กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 623 คุมเชิง
บทที่ 623 คุมเชิง
อันดับแรกก็มีบุรุษชุดลัทธิขงจื๊อขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง แล้วใช้วิชาอภินิหารประหลาดสังหารปีศาจตายเกลี้ยงไปเป็นแถบใหญ่ก่อน
ตามมาด้วยเซี่ยซงฮวาเรียกกระบี่ออกมาจากกล่องกระบี่ไม้ไผ่ โจมตีทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งให้ย่อยยับ เป็นเหตุให้ขอบเขตของฝ่ายหลังถดถอยมาอยู่ที่ก่อกำเนิด อีกทั้งแม้แต่ขอบเขตก่อกำเนิดก็ยัง โงนเงนไม่มั่นคง วันหน้ายังจะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก เพราะถึงอย่างไรตัวอ่อนเซียนกระบี่ก่อนกำเนิดก็เป็นสิ่งที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสูงแล้ว พอกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายไปแล้วจะสามารถฟูมฟักเล่มใหม่ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย นี่จึงเป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่ที่ ลงมือแต่กลับเจอหายนะครั้งนี้พ่ายแพ้หมดตัว ไม่เพียงแต่สูญเสียขอบเขต ยังมีมูลค่ามากมายที่ได้มาจากสถานะของผู้ฝึกกระบี่ที่ล้วนหายไปด้วย หากจะบอกว่าให้หันไปฝึกวิชาอภินิหารอย่างอื่นเพื่อหวนกลับคืนสู่ห้าขอบเขตบน แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทำเช่นนี้ยิ่งยากดั่งเดินขึ้นสวรรค์
สถานการณ์การโจมตีของเผ่าปีศาจบนสนามรบแถบของเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางและฉีโซ่วหยุดชะงักลงอย่างชัดเจน
ตามกฎของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้เซี่ยซงฮวาได้ออกกระบี่อย่าง เต็มกำลัง ฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ถือว่าสร้างคุณูปการอันเลิศล้า
คุณความชอบทางการรบครั้งนี้ไม่ถือว่าเล็กจริงๆ เนื่องจากเผ่าปีศาจที่ออกกระบี่ลอบโจมตีตนนั้นคือผู้ฝึกกระบี่ซึ่งถือว่าสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดังนั้นจึงถือว่าเซี่ยซงฮวาสังหารปีศาจขอบเขตเซียนเหรินไปครึ่งตัว หรือปีศาจขอบเขตหยกดิบ เต็มตัว เพียงแต่ว่าจะเลือกอย่างไหนในสองอย่างนี้ก็ต้องดูที่การเลือกของคน ออกกระบี่เอง
หากเลือกอย่างแรกก็ต้องสังหารปีศาจขอบเขตเซียนเหรินอีกครึ่งตัวถึงจะสามารถแลกเปลี่ยนของเชลยศึกที่สมควรได้รับมาได้ หากเลือกอย่างหลังจะเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ดีที่สามารถรับเงินหรือสมบัติจากใต้เท้าอิ่นกวานได้ทันที
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยซงฮวายังไม่สาแก่ใจมากพอ ยังอยากจะออกกระบี่อีกครั้ง
ฉีโซ่วทอดถอนใจ “โชคดีล้วนถูกเซียนกระบี่เซี่ยเอาไปหมดแล้ว ข้าคงต้องเริ่มตั้งใจบ้างแล้ว”
ฉีโซ่วเรียกกระบี่บินเที่ยวจูซึ่งเป็นกระบี่เล่มสุดท้ายออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว มันสร้างค่ายกลกระบี่อยู่รอบกายเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน เผ่าปีศาจแอบลอบโจมตี
ฉีโซ่วหันหน้ามาถาม “ผลกำไรก้อนใหญ่ขนาดนี้ เจ้ามีส่วนแบ่งด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม ยื่นมือมากดลงบนกระบี่เล่มยาวของหอกระบี่ที่วางพาดไว้บนหัวเข่า ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่”
เป็นเหยื่อล่ออยู่ตรงนี้ ไม่ได้กำไรส่วนต่างมาแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มถาม “พวกเจ้าสองคนเป็นเพื่อนกันหรือ?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า
ฉีโซ่วหัวเราะเสียงเย็น “เพื่อนกะผายลมอะไรล่ะ เป็นศัตรูกันต่างหาก ขอแค่ลงไปจากหัวกำแพง เถ้าแก่รองท่านนี้ก็คงนึกอยากจะวางแผนเล่นงานข้าให้ตาย ข้าเองก็แทบอดใจเอาขอบเขตมาบดทับเขาให้ตายไม่ไหวแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต่างจากบ้านเกิดของพวกเรา สักเท่าไร ขนบธรรมเนียมของชาวบ้านบริสุทธิ์เรียบง่าย”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีทหารตรวจตรากองทัพและทหารที่คอยสังเกตการณ์การศึกเป็นจำนวนมาก หากเกิดลางว่าการโจมตีของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจหยุดชะงัก ก็จะเริ่มเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่
