราะยังมีบัญชีเก่าให้ต้องชำระ ยังต้องเจอกับ ใครบางคน ข้าก็ไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องกลับไปยังแจกันสมบัติทวีปด้วยซ้ำ กลับไปแล้วจะไปทำอะไร น่าเบื่อจะตายไป”
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า พูดซ้าว่า “น่าเบื่อจริงๆ”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยชื่อหนึ่งขึ้นมา แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก “กู้ช่าน”
หลิวเสี้ยนหยางหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าขี้มูกยืดน้อยอยากให้เจ้าเป็นพ่อเขามาตั้งแต่เด็ก เจ้าก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นพ่อเขาจริงๆ หรือไร สมองมีปัญหาหรือไงเจ้า ไม่ฆ่าก็คือไม่ฆ่า มโนธรรมในใจไม่สงบก็เพราะเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ถ้าอย่างนั้น ก็ยอมรับมันซะ หากฆ่าก็ฆ่าไป ความเคียดแค้นเสียดายในใจ เจ้าก็จงทนรับไว้แต่โดยดี ตอนนี้จะนับเป็นอะไรได้ นับตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าก็ใช้ชีวิตอย่างนี้มาโดยตลอด ไม่ใช่หรือ? ทำไม พอความสามารถมากแล้ว ได้อ่านตำราแล้วเจ้าก็คือวิญญูชน คืออริยะปราชญ์ พอได้เรียนวิชาหมัด ได้ฝึกตน เจ้าก็คือเทพเซียนบนภูเขาแล้วอย่างนั้นรึ?”
หลิวเสี้ยนหยางพูดไปพูดมาก็เริ่มมีโทสะ จึงใช้มือผลักหัวเฉินผิงอัน “กู้ช่าน? แม้แต่เจ้าขี้มูกยืดน้อยก็ไม่เต็มใจจะเรียกแล้ว?!”
หลิวเสี้ยนหยางยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห คราวนี้ไม่ดื่มเหล้าแล้ว แต่ด่าแทน “ก็เพราะนิสัยเหยาะแหยะ ไม่มีเรื่องก็ชอบหาเรื่องของเจ้านั่นแหละ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า กู้ช่าน ออกไปจากเมืองเล็ก แล้วมีความสามารถมากขนาดนั้น เขาจะทำอะไรลงไป แล้วมันเกี่ยวกับข้ากะผายลมอะไร ข้าแค่รู้จักเจ้าขี้มูกยืดน้อยของตรอกหนีผิงเท่านั้น เขาเป็นมารน้อยแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่าเพื่อ รนหาที่ตายเองก็ไป ตายซะ หากทำเรื่องชั่วแล้วมีชีวิตดียิ่งกว่าใคร นั่นก็ถือเป็นความสามารถของเจ้า ขี้มูกยืดน้อย อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีแต่ความสกปรกโสมมแห่งนั้น เกิดหายนะเช่นนี้ขึ้นใครจะขัดขวางไว้ได้? ข้าหลิวเสี้ยนหยางไปฆ่าใครหรือทำร้ายใครอย่างนั้นหรือ? เจ้าเฉินผิงอันอ่านตำรามาแค่ไม่กี่เล่มก็จะต้องเรียกร้องให้ตัวเองทำตัวเป็น อริยะปราชญ์ผู้ทรงคุณธรรมกับทุกเรื่องเลยอย่างนั้นหรือ? ตอนนั้นเจ้ายังไม่ถือเป็น ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเลยด้วยซ้า แต่กลับมั่นใจเปี่ยมล้นสะท้านฟ้าไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกนักปราชญ์พวกวิญญูชนจะไม่ต้องพากันบินขึ้นสวรรค์ไปแล้วหรือไร? ข้าหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจริงๆ ก็ไม่ควรมาสังหารปีศาจที่ กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้พร้อมกับบรรพบุรุษสกุลเฉินที่บนไหล่แบก ตะวันจันทราตั้งแต่เมื่อเจ็ดแปดร้อยปีก่อนแล้วหรอกหรือ? ไม่อย่างนั้นตัวเองก็คงต้องกลัดกลุ้มตายไปแล้วกระมัง? ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเจ้าถึงมีชีวิต จนกลายเป็นเฉินผิงอันคนนี้ไปได้ ข้าจำได้ว่าตอนเป็นเด็ก เจ้าก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา ไม่ว่าเรื่องของใครก็ไม่เคยสนใจ ไม่ชอบพูดนินทาใครแม้แต่ครึ่งคำ แล้วใครเป็นคนสอนเจ้ากัน? อาจารย์ฉีของโรงเรียนผู้นั้น? เขาตายไปแล้ว ข้าจะตำหนิเขาไม่ได้ อีกอย่างคนตายนั้นใหญ่ที่สุด ย่อมต้องให้ความเคารพ หรือจะเป็นซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง? ดีมาก เดี๋ยววันหน้าข้าจะไปด่าเขาเอง หรือจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว? ช่างเถิด อยู่ใกล้กันมากเกินไป ข้ากลัวว่าเขาจะซ้อมข้า”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยประโยคหนึ่ง “ข้าก็เป็นตัวเองอย่างที่เคยเป็นในอดีตมาโดยตลอด”
หลิวเสี้ยนหยางยกมือขึ้น เฉินผิงอันเบี่ยงหลบตามจิตใต้สำนึก
หลิวเสี้ยนหยางจึงกลอกตามองบน ยกชามเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งคำ “รู้หรือไม่ว่าเรื่องใด ที่ข้าคิดไม่ถึงมากที่สุด? ไม่ใช่เรื่องที่ทุกวันนี้เจ้ามีทรัพย์สิน มองดูแล้วมีเงินมาก กลายมาเป็นหนึ่งในคนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในกลุ่มของพวกเราปีนั้น เพราะข้าคิดมา ตั้งนานแล้วว่าเฉินผิงอันจะต้องกลายเป็นคนมีเงิน มีเงินมากๆ ได้แน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ทุกวันนี้เจ้ามองดูเหมือนมีหน้ามีตา แต่แท้จริงแล้วกลับมีสภาพอเนจอนาถ น่าสงสารอย่างมาก เพราะข้ารู้มาตลอดอยู่แล้วว่าเจ้าเป็นคนดื้อดึง”
หลิวเสี้ยนหยางชูถ้วยเหล้าขึ้น “เรื่องที่ข้าคิดไม่ถึงที่สุดก็คือเจ้าจะหัดดื่มเหล้า แล้วยังชอบดื่มเหล้าจริงๆ เสียด้วย”
หลิวเสี้ยนหยางยกชามเหล้าขึ้นแล้วก็วางกลับลงไปบนโต๊ะเหมือนเดิม เขาไม่ชอบดื่มเหล้าจริงๆ จึงถอนหายใจทีหนึ่ง “เจ้าขี้มูกยืดน้อยกลายเป็นคนแบบนี้ แท้จริงแล้วเฉินผิงอันกับหลิวเสี้ยนหยางจะทำอะไรได้ล่ะ? ใครบ้างที่ไม่ต้องใช้ชีวิตของตัวเองให้ผ่านพ้นไป มีเรื่องมากมายขนาดนั้นที่ไม่ว่าพวกเราจะตั้งใจจะทุ่มเทแรงลงไปแค่ไหนก็ยังทำไม่ได้ ทำได้ไม่ดี มันเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ถึงขั้นที่ว่าต่อจากนี้ไปก็จะยังเป็นเช่นนี้ไปตลอด ช่วงเวลาที่พวกเราน่าเวทนามากที่สุด พวกเราก็อดทนจนผ่านมันมาได้แล้วไม่ใช่หรือ”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือมากดศีรษะเฉินผิงอัน “เจ้าช่วยเจ้าขี้มูกยืดน้อยทำเรื่องชดเชยความผิดมากมายขนาดนั้น ดีมากแล้ว ดีจนดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็อ่านตำราอริยะปราชญ์มาแล้วหลายเล่ม จึงรู้ว่าใต้หล้านี้ขาดคนโง่ที่ชอบรวบปัญหามาสู่ตัวอย่างเจ้า”
หลิวเสี้ยนหยางยกมือขึ้นเบาๆ จากนั้นก็ฟาดผลัวะลงไป “แต่จนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังรู้สึกแย่อยู่แบบนี้ ไม่ดีมากๆ ไม่ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว อย่างเช่นข้า หลิวเสี้ยนหยางเป็นหลิวเสี้ยนหยางก่อน แล้วถึงได้มาเป็นบัณฑิตแบบครึ่งๆ กลางๆ ดังนั้นข้าก็แค่ไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นคนโง่คนนั้น ความเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ขอแค่ไม่ทำร้ายคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร”