ดังนั้นสนามรบที่คนทั้งสามอยู่ในเวลานี้ เผ่าปีศาจจึงบุกรุดหน้าเข้ามาสังหารอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีวิธีการรับมือเพิ่มขึ้นมา จึงมีผู้ฝึกตน เผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งที่พอจะเข้าใจวิชาสายยันต์ปรากฏตัว พากันขว้างยันต์กระดาษเหลืองปึกใหญ่ใส่กำแพงเมืองอุตลุด หมายจะบดบังการมองเห็นบนสนามรบ ทันใดนั้นฝุ่นผงก็คลุ้งกระจาย ปราณวิญญาณปั่นป่วน เผ่าปีศาจที่อยู่ในแนวหน้าล้วนเป็นปีศาจร่างกายใหญ่โตที่รับหน้าที่พาตัวมาตายก่อน น่าจะเป็นเพราะหวังให้หลิวเสี้ยนหยาง ลงมือบ่อยๆ เพื่อที่จะได้สืบหาเบาะแสง่ายขึ้น
ฉีโซ่วยังคงรับมือเป็นปกติเหมือนเดิม บนสนามรบ เฟยหลวนและซินเสียนบินทะยานอย่างรวดเร็ว เผ่าปีศาจร่างสูงหลายจั้งจำนวนมากถูกแสงกระบี่ฟันแขนขา ทั้งสี่ขาด เมื่อร่างล้มลงพื้นก็ร้องโหยหวนไม่หยุด
ฉีโซ่วออกกระบี่สังหารศัตรูมักเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด นอกจากจะปลิดชีพอย่างโหดเหี้ยมให้ตายคาที่ ถลกหนังเลาะเส้นเอ็น ไม่เห็นกระดูกขาวไม่ยอมเลิกราแล้ว ก็มีบ้างที่จะทำเช่นยามนี้ นั่นคือจงใจโจมตีให้บาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ฆ่าให้ตาย ปล่อยให้พวกมันดิ้นรนอย่างเปลืองแรงเปล่าอยู่บนสนามรบ ได้แต่รอความตายแต่โดยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สามารถจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ได้แล้วที่มักจะเจอกับหายนะเช่นนี้ภายใต้กระบี่บินของฉีโซ่ว ถูกคว้านท้องกระชากไส้ หากมี ผู้ฝึกตนเฒ่าปีศาจทนมองไม่ไหวพยายามจะช่วยเหลือก็จะถูกลากติดร่างแหให้กลายมามีจุดจบแบบเดียวกัน
นอกจากดื่มเหล้าที่เป็นยาโอสถน้าในน้าเต้าเลี้ยงกระบี่แล้ว เฉินผิงอันก็ยังคอยออกกระบี่ต้านทานศัตรูต่อไป ชูอีสืออู่เน้นคร่าชีวิตในการโจมตีเดียว หากเรือนกายของเผ่าปีศาจแข็งแกร่งเกินไป หรือไม่ถูกแทงทะลุช่องโพรงสำคัญแล้วก็ยังไม่ตาย
ซงเจินกับไฮเหลยก็จะเข้าไปแทงซ้าหนึ่งถึงสองครั้ง ระหว่างนี้ใช่ว่าจะไม่มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เป็นนักรบเดนตายซึ่งซ่อนตัวอยู่พยายามจะใช้วิชาลับกักขังกระบี่บิน หมายจะให้พินาศวอดวายไปด้วยกัน เพียงแต่ว่าการวางอุบายปัดแข้งปัดขากันเช่นนี้ แข่งกันที่ความเสแสร้ง ในด้านนี้เฉินผิงอันคือมืออาชีพแล้ว บวกกับกระบี่บินชูอีที่ความเร็วเป็นรองสืออู่หนึ่งระดับ แต่กลับมีระดับความทนทานเหนือเกินกว่าที่คาดคิด เคยมีครั้งหนึ่งที่นักรบเดนตายเผ่าปีศาจตนหนึ่งซึ่งอำพรางตัวได้ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด จงใจแสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บไปตลอดทาง ทั่วร่างเปรอะโชกไปด้วยเลือด ยังลากเอาเผ่าปีศาจตัวหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นโล่ต้านทานชูอี ผลกลับกลายเป็นว่าชูอีเพียงแค่แทงทะลุหว่างคิ้วของเผ่าปีศาจที่อยู่เบื้องหน้ามันไปแล้วก็เปล่งแสงวูบ ถอยกลับมาทันที นักรบเดนตายด้านหลังที่คำนวณเวลาระเบิดโอสถปีศาจอย่างแม่นยำ ก่อนจะตายจึงได้แต่มองมาทางหัวกำแพงเมืองอย่างเหม่อลอย คล้ายมึนงงไม่เข้าใจ ส่วนชูอีที่ไม่ได้หล่นลงไปในกับดัก เพียงแค่ถูกปราณวิญญาณแผ่มาโดนกลับไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย เพียงแต่เฉินผิงอันกลับต้องผลาญพลังจิตไปไม่น้อย
ก็เหมือนอย่างที่ฉีโซ่วพูด หากปล่อยเวลานานเข้า สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันที่ไม่ใช่ ผู้ฝึกกระบี่ จิงชี่เสินย่อมไม่พอให้ประคับประคองการออกกระบี่
และตอนนี้ก็ยังเป็นแค่การเปิดฉากของสงครามโจมตีและป้องกันเท่านั้น
แต่ฉีโซ่วเองก็รู้ดีว่า รอกระทั่งผู้ฝึกกระบี่ล้วนจำเป็นต้องออกจากหัวกำแพงเมืองไปเปิดฉากเข่นฆ่า เฉินผิงอันจะเป็นเหมือนปลาที่ได้น้า
หลิวเสี้ยนหยางยังคงไม่พกกระบี่ให้เห็น ไม่เผยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แล้วก็ ไม่เห็นว่าเขาลงมืออย่างไร ทว่าบนเส้นแนวป้องกันจากเหนือจรดใต้ที่แต่เดิมเป็นของเซี่ยซงฮวา กลับกลายเป็นว่ามีปีศาจพาตัวมาตายมากเท่าไรก็ตายไปมากเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลมาอธิบาย
เฉินผิงอันอดไม่ไหวเอ่ยว่า “ระวังหน่อย เดี๋ยวจะดึงดูดความสนใจจากปีศาจใหญ่เข้า”
หลิวเสี้ยนหยางใช้ริ้วคลื่นเสียงในหัวใจพูดกับเฉินผิงอัน “เวทกระบี่ของข้า มีปัญหาใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวก็คือระดับความสูงของพลังพิฆาตอยู่ไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือฝูงชน นอกจากนี้ก็ไม่มีปัญหาอย่างอื่นอีก”
จากนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็เอ่ยต่อว่า “ต่อจากนี้ตั้งใจฟังให้ดี ห้ามให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว จำให้ครบถ้วน”
แค่ได้ยินประโยคเริ่มต้น เฉินผิงอันก็เตรียมจะพูดแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางไม่แม้แต่จะมองเฉินผิงอัน เขายิ้มเอ่ยว่า “หยุดพูดจาไร้สาระกับข้า เสียที นายท่านใหญ่หลิวพูด เจ้าก็จงรับฟังแต่โดยดี สอนคาถาและเคล็ดลับทั้งหมด แก่เจ้า แล้วเจ้าจะเรียนเป็นทั้งหมดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันจึงเงียบไป
หลิวเสี้ยนหยางใช้เสียงในใจถ่ายทอดคาถา รู้ว่านับแต่เด็กมาเฉินผิงอันก็ความจำดีเยี่ยม ดังนั้นหลิวเสี้ยนหยางจึงบอกคาถาพลางอธิบายรายละเอียดไปด้วย ไม่กังวลสักนิดว่าเฉินผิงอันจะจำผิด แม้หลิวเสี้ยนหยางจะพูดรายละเอียดปลีกย่อยมากมายและซับซ้อนอย่างถึงที่สุดก็ตาม
เนื้อหาที่เขาพูดก็คือเนื้อหาจากคัมภีร์กระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลหลิวเสี้ยนหยางเล่มนั้น
วัตถุที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยาง แท้จริงแล้วปีนั้นมีอยู่สองชิ้น นอกจากคัมภีร์กระบี่ ก็ยังมีเสื้อเกราะโหวจื่อเก่าแก่สีเขียวเข้มเกือบดำเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลที่ไม่อาจเรียกได้ว่างดงามอะไรนั่น ปีนั้นเมื่อสตรีสกุลสวี่แห่งนคร ลมเย็นได้ไปครอง และเจ้าประมุขสกุลสวี่รับเสื้อเกราะวิเศษตัวนั้นไปแล้วก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก กลายเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแจกันสมบัติทวีป พลังพิฆาตสูงมาก อีกทั้งยังมีเสื้อเกราะวิเศษที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายอยู่ติดกาย
เป็นเหตุให้นครลมเย็นถูกมองเป็นตัวสำรองที่จะได้เลื่อนเป็นสำนักอักษรจง ลำดับถัดไปในแจกันสมบัติทวีป เป็นรองแค่ภูเขาตะวันเที่ยงที่เป็นพันธมิตรเท่านั้น
สกุลสวี่สามารถแต่งงานสานสัมพันธ์กับสกุลหยวนเสาคานของแคว้นต้าหลีได้ ต่อให้จะให้บุตรสาวสายตรงแต่งกับบุตรชายอนุภรรยา แต่หากดูจากระยะยาวแล้ว ก็ยังถือเป็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่มีแต่จะได้กำไรไม่มีขาดทุน ทั้งๆ ที่สกุลสวี่ นครลมเย็นทำตัวเลอะเลือนอยู่ในสถานการณ์ใหญ่ แต่สกุลหยวนกลับยังยอมตอบรับการแต่งงานที่ไม่เป็นที่น่ายินดีครั้งนี้ ตบะของเจ้าประมุขสกุลสวี่และความหวังที่เขาจะได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนก็คือกุญแจสำคัญ
ปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางคิดจะขายเสื้อเกราะเก็บคัมภีร์กระบี่เอาไว้ ค่าตอบแทนของการเก็บคัมภีร์กระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเล่มนั้นเอาไว้ก็คือต้องจ่ายชีวิตออกไปครึ่งหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะอาศัยกฎของถ้าสวรรค์หลีจู วานรย้ายภูเขาตัวนั้น ต้องไม่ถือสาที่จะเอาอีกครึ่งชีวิตของเขาไปด้วยแน่นอน
นี่ก็ไม่มีเหตุผลมาอธิบายเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าตอนนี้หลิวเสี้ยนหยางกลายเป็นบัณฑิต ตอนนั้นที่นอนป่วยอยู่บนเตียงในร้านกระบี่ของตระกูลหร่วน กลับได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย ระหว่างเส้นแบ่ง ความเป็นความตาย เขาได้เรียนวิชากระบี่อยู่ในความฝัน ดังนั้นกฎเกณฑ์ก็ต้องรักษา แค้นก็ต้องชำระ ทั้งสองอย่างนี้ไม่ถ่วงรั้งกันและกัน
หลิวเสี้ยนหยางถาม “จำได้หมดแล้วหรือยัง?”