เฉินผิงอันเอ่ย “เหตุผลข้าล้วนเข้าใจดี”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มจืดเจื่อน “ก็แค่ทำไม่ได้ หรือไม่ก็รู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ ใช่ไหม? ก็เลยรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อันที่จริงด่านของกู้ช่านนั้น ข้าผ่านด่านในใจมาได้นานแล้ว ก็แค่พอเห็นวิญญาณเร่ร่อนมากมายขนาดนั้นก็ยังอดนึกถึงพวกเราสามคนในปีนั้นขึ้นมาไม่ได้ เกือบจะอดนึกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ไหว มันทำให้ข้าคิดถึง ตอนที่กู้ช่านโดนถีบ เด็กตัวแค่นั้น เจ็บปวดจนนอนกลิ้งอยู่กับพื้น เกือบจะต้องตาย ไปแล้ว นึกถึงปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางที่เกือบจะถูกคนซ้อมตายอยู่ในตรอกหนีผิง แล้วก็คิดถึงตัวเองที่เกือบจะต้องหิวตาย ได้แต่อาศัยข้าวของเพื่อนบ้านมาประทังชีวิตจน ลืมตาอ้าปากได้ ดังนั้นตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนจึงอยากทำอะไรให้มากหน่อย ข้าไม่ได้ทำร้ายใคร แล้วข้ายังสามารถปกป้องตัวเองได้ ในเมื่อในใจอยากทำ อีกทั้ง ยังทำพอจะทำได้ แล้วทำไมถึงจะไม่ทำเล่า?”
หลิวเสี้ยนหยางเองก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่ออกมาจากบ้านเกิด ไม่มีข้าไม่ได้จริงๆ เสียด้วย”
เมื่อคนคนหนึ่งมีอุดมการณ์ ก็มักจะต้องออกจากบ้านเกิดเสมอ
กว่าจะทำความฝันให้เป็นจริงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในความฝันกลับอดคิดถึงบ้านไม่ได้
แต่สำหรับบ้านเกิดนั้น ก็เหมือนอย่างที่หลิวเสี้ยนหยางพูด เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันหรือคิดถึงอะไรมากนัก แล้วก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ปล่อยวางไม่ลง อย่างมากสุดก็แค่เป็นห่วงเฉินผิงอันกับเจ้าขี้มูกยืดน้อยเท่านั้น แต่ความคิดถึงที่มีต่อฝ่ายหลังกลับอยู่ไกล เกินกว่าจะเทียบกับความคิดถึงที่มีต่อเฉินผิงอันได้ติด
สำหรับหลิวเสี้ยนหยางแล้ว ตนมีชีวิตได้ไม่เลว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดให้ตาเฒ่าหลิวแล้ว ทุกปีเวลาที่ต้องไปดื่มสุราคารวะหน้าหลุมศพ ติดภาพ เทพทวารบาลช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือซ่อมแซมบ้านบรรพบุรุษอะไร
นับตั้งแต่เด็กมาหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก เรียกได้ว่าเป็นคน ไม่อินังขังขอบกับเรื่องใด ทุกครั้งที่ต้องไปกราบไหว้หลุมศพบรรพบุรุษช่วงเดือนแรกของปีหรือช่วงเทศกาลชิงหมิง เขามักจะชอบไปขอกระดาษเงินสำเร็จรูปมาจาก เฉินผิงอัน พอเฉินผิงอันบ่นอยู่คำสองคำ หลิวเสี้ยนหยางก็จะเถียงกลับว่า ข้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตาเฒ่าหลิว วันหน้าสามารถช่วยตาเฒ่าหลิวแตกกิ่งก้านสาขา ควันธูปสืบเนื่องไม่ขาดสาย พวกบรรพบุรุษที่อยู่ใต้ดินก็ควรจะหัวเราะเบิกบานได้แล้ว ยังกล้าจะคาดหวังให้ลูกหลานที่มีชีวิตโดดเดี่ยวเป็นเด็กกำพร้าเป็นอย่างไรได้อีกเล่า? หากยินดีจะคุ้มครองเขาหลิวเสี้ยนหยาง เห็นแก่ความดีของลูกหลานตาเฒ่าหลิวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็รีบมาเข้าฝัน บอกหน่อยว่าในเมืองเล็กมีเงินซ่อนไว้กี่ไหใหญ่ หากรวยเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่เผากระดาษเงินอ่างเล็กๆ เลย ต่อให้เป็นม้ากระดาษคนกระดาษอ่างใหญ่หลายใบก็จะหามาให้ครบหมด