ระหว่างที่พูด รอบกายหลิวเสี้ยนหยางมีปณิธานกระบี่เป็นเส้นๆ ล้อมวนเวียน ราวกับว่าคอยให้การปกป้องหลิวเสี้ยนหยาง
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าตัวเองน่าจะเรียนไม่ได้ ธรณีประตูสูงเกินไป”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ทำแบบเดิม แค่ทำใจให้สบายก็พอ คิดจะแข่งเรื่องพรสวรรค์กับใครก็อย่ามาแข่งกับนายท่านใหญ่หลิว เรื่องอย่างการเรียนกระบี่นี้ยากนักหรือ? สำหรับข้าแล้ว ธรรมดามากๆ สำหรับเจ้าแล้ว แน่นอนว่าต้องยากมาก แต่จะว่าไปแล้วงานฝีมือที่ใหญ่ที่สุดของบ้านเกิดเราคืออะไร? ไม่ใช่เผา เครื่องกระเบื้องหรอกหรือ? แต่พวกเราก็เรียนรู้กันมาได้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นตอนนี้เจ้าก็มีสภาพไม่ต่างจากตอนที่เรียนปั้นเครื่องกระเบื้องสักเท่าไร ปีนั้นเจ้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้ตัวเองไม่มีทางเรียนได้ดี ไม่อาจกลายเป็นช่างเผาเครื่องปั้นเต็มตัวได้ไม่ใช่หรือ? วันๆ เอาแต่ทำหน้าหงอยเหงา ปิดปากเงียบเหมือนน้าเต้าตัน แล้วดูสิ ตอนนี้ เจ้ากลายเป็นอย่างไรแล้ว? ต่อให้ตาเฒ่าฮ่องเต้มาขอให้เจ้าเผาเครื่องปั้นให้สักชิ้น สองชิ้น เจ้าจะเต็มใจหรือ? ก็ยังต้องดูว่าตัวเจ้าเองอารมณ์ดีหรือไม่ ไม่ใช่หรือไร? เวทกระบี่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษวิชานี้ของข้า แน่นอนว่ามีข้อพิถีพิถันไม่น้อย ถึงอย่างไรเจ้าก็เรียนรู้อะไรช้ากว่าข้ามากอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็เรียนได้อยู่ดี แล้วจะต้องรีบร้อนไปไย ทุกเรื่องสู้นายท่านใหญ่หลิวอย่างข้าไม่ได้ ต้องให้ข้าคอยสอนเจ้าทุกเรื่อง ข้อนี้เจ้าแค่ยอมรับชะตากรรม ชินแล้วก็ดีไปเองนั่นแหละ”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ชินแล้วจริงๆ นั่นแหละ”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะเสียงดัง “เป็นความเคยชินที่ดี ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว!”
มองตรงไปทางทิศใต้จากเส้นแนวรบของเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยาง ด้านหลังของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมีกระโจมกองทัพขนาดใหญ่แห่งหนึ่งถูกโอบล้อมไว้ อย่างแน่นหนา ตรงปากกระโจมห้อยแผ่นไม้เล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาไว้แผ่นหนึ่ง สลักแค่สองคำว่า ‘เจี่ยเซิน’
ในกระโจมใหญ่วางโต๊ะหนังสือขนาดเล็กใหญ่ไว้เต็มไปหมด ตำราม้วนเอกสารกองทับกันเป็นภูเขา หนึ่งในนั้นมีตำราของสำนักการทหารมากมายที่เสียหาย อย่างหนัก และยังไม่ใช่ฉบับดั้งเดิม แต่เป็นฉบับคัดลอกสำเนา ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังถูกบูชาไว้ดั่งสมบัติล้าค่าอยู่ดี หากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเปิดอ่านตำราทหารก็ต้องระมัดระวังกันอย่างมาก
ตำรามีน้อย คนที่เปิดอ่านจะยิ่งรู้จักทะนุถนอมเห็นค่า ยินดีที่จะไล่อ่านไปทีละคำทีละประโยค เป็นการอ่านหนังสือ ไม่ใช่มองหนังสือ หวังจะขุดหาความหมายที่ ซ่อนลึกอยู่ภายใน
อาณาเขตของกระโจมหลังนี้กว้างใหญ่มาก ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเกือบร้อยตนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าฝึกตนประสบความสำเร็จ มีวิชาคงความเยาว์วัย รูปโฉมถึงได้ดูอ่อนเยาว์ แต่เป็นเพราะแต่ละตนล้วนอายุไม่มากจริงๆ
หนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มีนามว่าเป้ยเชี่ย เขานั่งขัดสมาธิ เอนหลังพิงชั้นวางกระบี่ได้อย่างพอดิบพอดี
ข้างกายมีคนวัยเดียวกันคนหนึ่งกำลังเปิดตำรา มีนามว่าอวี่ซื่อ คือผู้ฝึกกระบี่ที่ติดอันดับร้อยเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็นเหมือนเป้ยเชี่ยที่ยังไม่มีแซ่สกุล
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเลิกผ้าม่านเดินเข้ามาด้านใน
อวี่ซื่อเงยหน้ายิ้มถาม “ทุนทาน ผลการรบครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“สู้คราวก่อนไม่ได้ ทำลายกระบี่บินไปได้แค่สามเล่มเท่านั้น”