ใจของหลิวเสี้ยนหยางนั้นใหญ่มาก ใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าเรื่องที่ตนเกือบจะถูกคนซ้อมตายทั้งเป็นก็ยังเอามาล้อเล่นได้ ต่อให้เจ้าขี้มูกยืดน้อยเอาเรื่องนี้มาล้อ เขาก็ไม่ถือสาแม้แต่น้อย ทว่าใจของเจ้าขี้มูกยืดน้อยกลับเล็กยิ่งกว่ารูเข็ม การจดจำความแค้นของคนหลายคน สุดท้ายความแค้นพวกนั้นมักจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ เมื่อบัญชีนั้นผ่านพ้นก็พลิกเปิดผ่านไป แต่การจดจำแค้นของคนบางคนกลับจะเบิก ตากว้างคอยจ้องมองสมุดบัญชีอยู่ตลอดเวลา ยามอยู่ว่างๆ ก็มักจะพลิกเปิดกลับไปกลับมา อีกทั้งยังรู้สึกสาแก่ใจจากจิตดั้งเดิมที่แท้จริง ไม่รู้สึกว่าอึดอัดแม้แต่น้อย กลับกันนั่นยังทำให้รู้สึกว่าได้รับการเติมเต็มอย่างเปี่ยมล้นอีกด้วย
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “ขอแค่ตัวเจ้าเองเข้มงวดต่อตัวเอง คนบนโลกก็มีแต่จะเข้มงวดกับเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นช่วงหลัง พวกคนกินอิ่มว่างงานเลยหาเรื่องคนดี ก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งวิถีทางโลกดีเท่าไร ถ้อยคำซุบซิบนินทาก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อวิถีทางโลกดีแล้ว ถึงได้มีแรงไปพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง วิถีทางโลกก็มีแต่จะยิ่งยอมรับคนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ประโยชน์ของตนมากขึ้น หากวิถีทางโลกไม่ดีจริงๆ ก็ย่อมหุบปากกันไปเอง กินให้อิ่มยังไม่ง่าย สงครามวุ่นวายมีทั่วทุกหนแห่ง
ไหนเลยจะมีคนเอาเวลาไปสนใจความดีเลวของคนอื่น ขนาดตัวเองจะเป็นหรือตายก็ยังแทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว หลักการเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลิวเสี้ยนหยางจึงเอ่ยต่อว่า “หากเจ้ารู้สึกว่าเรื่องของการสำรวมตนแม้ในยามที่อยู่เพียงลำพังคือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง รู้สึกว่าเฉินผิงอันควรเปลี่ยนไปเป็นคนที่ดียิ่งกว่าเดิม ข้าก็คงคร้านจะโน้มน้าวเจ้าให้เปลืองน้าลาย ถึงอย่างไรขอแค่คนไม่ตาย ก็พอแล้ว ดังนั้นข้าจึงขอให้เจ้าทำแค่เรื่องเดียวเท่านั้น อย่าตาย”
เฉินผิงอันเอ่ย “เรื่องไม่คาดฝันมีมากเกินไป จะพยายามก็แล้วกัน”
หลิวเสี้ยนหยางขมวดคิ้ว “อาจารย์ฉีของโรงเรียนเลือกให้เจ้าคุ้มครองเด็กกลุ่มนั้นให้ไปศึกษาต่อ เหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าถึงได้เลือกเจ้าให้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย คนมากมายบนภูเขาลั่วพั่วถึงได้เลือกเจ้าให้เป็นเจ้าขุนเขา หนิงเหยาเลือกเจ้าให้เป็นคู่รักเทพเซียน เหตุผลพวกนี้ต่อให้ใหญ่ให้ดีแค่ไหน ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะมาตายอยู่ที่นี่ ตายอยู่ในสงครามใหญ่นี้ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย พวกคนที่เลือกเจ้าเหล่านี้ต่างก็ไม่มีใครหวังให้เจ้าต้องมาตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเฉินผิงอันเพิ่มมาคนหนึ่งก็ต้องรักษาเอาไว้ได้? ขาด เฉินผิงอันไปคนหนึ่งก็พิทักษ์ไว้ไม่ได้แล้ว? ไม่มีเหตุผลผายลมสุนัขเช่นนี้ แล้วเจ้าเอง ก็อย่าดึงเอาเหตุผลที่บอกว่ามีหรือไม่มีเฉินผิงอัน ทำได้เท่าไรก็ทำเท่านั้นมาพูดกับข้า ข้าจะยังไม่เข้าใจเจ้าอีกหรือ? ขอแค่เป็นเรื่องที่เจ้าคิดจะทำ จะขาดเหตุผลได้หรือ? เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยอ่านตำราก็มีเหตุผลเป็นชุดๆ แล้ว ตอนนี้เคยได้อ่านตำรามาบ้าง คงยิ่งต้องหลอกตัวเองหลอกคนอื่นอย่างแน่นอน ข้าจะถามเจ้าเรื่องเดียว อยากมีชีวิตออกไปจากที่นี่หรือไม่ ทุกเรื่องที่ทำลงไปก็เพื่อให้มีชีวิตออกไปจากกำแพงเมือง ปราณกระบี่ใช่หรือไม่”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ต่อคำ
หลิวเสี้ยนหยางถามต่อ “นั่นก็แสดงว่าไม่ อาศัยการเสี่ยงดวง? เสี่ยงว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะรักษาไว้ได้อยู่ หนิงเหยาไม่ตาย จั่วโย่วไม่ตาย เพื่อนใหม่ทุกคนที่รู้จักล้วนไม่มีใครตาย? เจ้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าหลังออกจากบ้านเกิดมาชีวิตราบรื่นเกินไปใช่หรือไม่? ในที่สุดโชควาสนาเฮงซวยนั่นก็หมุนกลับ เปลี่ยนให้คนที่ปีนั้นโชคร้ายที่สุดกลายมาเป็นคนที่โชคดีที่สุดแล้ว? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ยิ่งตอนนี้เจ้า ดวงขึ้นมากเท่าไร แต่ผลกลายเป็นว่าพอตัวเจ้าตายไป เล่นสนุกจนเลยเถิด เจ้าก็ยังคงเป็นแมลงน่าสงสารที่ดวงซวยที่สุดคนนั้นอยู่ดี?”
เฉินผิงอันมีโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ถ้าอย่างนั้นข้าควรทำอย่างไร?! หากเปลี่ยนเจ้ามาเป็นข้า เจ้าจะทำอย่างไร?!”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ง่ายมาก ก็คุยกับหนิงเหยาก่อน ต่อให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จะรักษาไว้ไม่ได้ คนทั้งสองก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ระหว่างนี้ก็สามารถทำเรื่องที่ทำได้ให้เต็มที่ ออกหมัดออกกระบี่ล้วนไม่ออมแรง ดังนั้นจำเป็นต้องถามหนิงเหยาว่านางคิดอย่างไรกันแน่ คิดจะลากเจ้าเฉินผิงอันมาตายด้วยกันที่นี่ กลายเป็นยวนยางที่ตายคู่ หรือหวังให้ตายคนหนึ่งรอดคนหนึ่ง ตายน้อยไปคนหนึ่งก็เท่ากับว่าได้กำไรแล้ว หรือคนทั้งสองจะร่วมแรงร่วมใจกัน พยายามให้คนทั้งสองที่รอดไปได้ต่างก็ไม่ละอายใจตัวเอง ยินดีคิดว่าต่อให้วันนี้ จะขาดทุน แต่ในอนาคตก็จะชดเชยมาให้ได้ ถามความคิดของหนิงเหยาให้ชัดเจน ยังไม่ต้องสนว่าคำตอบของนางคืออะไร แล้วก็ไปถามศิษย์พี่อย่างจั่วโย่วว่าคิดอย่างไรกันแน่ หวังให้ศิษย์น้องเล็กทำอย่างไร จะให้ควันธูปสายของเหวินเซิ่งสืบเนื่องต่อไป ไม่ขาด หรือจะอาศัยสถานะลูกศิษย์ของสายเหวินเซิ่งไปตายอยู่ในสงคราม อย่างองอาจ ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างกันแค่ใครตายก่อนตายหลังเท่านั้น สุดท้ายค่อยไปถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตูว่าหากเจ้าเฉินผิงอันคิดอยากจะมีชีวิตรอด เขาจะขัดขวางหรือไม่ หากไม่ขวาง ยังพอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่ ความเป็น ความตายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หน้าตายังจะนับเป็นอะไรได้อีก”