เด็กหนุ่มคนนั้นยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว จากนั้นก็ส่ายหน้า นั่งลงข้างกายอวี่ซื่อและเป้ยเชี่ย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ขยับเข้าใกล้ค่ายกลกระบี่แห่งที่สามได้ยากจริงๆ สนามรบของข้าตรงจุดนั้น ขอแค่มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตหน่อยก็จะมีเซียนกระบี่ วิ่งมาช่วยคุมท้ายขบวน ปกป้องพวกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ออกกระบี่ได้ ไม่มั่นคงพวกนั้น ข้าเกือบจะถูกปราณกระบี่เส้นหนึ่งผ่าเอวเสียแล้ว อันตรายมากเลย”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างสดใส “แต่ว่าข้าอยู่ห่างจากสนามรบที่เฉินผิงอันเป็นคนเฝ้าพิทักษ์มาไม่ไกลนัก เขากับฉีโซ่วเป็นเพื่อนบ้านกัน ฉีโซ่วฝ่าทะลุขอบเขต แล้วจริงๆ ด้วย
ใช้กระบี่บินแค่สองเล่มก็สามารถพิทักษ์สนามรบเอาไว้ได้ ร้ายกาจไม่เบา จากนั้นก็มีบัณฑิตคนหนึ่งโผล่มา เวทคาถาประหลาดนัก หากพุ่งไปชน แม้แต่ตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ตัว ฝีมือร้ายกาจจริงๆ”
สตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ สายตาเหลือบมองแผนที่แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เซียนกระบี่ที่เจ้าเจอน่าจะเป็นซือถูจีเซวี่ย ขอบเขตหยกดิบ มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระของทวีปเกราะทอง กระบี่แห่งชะตาชีวิตมีนามว่า ‘กองทัพม้าเหล็ก’ กระบี่พกคือ ‘ด่านองอาจ’ พลังพิฆาตไม่ถือว่าโดดเด่นนัก แต่มีพร้อมทั้งโจมตีและป้องกัน ไม่ธรรมดาเลย สามารถรอดพ้นหายนะจากกระบี่เขามาได้ก็ถือว่ามีความสามารถแล้ว ทุนทาน ตกลงกันไว้แล้วว่า คุณความชอบในการรบสามารถค่อยๆ สะสมไปได้ แต่ห้ามตายเด็ดขาด สนามรบของเจ้า ผู้บัญชาการณ์คือมู่จี เจ้าที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกของร้อยเซียนกระบี่จะทำให้มู่จีเดือดร้อนไปด้วย กว่าเขาจะมีโอกาสได้รับแซ่สกุล มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าอย่าทำให้เขาหมดโอกาสเสียล่ะ”
เด็กหนุ่มท่าทางขลาดเขินที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะติดกับโต๊ะตัวที่สตรีนั่งเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงเบาว่า “ห้ามตาย ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้รับแซ่สกุลแล้ว ข้าก็จะต้องละอายใจ ไปอีกนาน”
เด็กหนุ่มนามว่าทุนทานยิ้มกว้าง “ทราบแล้ว”
ร้อยเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็คือเมล็ดพันธ์บนมหามรรคาที่ภูเขาทัวเยว่เป็นผู้กำหนด ระดับความสำคัญเป็นรองแค่ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ไม่ว่าขอบเขตปัจจุบันจะสูงหรือต่า ชีวิตจะมีค่าอย่างมาก
ขอแค่ตายไปคนหนึ่ง ทั้งกระโจมเจี่ยจื่อและภูเขาทัวเยว่ต่างก็จะซักไซ้เอาความผิด และบทลงโทษก็รุนแรงอย่างยิ่ง
เวลานี้ในกระโจมเจี่ยเซินมีคนอยู่มากถึงห้าคน
ทุนทาน เป้ยเชี่ย อวี่ซื่อ สตรีที่เปิดโปงรากฐานของซือถูจีเซวี่ย รวมไปถึงเด็กหนุ่มในมุมที่ดูไม่ค่อยเข้ากับกลุ่มคนสักเท่าไร
มู่จีหันหน้าไปมองโต๊ะหนังสือตัวหนึ่ง พูดเสียงเบาเนิบช้าด้วยความเคยชินว่า “รากฐานเวทคาถาของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกฝ่ายจะใช่ ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ตรวจสอบเจอแล้วหรือยัง? ความเสียหายจากสนามรบเล็กๆ นี้ได้เหนือกว่าการคาดการณ์ของพวกเราไปแล้วไม่น้อย จำเป็นต้องหาแผนการรับมือ ที่เหมาะสม ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ที่ส่งไปลอบฆ่าเฉินผิงอันล้มเหลวไปแล้ว แต่ขอแค่พวกเจ้าได้ข้อสรุป มั่นใจว่าจำเป็นต้องส่งตัวเซียนกระบี่อีกคนหนึ่งไป หากข้าเห็นแผนการแล้วรู้สึกว่าสามารถลงมือได้ ข้าก็จะใช้กระบี่บินส่งข่าวไปแจ้งให้เซียนกระบี่ลงมือลอบโจมตี หากยังไม่ได้ ข้าจะไปเยือนกระโจม ‘เจี่ยจื่อ’ ด้วยตัวเอง พวกเจ้า ไม่จำเป็นต้องรู้สึกกดดันกับเรื่องนี้”
มีบุรุษคนหนึ่งส่ายหน้าเอ่ยว่า “ต้องให้มีคนตายมากอีกหน่อยถึงจะได้เบาะแสมาเพิ่มขึ้น”
มู่จีพยักหน้ารับ
สตรีคนนั้นเอ่ยว่า “เฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปเดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยตัวเอง บัณฑิตคนนั้นต้องเป็นคนของสายหย่าเซิ่งอย่างแน่นอน ข้อนี้ไม่ต้องสงสัย อันที่จริงสนามรบที่คนผู้นี้เฝ้าพิทักษ์ พวกเราสามารถ ลดจำนวน กองกำลังให้น้อยลง เพราะว่าอีกไม่นานทางฝั่งของหัวกำแพงเมืองจะต้องมีกระบี่บินส่งข่าวออกมาอย่างลับๆ เมื่อทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดแล้วก็จะส่งข่าวมาให้พวกเราเอง หากในจดหมายเขียนบอกประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ กระโจมเจี่ยเซินของพวกเรายังเหลือจำนวนเซียนกระบี่อีกสองคน ก็เอาพวกเขามาใช้พร้อมกันทีเดียวเลย ถึงเวลานั้นจะสังหารบัณฑิตคนนั้นหรือฆ่าเฉินผิงอัน หรือจะ ถอยก้าวหนึ่งไปฆ่าฉีโซ่วแทน ก็อนุญาตให้เซียนกระบี่ทั้งสองลงมือตามโอกาสที่เห็นว่าเหมาะสมได้เลย”
มู่จีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ตกลง”
จากนั้นเด็กหนุ่มท่าทางเหนียมอายก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจาก กองกระดาษยันต์สีเหลืองที่อยู่ข้างมือ พับเป็นนกกระดาษตัวเล็กแล้วขว้างออกไปที่หน้าประตูกระโจมใหญ่เบาๆ “ออกคำสั่งไปว่า บนแนวเส้นที่หกของเจี่ยเซิน ให้ชะลอการโจมตีลง นอกจากไม่อนุญาตให้ถอยทัพแล้ว อนุญาตให้รักษาชีวิตมาเป็น อันดับหนึ่งได้”
นกกระดาษจึงบินออกไปจากกระโจมใหญ่เจี่ยเซิน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มีชื่อประหลาดอย่างอวี่ซื่อเอ่ยสัพยอกว่า “ทุนทาน แม้ตอนนี้ขอบเขตของเจ้าจะไม่สูง แต่กลับมีวิธีการมากมาย วันหน้าหากมีโอกาส รอให้ ผู้ฝึกกระบี่ออกมาจากหัวกำแพงเมืองแล้ว เจ้าก็ลองไปพบเฉินผิงอันผู้นั้นดูสักหน่อย เมื่อเทียบกับข้าและเป้ยเชี่ยที่เป็นคนโง่ดีแต่จะบุกทะเล่อทะล่าเข้าไปหาเข้าแล้ว เจ้าน่าจะได้เปรียบมากกว่า”
ทุนทานคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ลองดูก็ได้”
กระโจมเจี่ยเซินแห่งนี้คือหนึ่งในกระโจมใหญ่หกสิบแห่งของกองทัพใหญ่ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ตั้งชื่อตามแผนภูมิสวรรค์ นอกจากคำสั่งจากกระโจมเจี่ยจื่อแล้ว กระโจมแม่ทัพทุกแห่งต่างก็รับหน้าที่โยกย้ายกองกำลังในพื้นที่การรบของตัวเอง
ในเมื่อสามารถตั้งชื่อโดยมีอักษรเจี่ยขึ้นต้นได้ นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกระโจมใหญ่หลังนี้แล้ว ตามกฎของกองทัพ ต่อให้เป็นปีศาจใหญ่เซียนกระบี่ ขอแค่กล้าบุกเข้าไปในกระโจมอักษรเจี่ยโดยพลการก็ล้วนต้องถูกโทษประหารทั้งสิ้น
ในกระโจมเจี่ยเซิน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างมีระเบียบขั้นตอน มองโดยภาพรวมแล้ว บรรยากาศนับว่าผ่อนคลายอยู่ไม่น้อย
หญิงสาวที่บนโต๊ะแผ่กางแผนที่เงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงหนักว่า “เพื่อการเติบโตของพวกเรา เพื่ออนาคตที่เมื่อได้ยึดครองทวีปใหญ่ๆ ของใต้หล้าไพศาลมาได้แล้ว พวกเราจะสามารถเฝ้าพิทักษ์พื้นที่เหล่านั้นได้ หากพูดถึงแค่สนามรบของเจี่ยเซินในเวลานี้ก็มีกองกำลังทหารตายไปเปล่าๆ เกือบหมื่นนายแล้ว บัญชีคุณความชอบของพวกเรา ทุกคนล้วนสลักลงบนโครงกระดูกทั้งสิ้น อย่าได้คิดว่านี่เป็นเรื่องสนุก”
เด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ในมุมปลีกวิเวกเพียงลำพัง เวลานี้เอ่ยเสียงหยันขึ้นว่า “กองกำลังทหาร? ไอ้พวกมดตัวน้อยไร้สมองก็ถือเป็นกองกำลังทหาร ได้ด้วยหรือ? มดตัวน้อยพวกนี้ตายไปนั่นแหละดี ช่วยพวกเราช่วงชิงฟ้าอำนวย แล้วก็ช่วยประหยัดเสบียงของกองทัพ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เดิมทีใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราก็เลี้ยงเศษสวะตั้งมากมายขนาดนั้นไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว มาตายอยู่ที่นี่ก็ถือว่าพวกมันตายอย่างมีค่า ในที่สุดก็ได้ทำประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ บ้าง”
เขาชำเลืองตามองเป้ยเชี่ยและทุนทานที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “เฉินผิงอันผู้นั้นมอบให้ข้าจัดการเอง ใครกล้าแย่งกับข้า ก็อย่าโทษว่ากระบี่บินของข้าไร้ตา เผลอไปทำร้ายสหายเข้าให้ล่ะ”