หลิวเสี้ยนหยางผลักถ้วยเหล้าของตัวเองไปให้เฉินผิงอัน เอ่ยว่า “ลืมไปแล้วหรือว่า ตอนอยู่บ้านเกิดในปีนั้น พวกเราสามคนใครกันที่มีสิทธิ์จะพูดเรื่องหน้าตามากที่สุด? ไปขอร้องคนอื่น คนอื่นจะมอบให้เจ้าหรือ? หากขอแล้วมีประโยชน์ พวกเราสามคนใครจะคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่? เจ้าขี้มูกยืดน้อยขอร้องคนอื่นไม่ให้ด่าแม่ของเขา หากขอแล้วสำเร็จ เจ้าก็คิดดูเถิดว่าปีนั้นเจ้าขี้มูกยืดน้อยจะโขกหัวให้คนสักกี่คน? หากเจ้าคุกเข่าโขกหัวกับพื้นก็สามารถเรียนวิชาการเผาเครื่องปั้นมาได้ เจ้าจะโขกหัว ขอร้องหรือไม่? หากข้าโขกหัวจนหัวปูดเท่ากับสองหัวต่อกันแล้วจะมีเงิน จะได้เป็นนายท่านใหญ่ เจ้าว่าข้าจะไม่โขกหัวจนพื้นเป็นหลุมใหญ่หรอกหรือ? ทำไม ตอนนี้ได้ดิบได้ดีแล้ว เจ้าแมลงน่าสงสารของตรอกหนีผิงตนนั้นกลายเป็นเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่ว กลายเป็นเถ้าแก่รองของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว กลับกลายเป็นว่า ไม่ต้องการชีวิต แต่ต้องการหน้าตาแทนอย่างนั้นหรือ? สุราแบบนี้ข้าดื่มไม่ลงหรอก ข้าหลิวเสี้ยนหยางอ่านตำรามาไม่น้อย แต่ก็ยังหน้าไม่อายสักเท่าไร รู้สึกละอายใจตนเองนัก มิอาจปีนป่ายตีสนิทกับเฉินผิงอันได้แล้ว”
เฉินผิงอันสีหน้าเลื่อนลอย ยื่นมือออกไปผลักชามเหล้าให้กลับไปที่เดิม
ดูเหมือนว่าเรื่องที่ทำได้จะมีเพียงแค่นี้
หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือมาหยิบชามขาวใบนั้นขึ้น แล้วโยนลงไปบนพื้นที่อยู่ด้านข้าง ชามขาวแตกกระจาย พูดเสียงหยันว่า “แตกเพื่อความสงบกับผายลมสุนัขน่ะสิ ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่มาตายอยู่ที่นี่ วันหน้ากลับไปถึงบ้านเกิดก็วางใจเถิด ตอนที่ข้าไปเยือนหลุมศพท่านอาและท่านอาสะใภ้ ก็จะบอกว่าลูกชายของพวกท่านไม่เลวเลย ลูกสะใภ้ของพวกท่านก็ไม่เลวเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตายกันไปหมดแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าพวกเขาได้ยินแล้วจะรู้สึกดีหรือไม่?”
ร่างของเฉินผิงอันทรุดลงอย่างห่อเหี่ยว ทั้งจิตใจ ปณิธานหมัด จิงชี่เสินล้วนทรุด ลงไปด้วย เพียงแค่พึมพำว่า “ไม่รู้สิ หลายปีมานี้ข้าไม่เคยฝันถึงท่านพ่อท่านแม่สักครั้ง ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
หลิวเสี้ยนหยางพลันหัวเราะ หันหน้ามาถามว่า “น้องสะใภ้ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ด้านหลังเฉินผิงอันมีสตรีคนหนึ่งที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางมายืนอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก นางเงียบไปนาน สุดท้ายก็เปิดปากเอ่ยว่า “ใครที่คิดจะให้เฉินผิงอันตาย ข้าจะให้เขาตายก่อน หากเป็นตัวเฉินผิงอันเองที่คิดจะตาย ข้าชอบเขา ก็จะซ้อมเขาให้ร่อแร่ใกล้ตายเอง”