เขาก็คือหลีเจินที่เปลี่ยนจากรูปลักษณ์ของเด็กน้อยมาเป็นเด็กหนุ่ม ยังคงมี เศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่ไม่สมประกอบของหลีเจินนักโทษอาญายุคโบราณอยู่ดังเดิม จากนั้นก็ใช้เวทลับของภูเขาทัวเยว่มาสร้างเรือนกายเนื้อหนังขึ้นใหม่ สุดท้าย ประกอบกันขึ้นเป็นดวงวิญญาณที่สมบูรณ์
เป้ยเชี่ยไม่สะทกสะท้าน
ทุนทานยังคงยิ้มกว้างอย่างสดใสดังเดิม “ไม่มีปัญหา”
อวี่ซื่อยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มิกล้าๆ ข้าหรือจะมีคุณสมบัติพอให้เป็นสหายของนายน้อย หลีเจินได้”
เด็กหนุ่มที่เย่อหยิ่งคนนั้นพลันคลี่ยิ้ม แต่ดวงตากลับจ้องอวี่ซื่อเขม็ง “แนะนำเจ้าว่าอย่าชอบพูดจาเหน็บแนมระคายหูคนฟังเลียนแบบคนของใต้หล้าไพศาลจะดีกว่า”
อวี่ซื่อยกมือทั้งสองข้างขึ้น พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้าหุบปาก ข้าจะหุบปาก”
มู่จีขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้น เพิ่มน้าหนักเสียงใส่อารมณ์อย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเสียงที่หลีเจินและพวกอวี่ซื่อพูดคุยกันเมื่อครู่นี้ก็ยังถือว่าเป็นเสียงที่เบาอยู่ดี “หลีเจินพ่ายแพ้ แต่ก็แพ้อย่างฉิวเฉียดเท่านั้น อวี่ซื่อ นี่ไม่ใช่เหตุผลให้เจ้าเอามาสมน้ำหน้าผู้อื่น พวกเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งก็ควรจะมีสภาพจิตใจของยอดฝีมืออันดับหนึ่ง”
อวี่ซื่อเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน พยักหน้ารับ
จากนั้นมู่จีก็หันหน้าไปพูดกับหลีเจิน “แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว เป็นเจ้าหลีเจินที่ความสามารถไม่มากพอ และการที่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ก็คือความสามารถของเจ้าที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่เช่นกัน ทว่าเรื่องพวกนี้ข้าล้วนไม่สนใจ ข้าแค่รับผิดชอบเรื่องผลแพ้ชนะและผลได้ผลเสียของสนามรบเจี่ยเซินเท่านั้น ไม่ว่า จะเป็นผลดีหรือผลเสียที่เล็กน้อยแค่ไหน ข้าก็ต้องดูแลจัดการทั้งหมด สงคราม ต่อจากนี้จะยิ่งรุนแรง และเจ้าหลีเจินก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งจากทางกองทัพ หากมองข้ามกฎของกองทัพ ลงมือกระทำการโดยพลการ ก็เท่ากับว่าพาให้กระโจมเจี่ยเซินต้องเดือดร้อนไปด้วย ผลลัพธ์ที่ตามมาก็จงแบกรับเอาเอง แต่หากถึงเวลาที่เหมาะสม ขอแค่เจ้ายังยินดีจะเป็นปฏิปักษ์ต่อเฉินผิงอัน อยากจะตามหาตัวเขา ต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะกับเขาต่ออีกครั้ง ต่อให้ต้องแลกชีวิตกันก็ตามใจเจ้า กระโจมเจี่ยเซินจะไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย และตัวข้าเองก็ถึงขั้นยินดีเอาผลงานการต่อสู้ที่เป็นของข้า มู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินมาช่วยสร้างโอกาสให้เจ้า ให้เจ้ากับเฉินผิงอันไปต่อสู้ตัดสิน เป็นตายกันเอาเอง เพราะหากได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลีเจินที่กล้าตายอีกครั้งเช่นนี้ก็ถือเป็นเกียรติของข้ามู่จี”
มู่จีกวาดตามองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เหตุใดหลีเจินถึงออกศึก เหตุใดถึงได้เปิดฉากต่อสู้ครั้งใหญ่กับเฉินผิงอันใต้หัวกำแพงเมือง พวกเจ้าจะไม่รู้ เลยหรือ? พวกเจ้าคู่ควรหรือ? แล้วนี่จะกลายมาเป็นเหตุผลให้พวกเจ้าเอาเรื่องนี้มาหัวเราะเยาะหลีเจินได้อย่างไร? ก็เพราะว่าเขาแพ้ไปหนึ่งครั้ง ตายไปหนึ่งครั้งน่ะหรือ? ถ้าอย่างนั้นหมื่นปีที่ผ่านมานี้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเราไม่เคยชนะศึกเลยสักครั้ง ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว! ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโสขอบเขตบินทะยานมากมายขนาดนั้น รวมไปถึงตลอดทั้งภูเขาทัวเยว่ มีใครไม่ใช่ตัวตลกบ้างเล่า?! หากมีความสามารถจริงๆ ไปถึงใต้หล้าไพศาลได้เมื่อไหร่ พวกเจ้าจะหัวเราะเยาะคนที่อยู่ที่นั่นอย่างไรก็ตามแต่ใจพวกเจ้าเถอะ!”
มู่จีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สีหน้าหม่นหมอง พูดพึมพำว่า “พูดเรื่องพวกนี้กับพวกเจ้าไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกดีเลยสักนิด”
ดูเหมือนว่าหลีเจินที่อยู่ในกระโจมเจี่ยเซินแห่งนี้จะยอมฟังคำพูดของมู่จีอยู่บ้าง เขาจึงไม่โต้เถียงกับพวกอวี่ซื่อต่อ แต่หลับตาทำสมาธิอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นไปพร้อมกันด้วย
สตรีผู้นั้นเอ่ยสัพยอกว่า “มู่จี คำพูดเหล่านี้ช่างพูดได้สง่างามนัก”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเขินอาย หน้าแดงเล็กน้อย
เป้ยเชี่ยที่แทบจะถือว่าเป็นคนใบ้คนหนึ่งเปิดปากอย่างที่หาได้ยาก “อีกเดี๋ยวกระบี่บินของกระโจมเจี่ยจื่อก็จะมาถึงแล้ว”
แล้วก็จริงอย่างที่เขาบอก กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งบินมาถึงกระโจมเจี่ยเซิน
หลังจากที่มู่จีอ่านจดหมายลับจบ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “รู้แค่ว่าบัณฑิตคนนั้นชื่อหลิวเสี้ยนหยาง เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป ไม่ใช่ลูกศิษย์ของ สกุลเฉินผู้รอบรู้ ดังนั้นจึงยังไม่รู้รากฐานการฝึกตนของเขา”
สตรีคนนั้นถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือไปตามการคาดการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ใช้ชีวิตไปค้นหาความจริงเถอะ”
มู่จีพลันเอ่ยว่า “อวี่ซื่อ เจ้าไปที่สนามรบด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง จำไว้ว่าต้องแสดงให้ดี รับกระบี่หนึ่งมาได้ก็รีบถอยออกมาจากสนามรบทันที ไม่จำเป็นต้องมีความลังเลใดๆ อานุภาพในการออกกระบี่ของเฉินผิงอันผู้นั้นไม่ถือว่ารุนแรงนัก แต่กลับสำรวจตรวจตราสนามรบได้อย่างละเอียด ด้วยนิสัยของเขา ข้าแน่ใจเลยว่าทางหนีทีไล่ของเขาต้องไม่ได้มีแค่เซียนกระบี่หญิงคนนั้นคนเดียวแน่นอน ขอแค่เจ้าไม่ตายอยู่บนสนามรบ อีกไม่นานก็จะมีเซียนกระบี่อีกคนจับตามองเจ้าโดยเฉพาะ”
อวี่ซื่อลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ แต่ปากกลับบ่นว่า “กรรมตามสนองเร็วขนาดนี้เชียว”
มู่จีหันหน้าไปมองเป้ยเชี่ย
อวี่ซื่อวิ่งตะบึงออกไปจากกระโจมเจี่ยเซินในเสี้ยววินาที ไม่มอบโอกาสให้มู่จี ได้เปลี่ยนใจ
มู่จีเคลื่อนย้ายเส้นสายตาอีกครั้ง พูดกับทุนทานว่า “ข้าคำนวณมาแล้ว ดูจาก คุณความชอบทางการรบที่เจ้าสะสมมาได้จนถึงตอนนี้ หากคิดจะซื้อสมบัติอาคม แม่น้ำเย่ลั่วชิ้นนั้นก็ถือว่ายังขาดอีกไม่น้อย แต่ไม่เป็นไร ข้าจะเป็นตัวนำช่วยรวบรวมเงินมาให้ครบเอง วันหน้าใครที่เป็นคนออกเงินจะได้รับส่วนแบ่งทุกปี ยังมีใครที่ยินดีออกเงินร่วมกับข้าอีกบ้าง?”
สตรีคนนั้นส่ายหน้า “ข้าเองก็กำลังสะสมเงิน มอบให้ไม่ได้”
มู่จีกลับเอ่ยว่า “ให้ได้สิ ก่อนที่สงครามใหญ่จะปิดฉากลง เจ้าก็ได้กำไรกลับมาแล้ว เชื่อข้าเถอะ ไม่มีทางถ่วงเวลาการครอบครองสมบัติชิ้นนั้นของเจ้าแน่”
หลีเจินลืมตาขึ้นเอ่ยว่า “ต้องซื้อด้วยหรือ ข้าไปขอมาโดยตรงก็สิ้นเรื่อง”
มู่จีส่ายหน้า เตรียมจะปฏิเสธ
หลีเจินกลับลุกขึ้นยืนแล้ว เขาหันไปพูดกับสตรีคนนั้น “เจ้าต้องการชิ้นไหนก็ บอกมาตามตรง ข้าจะได้เอามาพร้อมกันทีเดียว ขี้เกียจวิ่งไปกลับหลายๆ รอบ”
สตรีคนนั้นก็ไม่เกรงใจ บอกชื่อของสมบัติล้าค่าชิ้นนั้นออกมาโดยตรง แล้วยังหัวเราะเสียงดังพร้อมกุมหมัดคารวะ ถือเป็นการขอบคุณแล้ว
หลีเจินเดินออกจากกระโจมเจี่ยเซินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
แหงนหน้ามองไปทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ มองหัวกำแพงเมืองทางทิศเหนือจากจุดนี้ การมองเห็นพร่าเลือนไม่ชัดเจนนัก แต่หากก้มหน้ามองลงมาจาก กำแพงเมืองทางทิศเหนือ กลับเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
หลีเจินถอนสายตากลับมา อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่งก็หมุนตัวกลับมา กุมหมัดค้อมเอวแสดงความเคารพอย่างที่หาได้ยาก
ข้างกายหลีเจินคือบุรุษที่มีหนวดเคราดกครึ้มพกดาบสะพายกระบี่คนหนึ่ง
บุรุษคนนั้นพยักหน้ารับ “เจ้าไปทำธุระของเจ้าก่อนเถอะ”
หลีเจินจึงทะยานลมจากไป
เป้ยเชี่ยเดินออกมาจากในกระโจม เรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์
ชายฉกรรจ์เอ่ยว่า “อาจารย์อยากไปพบคนคนหนึ่ง ดังนั้นเจ้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ช่วยทำเรื่องหนึ่งแทนอาจารย์ที ฆ่าเฉินผิงอันผู้นั้นซะ”
เป้ยเชี่ยพยักหน้ารับเงียบๆ